“อินทรีเหล็ก” เยอรมนี กระเด็นตกรอบแรกเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันในฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ตั้งแต่ปี 2018 ที่ประเทศรัสเซีย และล่าสุดปี 2022 ที่ประเทศกาตาร์ นับเป็นความล้มเหลวอย่างร้ายแรงของอดีตแชมป์โลก 4 สมัย และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่พวกเขาต้องสิ้นสุดเส้นทางเพียงแค่รอบแบ่งกลุ่มในฟุตบอลโลก 2 ครั้งติดต่อกัน
เยอรมนี ภายใต้การคุมทัพของ “ฮันซี่ ฟลิค” ทำผลงานได้อย่างผิดหวัง นัดแรกแพ้ญี่ปุ่น 1-2 นัดที่ 2 เสมอสเปน 1-1 และนัดที่ 3 ชนะคอสตาริกา 4-2 เก็บได้เพียง 4 คะแนน และจบอันดับ 3 ของกลุ่มอี
ในเวลาต่อมา “โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟ” อดีตศูนย์หน้าชื่อดัง ซึ่งเป็นผู้จัดการทั่วไปของทีมชาติเยอรมนี ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง เพื่อแสดงความรับผิดชอบกับผลงานอันล้มเหลวของทัพอินทรีเหล็กในฟุตบอลโลก
แต่ในรายของ ฮันซี่ ฟลิค ปรากฏว่า “แบร์นด์ นอยเอนดอร์ฟ” และ “ฮานส์ โยอาคิม วัตซ์เก” ประธานและรองประธานสมาคมฟุตบอลเยอรมนี ตัดสินใจให้เทรนเนอร์วัย 57 ปี ทำหน้าที่คุมทีมต่อไป โดยมีเป้าหมายสำคัญคือคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโรที่เยอรมนีเป็นเจ้าภาพในปี 2024
ส่วน “กระทิงดุ” สเปน อดีตแชมป์ฟุตบอลโลก ปี 2010 แม้ว่าพวกเขาจะผ่านรอบแรกไปได้ แต่ก็ไปสิ้นลายในรอบ 16 ทีมสุดท้าย หลังจากแพ้จุดโทษต่อโมร็อกโก 0-3 หลังจากเสมอกันใน 120 นาที 0-0
ความล้มเหลวที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ ราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปน (RFEF) ประกาศแยกทางกับ “หลุยส์ เอ็นริเก้” ทันที พร้อมกับแต่งตั้ง “หลุยส์ เด ลา ฟวนเต้” กุนซือทีมชาติสเปน ชุดอายุต่ำกว่า 21 ปี และชุดโอลิมปิกดีกรีเหรียญเงินโตเกียวเกมส์ ปี 2020 ให้เข้ามารับตำแหน่งเฮดโค้ชทีมชาติสเปนชุดใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เอก ฮิมสกุล” แฟนพันธุ์แท้ฟุตบอลโลก 2 สมัย ปี 2002 และ 2006 มองความล้มเหลวของเยอรมนีว่า เป็นเพราะคุณภาพผู้เล่นไม่ได้ใกล้เคียงกับนักเตะรุ่นพี่ในยุคก่อนๆ ขณะที่สเปนมักจะเล่นฟุตบอลแค่มิติเดียว เน้นคอนโทรลบอลเป็นหลัก แต่จุดบอดคือเรื่องการจบสกอร์ จึงทำให้พวกเขาไปไม่ถึงฝั่งฝัน
เอก ฮิมสกุล : ทีมชาติเยอรมนีผมมองว่าตัวของผู้เล่น ตัวนักเตะมันทดแทนกันไม่ทัน ถ้าเป็นเยอรมนีที่เรารู้จักอย่างน้อยต้องไปถึงรอบรองชนะเลิศ เยอรมนีที่ขี้เหร่ๆ ยังไงก็ต้องไปถึงรอบรองฯ แต่ครั้งนี้คือตัวผู้เล่นผมว่าประสิทธิภาพมันไม่ได้เท่ากับรุ่นพี่รุ่นเก่าๆ เลย นักเตะที่ติดทีมชาติมาหลายคนก็แค่ระดับบุนเดสลีกา อย่าง “นิคลาส ฟุลครุก” แม้ว่าเขาจะทำประตูได้ แต่ผมมองว่าระดับเขายังไม่ถึง
ส่วนนักเตะในตำแหน่งอื่นๆ เรามองกันว่า “จามาล มูเซียลา” เป็นดาวรุ่งที่พุ่งขึ้นมา แต่ศักยภาพเขาก็ยังไม่เท่ากับผู้เล่นเยอรมนีในรุ่นก่อนๆ และที่สำคัญคือมันกลายเป็นว่าเยอรมนีชุดนี้หลายๆ ทีมก็ไม่ได้กลัวแล้ว ทั้งญี่ปุ่น หรือว่าสเปน ด้วยรูปแบบการเล่นไม่มีใครที่กลัวเยอรมนีในชุดนี้อีกแล้ว ผู้เล่นที่มีคุณภาพมันไม่เท่าเดิม
ส่วนสเปนอาจจะต้องมาลงรายละเอียดในฟุตบอลโลกครั้งนี้ โอเคพวกเขาครองบอลได้ คอนโทรลเกมได้ ซึ่งก็เป็นตามสไตล์สเปนนี่แหละ แต่ปัญหาก็คือเรื่องการจบสกอร์ของเขา มันยังไม่หลากหลายเกินไป อันนี้จากที่เราก็ทราบกันดีอยู่
คนอาจจะมองว่าสเปนก็มีมิติเดียว มีเรื่องของการเคาะไปเคาะมา ถ่ายบอลไปถ่ายบอลมา แต่จริงๆ ผมว่า “หลุยส์ เอ็นริเก้” เขาก็เห็น ไม่ใช่เขาไม่เห็นหรอก เขาก็พยายามเติมนักเตะที่เล่นลูกโด่งได้ดี อย่าง “อัลวาโร่ โมราต้า” ที่เล่นลูกครอสได้ดี เขาเข้ามาให้ทุกอย่างมันแตกต่าง เพียงแต่ว่ามันอาจจะยังไม่ได้ถูกเอามาใช้ให้มันบ่อยขึ้น
กองหน้าในสไตล์ที่มันแตกต่างมันยังมีไม่มากพอ แม้ว่าพวกเขาจะสร้างโอกาสได้ แต่ว่ามันจบไม่ได้ ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่สเปนกลับมาอยู่ในยุคที่คนอาจจะมองว่าเฮ้ยหมูสนามจริงสิงห์สนามซ้อมหรือเปล่า แต่ผมมองว่าไม่ขนาดนั้น เพราะว่าสเปนก็มีผู้เล่นที่ดี แล้วก็อยู่ในระดับที่ผมมองว่าโอเคดีกว่าเยอรมนี แต่อาจจจะขาดเรื่องของความเด็ดขาดในจังหวะสุดท้ายไป