นาทีประวัติศาสตร์ที่ยังอยู่ในความทรงจำของแฟนนางงามไทยทุกคน เชื่อว่า 24 กรกฎาคม 1965 วินาทีที่ “ปุ๊ก อาภัสรา หงสกุล” สาวงามตัวแทนจากประเทศไทยในวัยเพียง 18 ปี ณ ขณะนั้น เป็นผู้ครองตำแหน่งนางงามจักรวาลเป็นคนแรกของประเทศไทย หลังจากนั้นถัดมาอีก 23 ปี แฟนนางงามไทยทั้งประเทศได้มีความสุขอีกครั้ง เมื่อ “ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก” วัย 20 ปี ของประเทศไทย ครองตำแหน่งนางงามจักรวาลประจำปี 1988 เป็นสาวไทยคนที่สองที่ได้ครอบครองมงกุฎนางงามจักรวาล นับตั้งแต่มีการจัดประกวดมิสยูนิเวิร์สมาตั้งแต่ปี 1952
นับเป็น 2 ปีที่เป็นความสุขของแฟนนางงามอย่างแท้จริง โดยเฉพาะ “หนุ่ม นันท์นภัทร เจิมจุติธรรม” ผู้เชี่ยวชาญด้านการประกวดและกูรูนางงามชื่อดัง ที่ติดตามการประกวดนางงามมานานกว่า 30 ปี และมีโอกาสได้เป็นหนึ่งในคนหลักหมื่นที่ไปรอต้อนรับการกลับมาของสาวไทยพร้อมมงกุฎนางงามจักรวาลในปี 1988
“ปี พ.ศ. 2508 พี่เกิดไม่ทันแต่ว่าได้เห็นจากเอกสารหลักฐาน แล้วเรารู้สึกว่าโอ้โห การเป็นนางงามจักรวาลคนแรกเป็นความยิ่งใหญ่ เอาแค่ว่าเดินทางจากสนามบินดอนเมืองมาถึงศาลาว่าการฯ ก็ใช้เวลาเป็นวัน เพราะว่าประชาชนวิ่งออกมาต้อนรับตามเส้นทางที่พี่ปุ๊ก อาภัสรา จะต้องผ่าน”
ภาพวันนั้นที่พี่ปุ๊กขึ้นรถเชฟโรเลต อิมพาลา มาจากสนามบินดอนเมือง ณ ยุคนั้นพี่ว่าเป็นภาพประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่ง ซึ่งเราได้เห็นพลังการต้อนรับของคนที่ไปสร้างชื่อให้กับประเทศเรา โดยเฉพาะในยุคนั้นที่การติดต่อสื่อสารไม่ได้กว้างไกลในแบบปัจจุบันนี้ และในยุคก่อนหน้านั้นคนยังไม่รู้จักประเทศไทย พี่ปุ๊กนี่ต้องถือว่าเป็นผู้เปิดประตูให้ไทยแลนด์เป็นที่รู้จักของทั่วโลกจริงๆ
หนุ่ม นันท์นภัทร เจิมจุติธรรม เล่าถึงความยิ่งใหญ่วันที่ ปุ๊ก อาภัสรา กลับประเทศไทยพร้อมมงกุฎนางงามจักรวาล
พอมาถึงยุค พี่ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ พี่โตทันแล้ว แล้วก็จำวันนั้นได้ดีวันที่พี่ปุ๋ยกลับมาเยี่ยมบ้าน พี่ปุ๋ยได้ตำแหน่งนางงามจักรวาลเดือนพฤษภาคม แต่กลับมาเยี่ยมบ้านในเดือนสิงหาคม เรารอคอยเขานานมากกว่าเขาจะกลับมา ในระหว่างนั้นเราจะเห็นข่าวจากหนังสือพิมพ์เพราะอินเทอร์เน็ตยังไม่มี พอวันที่เรารู้แล้วว่าพี่ปุ๋ยแลนด์ดิ้งคืนนี้แล้ววันรุ่งขึ้นจะต้องมาที่สนามหลวง เพื่อมาโชว์ตัวและกล่าวสวัสดี รับกุญแจเมืองกับทางผู้ว่าฯ กทม. ในยุคนั้น ก็คือท่าน “พลตรี จำลอง ศรีเมือง” คนมารอแบบมืดฟ้ามัวดินเช่นกัน แล้วพี่ปุ๋ยก็นั่งรถเชฟโรเลต อิมพาลา คันเดิมที่เคยรับพี่ปุ๊ก อาภัสรา มาส่งที่สนามหลวง
วันนั้นฝนตกแต่คนก็ไม่หนีไปไหน ทุกคนยืนกางร่มแล้วก็รอว่าพี่ปุ๋ยจะพูดอะไร พี่ว่าเป็นบรรยากาศที่น่าชื่นชมและเป็นบรรยากาศที่ทำให้ประชาชนคนไทยในวันนั้นมีความสุขมากๆ โดยเฉพาะวันที่พี่ปุ๋ยกลับมาเป็นเดือนสิงหาคม เป็นเดือนมหามงคล แล้วก็มีโอกาสได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถด้วย พี่ว่าเป็นการทำให้ประชาชนคนไทยมีความสุขในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างชื่อตอกย้ำชื่อของประเทศไทย ด้านความสวยงาม ความเพรียบพร้อมของสุภาพสตรี และก็เป็นการเปิดประเทศของเราในด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไปอีกทางหนึ่งด้วย
ในยุคนั้นเป็นความแมสอย่างชนิดที่ว่าเราไม่เคยเห็นบุคคลต่างอาชีพ ต่างสาขาใดๆ มารวมตัวกัน คือในยุคปัจจุบัน คนที่สนใจฟุตบอลไปดูฟุตบอล คนชอบนักร้องร้องเพลงไปดูนักร้อง คนชอบนางงามไปดูนางงาม เรามีความชอบที่หลากหลายแตกต่างกันไป แต่ว่าในยุคปี พ.ศ.2531 พี่จำได้แม่น เราเจอพนักงานแบงค์ เราเจอข้าราชาการ ตำรวจ ทหาร หมอ พยาบาล ที่ไปอยู่รวมกันที่สนามหลวงในวันนั้น และเราก็เจอเด็กๆ จากโรงเรียนต่างๆ มีคุณครูพาเด็กๆ มา แล้วก็มายืนรอมาต้อนรับนางงามจักรวาล พี่ว่ามันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากในปีนั้น
หนุ่ม นันท์นภัทร เจิมจุติธรรม เล่าถึงความยิ่งใหญ่วันที่ ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ กลับประเทศไทยพร้อมมงกุฎนางงามจักรวาล
ศักยภาพของ “ปุ๊ก อาภัสรา” และ “ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์” ในปีที่ได้รับมงกุฎ
หนุ่ม นันท์นภัทร : ปีพี่ปุ๊ก อาภัสรา ปี 1965 ยุคนั้นต้องบอกอย่างนี้ก่อนว่า มีสุภาพสตรีไม่กี่คนนะที่เป็นนักเรียนนอก แล้วก็สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี พี่ปุ๊ก อาภัสราเป็นหนึ่งในนั้น แล้วก็เป็นสุภาพสตรีที่สร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับวงการ ให้กับองค์กรการประกวดมิสยูนิเวิร์ส คือทุกคนไม่เข้าใจว่าประเทศไทยอยู่ตรงไหน บางทียังไม่เข้าใจว่าไทยแลนด์กับไต้หวันต่างกันยังไง คุณปุ๊กก็เป็นคนเปิดประตูบานนี้ แล้วก็นำเอกลักษณ์วัฒนธรรมของประเทศไทยไปเผยแพร่ในหลายๆ รูปแบบ
ไม่ว่าจะเป็นการกางร่มเชียงใหม่ในขณะที่ใส่ชุดว่ายน้ำ หรือสวมใส่ผ้าไหมไทยในทุกๆ รอบของการประกวด แล้วก็ในทุกๆ วันของการเก็บตัว ดังนั้นสิ่งที่คุณปุ๊กนำไปมันคือซอฟต์เพาเวอร์ในยุคนั้น อย่างแข็งแรงมากๆ แล้วก็สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ทางด้านการท่องเที่ยวอย่างมหาศาล ดังนั้นคนต่างประเทศที่ไม่รู้จักประเทศไทย บางคนยังเข้าใจว่าประเทศไทยยุคนั้นบ้านเราขี่ช้างหรือเปล่า บ้านเมืองยังเป็นป่าหรือเปล่า แต่คุณปุ๊กคือล้างภาพพวกนั้นหมดเลย กลายเป็นประเทศไทยที่ทันสมัย
พอมาถึงยุคพี่ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ ปี 1988 ในยุคนั้นพี่ปุ๋ยเป็นผู้ที่เปิดประตูให้ผู้หญิงมีปาก คำว่ามีปากหมายความว่า มีเสียงออกมาจากปากของเธอ ว่าเธอต้องการจะเรียกร้องจะพูดเรื่องอะไร พี่ปุ๋ยเป็นผู้หญิงคนแรกที่พูดเรื่องราวเหล่านี้แล้วก็สร้างสารไปทั่วโลกว่าเรา ว่าประเทศไทยกำลังต้องการอะไร โลกของเราใบนี้กำลังต้องการอะไร เป็นผู้หญิงคนแรกที่เป็นผู้นำ พี่ว่าเป็น Spokesperson ให้กับประเทศของเราในตอนนั้นเลย
“อาภัสรา หงสกุล” และ “ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก” กับการสร้างค่านิยมให้กับนางงามไทยและผู้หญิงไทย
หนุ่ม นันท์นภัทร : ยุคของพี่ปุ๊ก อาภัสรา ผู้หญิงในยุคเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ไม่ได้มีโอกาสทำงาน ไม่ได้มีโอกาสเป็นหัวหน้า ไม่มีโอกาสเป็นผู้นำองค์กรเหมือนกับผู้หญิงในสมัยนี้ ผู้หญิงในสมัยก่อนค่านิยมคือเป็นแม่บ้าน เรียนจบอย่างเก่งสุดคือไปเรียน finishing course หรือคอร์สการเรือน แต่อาจจะมีผู้หญิงบางคนที่ไปเรียนธรรมศาสตร์เรียนจุฬาฯ ก็มีบ้าง แต่พี่ปุ๊กเป็นผู้หญิงคนแรกที่เปิดประตูอีกหนึ่งบานคือประตูของนักธุรกิจ ไปเป็นเทรนเนอร์ออกกำลังกาย ไปเป็นผู้บริหาร World Clubs แล้วก็สั่งสินค้ามาขายจากต่างประเทศ เป็นตัวแทนนาฬิกาชื่อดังจากทวีปยุโรปนำมาขายในประเทศไทยเป็นเจ้าแรกๆ เป็นสุภาพสตรีคนแรกๆ ที่บอกกับผู้หญิงทั่วไปว่า เราเป็นผู้หญิงเราสามารถทำอะไรก็ได้อย่างที่ผู้ชายทำ
ส่วนพี่ปุ๋ยอย่างที่พี่บอกไปแล้วว่าพี่ปุ๋ยเป็นผู้นำทางด้านการพูด พี่ว่าผู้หญิงหลายๆ คนที่สามารถจะพูดต่อหน้าสาธารณชนได้ในยุคก่อน มีไม่เยอะนัก ถ้าเราจะมองหลังจากก่อนหน้านี้ไปสัก 20-30 ปี มีผู้หญิงไม่กี่คนที่เป็นเฟมินิสต์จริงๆ อาจจะมี “จิระนันท์ พิตรปรีชา” มี “เสาวนีย์ ลิมมานนท์” ที่สามารถจะพูดอะไรต่อหน้าสาธารณชนได้ แต่พี่ปุ๋ยก็เป็นอีกคนหนึ่งซึ่งมีแพลตฟอร์มในการช่วยเหลือสังคม แล้วก็บอกกับสังคมว่าเราเป็นผู้หญิงมาจับมือด้วยกันแล้วเราทำอะไรดีๆ ให้กับสังคมได้ พี่ปุ๋ยทำตั้งแต่วันนั้นปี 2531 จนถึงวันนี้ในปี 2565 โครงการ Angels Wings ไม่เคยหยุด พี่ปุ๋ยรักษาคำสัญญาของตัวเองตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้
หนุ่ม นันท์นภัทร ยังกล่าวอีกว่าภาพเหตุการณ์ในวันนั้น แสดงให้เห็นถึงความสมัครสมานสามัคคี ความสุขใจ แล้วก็เป็นการสร้างรอยยิ้มให้กับคนไทยทั้งประเทศอย่างแท้จริง
ขอขอบคุณโรงพยาบาล Masterpiece เอื้อเฟื้อสถานที่สัมภาษณ์