นอกจากบุคคลที่มีชื่อเสียงในแวดวงบันเทิงที่ผันตัวมาลุยงานการเมืองกันหลายคนแล้ว อีกหนึ่งไฮไลต์ที่น่าสนใจในสนามเลือกตั้งปี 2566 ก็คือคนในวงการสื่อสารมวลชนที่ตัดสินใจเลือกความท้าทายครั้งใหม่ในชีวิต
เปลี่ยนบทบาทจาก “นักข่าว-นักหนังสือพิมพ์-ผู้ประกาศข่าว” สู่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ทั้งระบบบัญชีรายชื่อ หรือปาร์ตี้ลิสต์ และ ส.ส. แบบแบ่งเขต
เพื่อหวังเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการพลิกโฉมการเมืองไทย สร้างมิติใหม่ๆ ให้กับประเทศไทยในฐานะ ส.ส. สายเลือดใหม่ FEED ได้รวบรวม 4 ผู้สมัคร ส.ส. ซึ่งเป็นอดีตคนข่าวที่ประกาศตัวลงชิงชัยในการเลือกตั้งครั้งนี้
1. เชตวัน เตือประโคน ผู้สมัคร ส.ส. เขต 6 จังหวัดปทุมธานี คูคต-ลำสามแก้ว-ลาดสวาย พรรคก้าวไกล
เชตวัน เคยเป็นหัวหน้าข่าวประจำโต๊ะข่าวเฉพาะกิจ และโต๊ะข่าวหน้า 1 หนังสือพิมพ์มติชนเป็นเวลากว่า 10 ปี ต่อมา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ รศ.ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล ได้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ จึงเชิญชวนให้เขามาทำงานที่พรรคอนาคตใหม่ด้วยกัน ซึ่งเชตวันอยู่พรรคอนาคตใหม่ตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งพรรคฯ ถูกยุบ
โดยช่วงแรกๆ เชตวันทำหน้าที่บรรณาธิการฝ่ายการเมืองของพรรคฯ ทำงานภายใต้ร่มธงของ “ช่อ” พรรณิการ์ วานิช อดีตโฆษกพรรคฯ ในขณะนั้น หลังจากเลือกตั้งปี 2562 เชตวันได้เข้าไปเป็นผู้ชำนาญการประจำตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของ รศ.ดร.ปิยบุตร ซึ่งเป็นตำแหน่งในสภา
กระทั่งต่อมาพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ และ รศ.ดร.ปิยบุตร ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง เชตวันจึงหันมาทำงานเบื้องหลัง ก่อนที่จะตัดสินใจมาลุยงานการเมืองเบื้องหน้ากับพรรคก้าวไกล และลงสมัคร ส.ส. เขตที่จังหวัดปทุมธานี
2. “ลิซ่า” ภคมน หนุนอนันต์ ผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล
ภคมน ทำงานสื่อมวลชนครั้งแรกด้วยการเป็นโปรดิวเซอร์ของ SMMTV สื่อในเครือ บริษัท สยามสปอร์ต จากนั้นเปลี่ยนไปทำงานเป็นผู้สื่อข่าวสายแรงงานของ SMMTV ในช่วงสั้นๆ ต่อด้วยย้ายไปหาประสบการณ์ใหม่กับช่อง voice tv และเคยเป็นผู้สื่อข่าวสายการเมืองช่อง Mono29 มาแล้ว ด้วยความที่ภคมนเป็นคนที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองแรงกล้า และมีความชื่นชอบเรื่องการเมืองเต็มขั้น เธอจึงตัดสินใจร่วมเดินทางกับพรรคก้าวไกล
ก่อนหน้านี้ภคมนโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Pukkamon Noon โดยระบุว่า ปี 2554 เป็นผู้สื่อข่าว ได้รับมอบหมายติดตามคุณยิ่งลักษณ์หาเสียง จนปี 2557 หลังรัฐประหาร ตัดสินใจลาออกทิ้งความฝันการเป็นสื่อมวลชน เพราะหดหู่ หมดหวังในข้อจำกัดของแวดวงสื่อมวลชน คิดว่าคงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการเมืองอีกแล้ว นอกจากพลเมืองที่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง
จนปลายปี 2561 ได้รับสายจากมิตรสหายเชื้อเชิญ ปลุกไฟ จี้จุดให้ร่วมงานกลับเข้ามาทำงานกับพรรคอนาคตใหม่ บทบาทเปลี่ยนไป แต่กลับเข้าสู่การสื่อสารทางการเมืองเหมือนเดิม ดีใจ ไฟลุกโชน มีความหวังแต่ไม่ใช่หวังแค่กับอนาคตตัวเองอีกแล้ว แต่หวังว่าประเทศนี้มันจะเปลี่ยนไปสักที
จนกระทั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ ก็พยุงตัวเอง ปลุกใจตัวเองและเพื่อนร่วมทางจนมาถึงวันนี้วันที่ยุบสภาฯ กำลังจะมีประสบการณ์ร่วมกับการหาเสียงปี 66 อีกครั้ง 12 ปีกับแวดวงการสื่อสารการเมือง หวังว่าการเลือกตั้ง 66 จะย่นระยะประเทศไทยที่เสียเวลา เสียโอกาสให้สามารถเข้าใกล้หมุดหมายได้เสียที
3. “จืด” แสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม ผู้สมัคร ส.ส. กรุงเทพฯ เขตบางซื่อ-ดุสิต (เฉพาะแขวงถนนนครไชยศรี) พรรคชาติพัฒนากล้า
แสนยากรณ์ เคยเป็นนักข่าวการเมืองประจำรัฐสภา ประจำพรรคการเมืองและคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ทำงานในวงการสื่อฯ มานานกว่า 8 ปี ก่อนตัดสินใจมุ่งเข้าสู่เส้นทางการเมืองโดยเริ่มต้นเป็นโฆษกพรรคกล้า สาเหตุที่เข้ามาลุยการเมืองเป็นเพราะว่าอยากจะทำงานในสิ่งที่ตัวเองเรียนมา คือคณะรัฐศาสตร์ การเมืองการปกครอง
และตัวเขามีความสนใจในการเมืองตั้งแต่เด็ก เพราะรู้สึกว่ามีปมอะไรบางอย่าง เช่น ทำไมเรื่องบางเรื่องทำไม่ได้ ทำไมถึงติดขัดในระบบราชการ ทำให้รู้สึกว่าหากตัวเองได้เป็นนักการเมืองมันก็จะสามารถเปลี่ยนโลก และเปลี่ยนสังคมได้ แม้ว่าการทำงานด้านสื่อฯ จะสามารถเปลี่ยนโลกได้ในฐานะเป็นสื่อกลางให้กับประชาชน
แต่ถ้าหากเป็นนักการเมืองก็จะเพิ่มขึ้นไปอีกสเต็ปหนึ่ง คือมีอำนาจ และสามารถแก้กฎหมาย เพื่อที่จะผลักดันนโยบายต่างๆ ได้ และที่ผ่านมามองว่านักการเมืองในสภาจำนวนกว่า 80-90 เปอร์เซ็นต์ เป็นลูกหลานคนรวยทั้งนั้น ซึ่งประเด็นนี้ไม่ได้ถูกหรือผิด
แต่พรรคชาติพัฒนากล้าให้โอกาสคนจนเมือง มนุษย์เงินเดือน เพราะตนเองไม่ใช่คนบ้านรวย สมัยก่อนทำงานที่ช่องไทยพีบีเอสเขาไม่มีรถยนต์ ต้องนั่งรถเมล์มาทำงาน พอมีเงินเก็บขึ้นมาหน่อย ก็ซื้อมอเตอร์ไซค์ขี่มาทำงาน เคยตากฝน เคยจอดรถหลบฝนใต้ทางด่วน เพื่อรอให้ฝนหยุด ไม่มีรถเก๋งขับ
เชื่อว่าคนที่ประสบความลำบากจริงๆ จะมีอินเนอร์และถ่ายทอดสิ่งที่คนกำลังเดือดร้อนให้สภาฟังได้ เพื่อนำไปสู่การออกนโยบายต่อไป ดังนั้นก็ตอบโจทย์ตัวเองที่ว่าพรรคชาติพัฒนากล้าได้เน้นเรื่องเกี่ยวกับคุณภาพชีวิต เรื่องปากท้อง เรื่องเศรษฐกิจ และเรื่องคนจนเมือง
4. “เดียร์” เกศปรียา แก้วแสนเมือง ผู้สมัคร ส.ส. กรุงเทพฯ เขต 2 ปทุมวัน-สาธร-ราชเทวี พรรคเพื่อชาติ
เกศปรียา เคยเป็นผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์ โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้นำเสนอข่าวสารข้อมูลสำคัญให้กับคนทั้งประเทศ ไม่ว่าจะเป็นข่าวในประเทศ หรือข่าวต่างประเทศ ซึ่งเธอได้เล็งเห็นถึงปัญหา และตั้งคำถามว่าทำไมภาคเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมของประเทศไทย กับต่างประเทศ จึงมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก
ทั้งๆ ที่มีความเชื่อว่าประเทศไทยของเราสามารถพัฒนาไปให้ได้ดีมากกว่านี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพ หรือเรื่องอื่นๆ และด้วยความที่เกศปรียาเป็นคนในแวดวงสื่อฯ จึงหวังใช้ความรู้ ความสามารถ และศักยภาพของตัวเอง เพื่อทำอะไรให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติ บ้านเมือง และผู้คนได้มากกว่านี้
เธอจึงหันมาลุยงานการเมืองโดยเริ่มต้นจากโฆษกพรรคเพื่อชาติ ส่วนสาเหตุที่เลือกพรรคเพื่อชาตินั้น เนื่องจากเมื่อ 4 ปีที่แล้วเกศปรียาเคยได้ไปขอคำปรึกษาจากนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานรัฐสภา และอดีตประธานสภา และรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน
รวมทั้งได้บอกกับนายยงยุทธถึงความฝัน ความตั้งใจ ความมุ่งมั่น และเป้าหมายที่อยากจะทำในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับคนอื่นๆ ได้มากกว่านี้ จนกระทั่งได้มาทำงานกับพรรคเพื่อชาติในที่สุด