จริงๆ พากษ์บอลครั้งแรกที่ช่อง 3 นะ ตอนนั้นมันเป็นฟุตบอลถ้วยยุโรปคัพ วินเนอร์สคัพ ถ้วยที่ยุบไปแล้ว อาร์เซนอล ชิงฯ กับซาราโกซ่า ตอนนั้นเราก็ทำข้อมูลเกี่ยวกับบอลสเปนอยู่ด้วย บังเอิญพี่สาธิต กรีกุล (บิ๊กจ๊ะ) เขาพากษ์อยู่กับพี่หมู นพนันท์ ศรีศร แล้วพี่หมูไม่สบาย พี่สาธิตก็เลยเห็นว่าเป็นบอลสเปน เราก็พอมีข้อมูลอยู่ เขาก็เลยให้ไปพากษ์ คือก็ทำงานง่าย เพราะว่าพี่สาธิตเขาก็จะเป็นคนนำทั้งหมด เขาก็จะบอกว่าจังหวะไหนเราควรทำอะไร
อดิสรณ์ พึ่งยา ผู้ประกาศข่าวกีฬาช่อง 7HD นักพากษ์ฟุตบอล และคอลัมนิสต์ในเครือสยามกีฬา
อดิสรณ์ พึ่งยา ผู้ประกาศข่าวกีฬาช่อง 7HD นักพากษ์ฟุตบอล และคอลัมนิสต์ในเครือสยามกีฬา หรือที่รู้จักกันดีในนามปากกา JACKIE (แจ็คกี้) ถือเป็นอีกหนึ่งคนข่าวคุณภาพ และเป็นที่ยอมรับในวงการสื่อกีฬา ด้วยประสบการณ์ในการทำงานมานานกว่า 30 ปี
แจ็คกี้ เรียนจบทางด้านพลศึกษา ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะด้วยตัวเองอยากเป็นครู อยากเป็นโค้ชฟุตบอล และไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะทำงานในวงการสื่อ หลังจากนั้นเกิดจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต เมื่อ บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ สยามสปอร์ต เปิดสอบทีมข่าวต่างประเทศ เด็กหนุ่มจากจังหวัดสุพรรณบุรีจึงมาลองสอบดู ปรากฏว่าผ่านฉลุย และในเวลาต่อมาได้เริ่มทำงานเป็นนักข่าวสายกีฬาครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2535
แม้ว่าในยุคปัจจุบันอุตสาหกรรมหนังสือพิมพ์จะถูกท้าทายจากบรรดาสื่อใหม่ ทั้งออนไลน์ และแพลตฟอร์มต่างๆ ในโซเชียลมีเดีย ทำให้สื่อกระดาษหลายๆ เจ้าต้องล้มหายตายจากไป เพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้คนในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ทุกวันนี้เราสามารถเข้าถึง หรือติดตามข่าวสารได้จากช่องทางออนไลน์ ที่สำคัญคือมีความรวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์มากกว่าสื่อเก่าอย่างหนังสือพิมพ์
สอดคล้องกับมุมมองของแจ็คกี้ที่เข้าใจในสถานการณ์ความเป็นไปของโลกยุคใหม่ที่เกิดขึ้น แต่ก็ยอมรับว่าขั้นตอน “กระบวนการ” และ “คุณภาพ” จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญของคนทำงานด้านสื่อโดยแท้จริง
อดิสรณ์ พึ่งยา : จริงๆ ผมเรียนจบด้านวิชาชีพครูนะ เรียนเกี่ยวกับพลศึกษานี่แหละ อยากเป็นครู อยากเป็นโค้ชบอล ความคิดนะ เราคิดว่าการเป็นนักข่าวมันไม่ได้อยู่ในความคิดเลย เพราะคิดว่ายาก เพราะว่าเราก็มีไอดอลอย่างพี่ ย.โย่ง เอกชัย นพจินดา ซึ่งเป็นคนเก่ง เป็นคัมภีร์ฟุตบอล
พี่ ย.โย่ง เก่งมาก ถามได้ตอบได้ คือพากษ์บอลไม่มีปัญหา เพราะเขารู้ข้อมูลรู้อะไร เรารู้สึกว่าเราทำอย่างที่โย่งไม่ได้ พี่โย่งเขาเก่ง เราไม่ถึงขนาดนั้น เราเป็นแฟนบอล ไม่ได้คิดว่าเราจะมาเดินสายข่าว คิดว่าเป็นครู หรือเป็นโค้ชฟุตบอลมันน่าจะเหมาะกับเราอะไรอย่างนี้
แต่ว่าจังหวะพอดี ชีวิตมันได้โอกาส ทางสยามกีฬาเขาเปิดสอบทีมข่าวต่างประเทศ เราก็มาสอบปรากฏว่าได้ พอได้ก็โอเคนะ เพราะมันก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับกีฬาที่เราเรียนมา เพื่อนๆ ยังบอกเลยว่ามันก็ตรงนะ คุณไม่ได้เป็นครู แต่คุณมาเป็นนักข่าวกีฬา
อดิสรณ์ พึ่งยา เล่าประสบการณ์ชีวิต
คุณก็เรียนเรื่องกีฬา เคยเป็นนักฟุตบอลของมหาวิทยาลัย เฮ้ยมันก็ได้นะอะไรแบบนี้ แต่เราติดแค่ว่าความรู้เรามันไม่ได้เยอะอย่างพวกพี่โย่ง หรือพี่เตยหอม พิศณุ นิลกลัด หรือพี่ยอดทอง พวกคอลัมนิสต์รุ่นเก่าๆ ซึ่งเขาเก่งมาก
แต่พอเรามาทำมันก็เหมือนกับมาเริ่มเรียนรู้ สะสม ข้อมูลก็พอมีอยู่ แต่พอเราเป็นนักข่าว มันก็เยอะขึ้นๆ ได้เจอพี่ๆ ได้เจอทุกสิ่งทุกอย่าง ประสบการณ์มันก็สอนเรา ก็เลยกลายเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ก่อน และมันก็ค่อยๆ แตกแขนงมา จากสื่อสิ่งพิมพ์มาเป็นทีวี เพราะ UBC (ทรูวิชั่นส์ในปัจจุบัน) เขามีถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีก เราก็ได้โอกาสไปทำ
จุดเริ่มต้นจากนักข่าวหนังสือพิมพ์ พากษ์ฟุตบอลครั้งแรกที่ช่อง 3
อดิสรณ์ พึ่งยา : ผมเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ 4 ปีนะ พออายุ 26 ถูกส่งไปที่อังกฤษ ทำงานที่นั่น 2 ฤดูกาล แล้วก็กลับมาสัก 28 เริ่มเข้าวงการทีวีแล้ว คือตอนนั้นยังเป็น UBC อยู่ เขาถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก เราก็ได้ไปพากษ์ แล้วได้เข้ามาช่อง 7 ตอนนั้นมาทำรายการเจาะสนาม และช่อง 7 ก็เริ่มมีถ่ายทอดสดฟุตบอลเยอะขึ้น เลยได้โอกาสทำทั้ง 2 คือทั้ง pay-tv ที่ UBC และช่อง 7
มันก็เลยกลายเป็นช่วงเวลาที่เราได้ทำทีวีแบบเต็มตัวนะ ตั้งแต่ปี 1998 จนมาถึงตอนนี้ก็เริ่มปรับบทบาทแล้ว เริ่มบรรยายน้อยลงด้วยอายุ มาเป็นคนวิเคราะห์เกมด้วยประสบการณ์ แต่ว่าหนังสือพิมพ์ยังทำอยู่ ยังเขียนคอลัมน์ เขียนอะไรอยู่ แต่ตอนนี้มันก็ขยับมาเป็นออนไลน์ทางสยามสปอร์ต
จริงๆ พากษ์บอลครั้งแรกที่ช่อง 3 นะ ตอนนั้นมันเป็นฟุตบอลถ้วยยุโรปคัพ วินเนอร์สคัพ ถ้วยที่ยุบไปแล้ว อาร์เซนอล ชิงฯ กับ ซาราโกซ่า ตอนนั้นเราก็ทำข้อมูลเกี่ยวกับบอลสเปนอยู่ด้วย บังเอิญพี่สาธิต กรีกุล (บิ๊กจ๊ะ) เขาพากษ์อยู่กับพี่หมู นพนันท์ ศรีศร แล้วพี่หมูไม่สบาย พี่สาธิตก็เลยเห็นว่าเป็นบอลสเปน เราก็พอมีข้อมูลอยู่ เขาก็เลยให้ไปพากษ์
คือก็ทำงานง่าย เพราะว่าพี่สาธิตเขาก็จะเป็นคนนำทั้งหมด เขาก็จะบอกว่าจังหวะไหนเราควรทำอะไร พี่สาธิตก็จะช่วยได้เยอะ เราก็เหมือนทำงานตามที่พี่สาธิตเขาบอก มันก็ง่าย มันก็เริ่มมีประสบการณ์ตรงนั้น
จริงๆ ช่อง 7 ผมเป็นฟรีแลนซ์นะ ไม่ได้เป็นพนักงานประจำ แรกๆ ก็คือทำรายการกีฬา พากษ์กีฬา ส่วนใหญ่ก็จะเป็นฟุตบอลแหละ เอฟเอคัพ ทีมชาติ ฟุตบอลโลก ทีมชาติไทย ทุกอย่าง แล้วก็ค่อยๆ ขยับมาเป็นพิธีกรที่ทำกับนิหน่า สุฐิตา ปัญญายงค์ รายการสปอร์ตแฟน แล้วก็อ่านข่าวกีฬา ทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่ แต่ว่างานพากษ์กีฬาก็อาจจะลดลง ไม่ค่อยมีเท่าไร ส่วนที่ทรูวิชั่นส์ตอนนี้งานพากษ์ไม่มี จะมีแต่เป็นงานวิเคราะห์ทุกวันเสาร์วันอาทิตย์
เข้าใจความเป็นไปของโลก สื่อสิ่งพิมพ์กระดาษโดนดิจิทัล Disrupt
อดิสรณ์ พึ่งยา : ความเปลี่ยนแปลงมันรวดเร็วมากเลยนะ จากสื่อสิ่งพิมพ์กระดาษมาเป็นดิจิทัล มันโดน Disrupt เร็วมาก มันเร็วทุกเรื่องเลย เมื่อก่อนเรามองว่าเราเป็นนักข่าว มันมีความยาก มันต้องเรียนรู้กระบวนการทำข่าว กระบวนการเขียน กระบวนการผลิตอะไรต่างๆ มันมีขั้นตอน มันค่อนข้างนาน แต่เดี๋ยวนี้พอมันเปลี่ยนเป็นยุคของดิจิทัล เป็นโซเชียล ทุกคนก็เป็นนักข่าวได้แล้ว เพราะทุกคนจะมีอินเตอร์เน็ต มีอะไรต่างๆ ทุกคนก็สามารถจะเปิดเพจ เปิดอะไร ทำนู้นทำนี่ได้ มันรวดเร็วมาก
ซึ่งถ้าย้อนไปเทียบกับที่เราทำ โหมันนานนะ บางทีกว่าจะได้เขียนคอลัมน์ ต้องแปลข่าวหรืออะไรก่อน หรือบางคนอาจจะออกพื้นที่ ไปทำข่าวยังแหล่งข่าว บางคนทำข่าวบอลไทยก็ต้องไปเกาะสนามบอล ก่อนที่จะมาเขียนคอลัมน์ มันต้องใช้เวลา แต่เดี๋ยวนี้ทุกคนสามารถจะเขียนคอลัมน์ได้ รู้สึกว่ามันเร็ว มันง่าย แต่ว่าคุณภาพหรือเปล่านั่นอีกเรื่องหนึ่ง มันก็ขึ้นอยู่กับคนที่จะติดตามอ่าน รู้สึกว่ามันเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เร็วมาก บางทีก็ตั้งตัวไม่ทัน มันเร็วเกิน
คำแนะนำและข้อคิด ในฐานะรุ่นพี่ทำงานด้านสื่อ
อดิสรณ์ พึ่งยา : จริงๆ การเริ่มต้นเพื่อที่จะทำด้านสื่อ มันก็ไม่น่าจะต่างกันมาก ไม่ว่ายุคสมัยไหน เราก็ต้องมีความรู้ มีความรู้ข้อมูลอะไรต่างๆ ที่แน่ๆ มันต้องมีจรรยา มีจรรยาบรรณในการทำงานด้วย คนรุ่นใหม่อาจจะมีแหล่งข้อมูลได้ง่าย ได้เร็วกว่ารุ่นเก่าๆ แต่เราก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เราทำ ถ้าดูจากบรรดาโซเชียล มันก็จะไม่ค่อยมีลักษณะที่เป็นคอลัมนิสต์อะไรสักเท่าไร
ส่วนใหญ่จะเป็นเพราะเราเชียร์ทีมนี้ เราก็จะทำทีมนี้ ตามเรื่องทีมนี้ มันไม่ค่อยเป็นอะไรกลางๆ เป็นที่รวมของข้อมูลข่าวสาร ซึ่งถ้าจะหาตรงนั้นเราก็จะหาจากสื่อ ไม่ว่าจะเป็นข่าวสดออนไลน์ มติชนออนไลน์ หรือ สยามสปอร์ต ยังมีคนที่จะเขียนคอลัมน์ มีนักข่าวจริงๆ ที่เขาทำอยู่ แต่ถ้าเป็นโซเชียล ถ้าคนที่จะมาทำตรงนี้ แม้ว่าคุณไม่ได้ทำงานสื่อ คุณก็ศึกษานิดหนึ่งว่ากระบวนการ วิธีการในการทำงานมันเป็นยังไง ตรงนี้มันจะเป็นคุณภาพของเราแน่นอน
เข้าใจว่ายุคนี้ทุกคนก็จะไปมองเรื่องยอดไลก์ยอดแชร์ คุณเขียนเรื่องแมนฯ ยูฯ ลิเวอร์พูล ใครก็อ่าน ถ้าคุณไปเขียนเรื่องน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ไม่มีใครอ่าน คือคนจะมองอย่างนี้ แต่ถ้าคุณอยากเป็นสื่อ คุณก็ต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ คุณอย่ามองแบบนั้น คุณก็ต้องมองว่าอะไรคือสิ่งที่น่าสนใจ และมีประโยชน์ต่อสังคม
หรือบางทีบางคนอาจจะเขียนแล้วเกิดดราม่า เพื่อให้คนมาทะเลาะหรือเถียงกัน ถ้ามันมีประโยชน์ การถกเถียงนั้นมีประโยชน์ มันก็ดี แต่ถ้ามันไม่มีประโยชน์ มันก็เท่ากับว่าที่เราทำมามันสูญเปล่า ก็อยากแนะนำว่าทำเหมือนคล้ายๆ ที่รุ่นเก่าๆ เขาทำมานั่นแหละ เพียงแต่คุณอาจจะได้ไปเร็วหน่อย เน้นคุณภาพ มีข้อมูล มีจรรยาบรรณในการทำงาน เดี๋ยวมันจะเป็นพื้นฐานไปเอง เดี๋ยวมันจะไปของมันเอง
อดิสรณ์ พึ่งยา กล่าวทิ้งท้าย
อ่านเพิ่มเติม : ฟุตบอลโลกในความทรงจำ “แจ็คกี้” อดิสรณ์ พึ่งยา