อาร์เจนตินา กลายเป็นทีมแรกที่ได้ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2022 หลังจากเอาชนะโครเอเชีย รองแชมป์เก่า 3-0 โดยทีมฟ้าขาวได้ประตูจาก ลิโอเนล เมสซี่ ยิงจุดโทษ นาทีที่ 34 และ ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ ยิงคนเดียว 2 ประตู นาทีที่ 39, 69
เกมรอบรองชนะเลิศอีกคู่ ฝรั่งเศส โชว์ฟอร์มเฉียบสมราคาทีมเต็ง เอาชนะ โมร็อกโก 2-0 โดยทีมตราไก่ได้ประตูจาก เตโอ แอร์กน็องเดซ นาทีที่ 5 และ รันเดล โคโล่ มูอานี่ นาทีที่ 79
ทำให้คู่ชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2022 เป็นศึกบิ๊กแมตช์ระหว่าง อาร์เจนตินา ปะทะ “แชมป์เก่า” ฝรั่งเศส แข่งวันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม 2565 เวลา 22.00 น. ถ่ายทอดสดทางช่อง True4U และ T Sport 7
ส่วนผู้แพ้ได้ไปชิงอันดับ 3 เป็นการดวลกันของ โครเอเชีย พบกับ โมร็อกโก แข่งวันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม เวลา 22.00 น. ถ่ายทอดสดทางช่อง True4U
ลิโอเนล สกาโลนี่ กุนซือทีมชาติอาร์เจนตินา ให้สัมภาษณ์หลังเกมที่เอาชนะโครเอเชีย โดยยอมรับว่า การพ่ายแพ้ต่อซาอุดิอาระเบียในนัดเปิดสนามคือจุดเปลี่ยนสำคัญของทีมฟ้าขาว
“หลังจากที่เราแพ้ซาอุดิอาระเบีย เรารู้สึกถึงความรักและการสนับสนุนจากแฟนๆ และผู้คนทั้งประเทศ นั่นคือสิ่งที่วิเศษมากๆ เพราะมันทำให้เราแข็งแกร่ง และมีพลัง เพื่อพลิกสถานการณ์กลับมา”
ขณะที่ ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ กุนซือทีมชาติฝรั่งเศส ให้สัมภาษณ์หลังเกมที่เอาชนะโมร็อกโก โดยระบุว่า เอ็มมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส ได้มาร่วมแสดงความยินดีกับผลงานความสำเร็จในห้องแต่งตัวด้วย
“ผมมีความภูมิใจเมื่อบรรลุเป้าหมายในการแข่งขัน มันยอดเยี่ยมมากที่เราได้ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศในวันอาทิตย์นี้ มันไม่ใช่ชัยชนะที่ง่ายเลย เราแสดงให้เห็นถึงคุณภาพ ประสบการณ์ และจิตวิญญาณของทีม นี่คือช่วงเวลาที่ท้าทายในการแข่งขัน และในฐานะโค้ช ผมรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมาก และพอใจกับผลงานของนักเตะ ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องของตัวเองเลย แต่แน่นอนว่าผมขอยกย่องกับความสำเร็จในครั้งนี้”
ด้าน มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส กล่าวว่า “ขอบคุณสำหรับโค้ชของเรา และทีมของเรา ซึ่งความจริงแล้วเป็นส่วนผสมของคนหลายรุ่น และนั่นคือสิ่งที่ยอดเยี่ยม เดส์ชองส์ อยู่ที่นี่ด้วยโชค และพรสวรรค์ของเขา เราจะนำถ้วยกลับมาและแน่นอนว่า เดส์ชองส์ จะต้องอยู่ต่อ ฝรั่งเศสชุดนี้ทำให้ผมภูมิใจมาก”
สถิติที่น่าสนใจหลังเกม อาร์เจนตินา ชนะ โครเอเชีย 3-0
หากนับผลงานในปี 2022 ลิโอเนล เมสซี่ ยิงประตูให้อาร์เจนตินาไปแล้ว 16 ลูก ซึ่งมากที่สุดกว่าทุกๆ ปี นับตั้งแต่เล่นทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกเมื่อปี 2005
อาร์เจนตินาผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกได้เป็นครั้งที่ 6 ต่อจากปี 1930, 1978, 1986, 1990, 2014 และ 2022 มีเพียงเยอรมนีเท่านั้นที่ได้เข้าชิงฯ มากกว่าอาร์เจนตินา (เยอรมนีเข้าชิงฯ รวม 8 ครั้ง)
เมสซี่ มีส่วนร่วมกับ 19 ประตูในฟุตบอลโลก (ยิงได้ 11 ประตู และ 8 แอสซิสต์) ถือเป็นสถิติที่มากที่สุดเท่ากับ มิโรสลาฟ โคลเซ่, โรนัลโด้ และ แกร์ด มุลเลอร์ นับตั้งแต่มีการบันทึกสถิติเมื่อปี 1966
เมสซี่ เป็นนักเตะคนแรกที่ทั้งยิงทั้งจ่ายในแมตช์เดียวในฟุตบอลโลก รวม 4 นัด โดยนัดแรกทำได้ในเกมพบ เซอร์เบีย ฟุตบอลโลก 2006 ส่วนอีก 3 นัดเป็นฟุตบอลโลก 2022 เกมที่พบกับ เม็กซิโก, เนเธอร์แลนด์ และ โครเอเชีย
เมสซี่ เป็นผู้เล่นคนที่ 6 ที่ยิงประตูได้ในเกมรอบ 16 ทีมสุดท้าย, รอบ 8 ทีมสุดท้าย และรอบรองฯ ในฟุตบอลโลกครั้งเดียว (นับตั้งแต่ปี 1986 ที่มีแข่งรอบ 16 ทีมสุดท้าย) คนแรกคือ ซัลวาตอเร่ สกิลลาชี่ ปี 1990, คนที่ 2 โรแบร์โต้ บาจโจ้ ปี 1994, คนที่ 3 ฮริสโต้ สตอยช์คอฟ ปี 1994, คนที่ 4 ดาวอร์ ซูเคอร์ ปี 1998, คนที่ 5 เวสลีย์ สไนเดอร์ ปี 2010 และ เมสซี่
เมสซี่ ทำประตูรวมในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ 11 ประตู แซงหน้า กาเบรียล บาติสตูต้า อดีตกองหน้าฟ้าขาว ที่เคยทำได้ 10 ประตู และกลายเป็นผู้ทำประตูสูงสุดของอาร์เจนตินาในฟุตบอลโลก
เมสซี่ ลงเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเป็นนัดที่ 25 ซึ่งมากที่สุดเทียบเท่า โลธ่าร์ มัทเธอุส อดีตกองหลังระดับตำนานของทีมชาติเยอรมนี
ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ กองหน้าแมนฯ ซิตี้ เป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุด (22 ปี 316 วัน) ที่ทำได้ 2 ประตูในเกมรอบรองชนะเลิศ หรือ รอบชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก นับตั้งแต่ เปเล่ เคยทำได้ในปี 1958 (17 ปี 249 วัน)
ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ เป็นนักเตะอาร์เจนตินาคนที่ 2 ต่อจาก ดิเอโก้ มาราโดน่า ที่ยิงได้ 2 ประตูในเกมรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลก
ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ ยิงได้ 4 ประตู ในฟุตบอลโลก 2022 ถือเป็นแข้งอาร์เจนตินาคนที่ 2 ที่ยิงได้ 4 ประตูในฟุตบอลโลกครั้งเดียว และมีอายุไม่เกิน 22 ปี ต่อจาก กอนซาโล่ อิกวาอิน ที่เคยทำได้ในปี 2010
อาร์เจนตินาของกุนซือลิโอเนล สกาโลนี่ กลายเป็นทีมที่ 5 ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกที่แพ้นัดประเดิมสนาม แต่ก็สามารถผ่านเข้าไปถึงรอบชิงฯ
โดย 3 ทีมก่อนหน้านี้ที่เคยแพ้นัดประเดิมสนาม แล้วได้เข้าชิงฯ (แต่สุดท้ายแพ้) คือ ปี 1982 เยอรมันตะวันตก แพ้ แอลจีเรีย 1-2 (รอบชิงฯ เยอรมันตะวันตก แพ้ อิตาลี 1-3)
ปี 1990 อาร์เจนตินา แพ้ แคเมอรูน 0-1 (รอบชิงฯ อาร์เจนตินา แพ้ เยอรมันตะวันตก 0-1), ปี 1994 อิตาลี แพ้ ไอร์แลนด์ 0-1 (รอบชิงฯ อิตาลี แพ้จุดโทษ บราซิล 2-3)
ขณะที่ฟุตบอลโลก ปี 2010 สเปนก็เคยแพ้สวิตเซอร์แลนด์ในนัดแรก 0-1 แต่สุดท้ายพวกเขาก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์ (รอบชิงฯ สเปน ชนะ เนเธอร์แลนด์ ช่วงต่อเวลาพิเศษ 1-0)
สถิติที่น่าสนใจหลังเกม ฝรั่งเศส ชนะ โมร็อกโก 2-0
ฝรั่งเศส ไม่เคยแพ้ใครในฟุตบอลโลก เมื่อเป็นฝ่ายขึ้นนำคู่แข่งในครึ่งแรก ชนะ 25 และ เสมอ 1 ครั้ง
ฝรั่งเศส ลุ้นสร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมที่ 2 ต่อจากบราซิล ปี 1962 ที่เป็นแชมป์เก่า แล้วสามารถป้องกันแชมป์ได้
ฝรั่งเศส เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกได้ถึง 4 ครั้ง (1998, 2006, 2018, 2022) จาก 7 ครั้งหลังสุดของทัวร์นาเมนต์
ฝรั่งเศส ผ่านเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกได้ 2 ครั้งติดต่อกัน ก่อนหน้านี้บราซิลเคยทำได้ในปี 2002 และฝรั่งเศสเป็นชาติจากทวีปยุโรปทีมที่ 2 ต่อจากเยอรมนีในฟุตบอลโลก ปี 1990
ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ กุนซือทีมชาติฝรั่งเศส นำทีมผ่านเข้าชิงชนะเลิศได้เป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน และถือเป็นโค้ชคนที่ 4 ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก ที่พาทีมกลับมาสู่รอบชิงชนะเลิศได้เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน
โดยโค้ช 3 คนก่อนหน้านี้ที่เคยทำได้ คือ วิตโตรีโอ ปอซโซ (อิตาลี 1934, 1938), คาร์ลอส บิลาร์โด (อาร์เจนตินา 1986, 1990) และ ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ (เยอรมนี 1986, 1990)
อูโก้ โยริส ทำสถิติเป็นผู้รักษาประตูที่ลงเล่นในฟุตบอลโลกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่จำนวน 19 นัด เทียบเท่ากับ มานูเอล นอยเออร์ ผู้รักษาประตูทีมชาติเยอรมนี
รันเดล โคโล่ มูอานี่ สร้างสถิติเป็นผู้เล่นตัวสำรอง และสามารถทำประตูได้เร็วที่สุดเป็นอันดับ 3 ที่เวลา 44 วินาที เป็นรอง ริชาร์ด โมราเลส (อุรุกวัย) 16 วินาที ในฟุตบอลโลก 2002 และ เอ็บเบ ซานด์ (เดนมาร์ก) 26 วินาที ในฟุตบอลโลก 1998
เตโอ แอร์กน็องเดซ ที่ยิงได้ในนาทีที่ 4.39 เป็นประตูที่เร็วที่สุดในการแข่งขันรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลก นับตั้งแต่ปี 1958 หรือกว่า 64 ปีมาแล้ว
เตโอ แอร์กน็องเดซ คือผู้เล่นเอซี มิลาน คนแรกที่ทำประตูได้ในฟุตบอลโลก 2022