แม้จะไปไม่ถึงมงกุฎที่หวังไว้ แต่ก็ถือว่าเป็นก้าวแรกที่ประสบความสำเร็จไม่น้อย สำหรับ “น้ำอิง สุทธิดา เอียดปู” สาวน้อยวัยเพียง 18 ปี เจ้าของตำแหน่ง MUT นครศรีธรรมราช และ รองอันดับ 5 มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2023
แต่จะมาถึงจุดนี้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ด้วยความที่ครอบครัวไม่สามารถสนับสนุนได้อย่างเต็มที่ แต่โชคดีได้พบกับ “น้ำมนต์ รณจักร ขุนชิต” ชายหนุ่มผู้ที่ชื่นชอบวงการนางงาม ที่อาสาสานฝันให้กับน้ำอิงในเส้นทางนางงาม ด้วยการเป็นพี่เลี้ยงพาสาวน้อยมหัศจรรย์ที่ชื่อน้ำอิงเข้าสู่เส้นทางนางงามได้สำเร็จ จนสามารถคว้ารองอันดับ 5 มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2023 ซึ่งเป็นเวทีนางงามระดับประเทศ ครั้งแรกในชีวิตของเจ้าตัว
FEED มีโอกาสได้สัมภาษณ์ “น้ำมนต์ รณจักร ขุนชิต” พี่เลี้ยงนางงามของ น้ำอิง สุทธิดา ผู้ที่มอบโอกาสและสานฝันในเส้นทางนางงามให้กับน้ำอิง ด้วยความมุ่งมั่นที่อยากมอบโอกาสและช่วยสานฝันให้ผู้หญิงที่อยากเป็นนางงาม
“สวัสดีครับ น้ำมนต์นะครับ รณจักร ขุนชิตครับ เป็นพี่ชายหรือว่าพี่เลี้ยงของน้องน้ำอิง สุทธิดา เอียดปู มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์นครศรีธรรมราชครับ”
“จริงๆ แล้วตัวน้ำมนต์เอง ชื่นชอบนางงามอยู่แล้ว สิ่งที่ทำให้เข้ามาวงการนางงาม คือการเปลี่ยนคน เมื่อก่อนมีเพื่อนหรือคนที่เขาไม่มั่นใจในรูปลักษณ์ แล้วตัวผมเองได้ดึงออกมาจากตรงนั้นให้เขามั่นใจในตัวเองมากยิ่งขึ้น ให้เขาได้สวยขึ้น มันก็เป็นรางวัลสำหรับผม เพราะปกติผมเป็นเมคอัพอาร์สติสด้วย การที่เราได้เปลี่ยนคนๆ หนึ่งให้สวยขึ้น ให้เขาได้มั่นใจขึ้น มันก็เป็นรางวัลที่ทำให้เรารู้สึกดี”
จุดเริ่มต้นได้มาเป็นพี่เลี้ยงนางงามให้ “น้ำอิง สุทธิดา”
น้ำมนต์ : ตัวน้องเองเท่าที่ได้รู้จัก เขาเป็นคนชอบนางงาม มีการบอกกล่าวเล่าต่อมาจากพี่ๆ คนอื่นที่เขาไปเป็นช่างแต่งหน้า เขาบอกว่าน้องคนนี้ชอบนางงาม แต่เขาอาจจะไม่มีโอกาส จุดที่ทัชใจก็คือ เขาสู้ เหมือนที่เขาได้บอกสื่อหลายๆ สื่อ ก็คือเขาไปประกวดเอง โดยที่มีแพชชั่นในตัวเอง แล้วก็ลงมือทำเอง ไม่ได้รอโอกาสจากคนอื่น ก็เลยทัชใจว่าอย่างน้อยถ้าเราได้ส่งเสริมเขาในเส้นทางนี้ก็น่าจะเป็นสิ่งที่โอเคครับ
“ตอนแรกทักไปหาเฟซบุ๊กเขาก่อน ได้เฟซบุ๊กจากพี่คนนึงที่เขาเป็นช่างแต่งหน้าที่รู้จักน้องก่อน ทักไปตอนแรกเขาไม่ตอบ สวัสดีครับน้องน้ำอิง พี่น้ำมนต์นะครับ พี่เห็นหน่วยก้านโอเค อยากจะชวนมาประกวด เขาก็อ่านแล้วไม่ตอบ ตอนแรกก็คิดน้องคงจะง่วงแล้วไม่ได้ตอบ แต่ผมรู้ตอนหลังคือเขากลัว กลัวเป็นมิจฉาชีพ (หัวเราะ) กลัวโดนหลอก ตอนหลังเราก็ทักไปอธิบายให้ฟังว่าเป็นยังงี้นะ ลองคุยกันก่อน เขาก็เปิดโอกาสแล้วก็ได้คุยกัน ผมเองก็ต้องเข้าทางตรอกออกตามประตูเนอะ ก็คือคุยกับคุณพ่อคุณแม่ให้เรียบร้อย ว่าเราจะเอาน้องมาประกวดอะไรยังไง ก็เลยได้รู้จักน้อง”
“ตอนแรกเรายังไม่ได้รู้สตอรี่ชีวิตเขามาก แต่ว่าผมดูที่เด็กที่ตั้งใจ พอได้คุยปุ๊บ เขาบอกว่าหนูชอบมากๆ เลยค่ะ ชอบการประกวดมากๆ เลย แต่ว่าหนูไม่เคยได้โอกาสจริงๆ สักครั้ง คือมีคนทาบทามเขาหลายครั้งนะครับ ด้วยรูปร่างเขาสูง พื้นฐานเดินดี แต่ว่าก็ไม่มีโอกาสได้ไปถึงฝันหรือว่าได้ทำจริงๆ สักครั้ง เขาบอกว่าหนูพร้อมที่จะทำทุกอย่างเลย ใช้คำพูดแบบติช่า เดอะเฟซเลยก็คือ ถ้าพี่บอกให้หนูทำอะไร หนูก็จะทำ พี่บอกให้หนูดำน้ำ หนูก็จะถามว่าดำลึกแค่ไหน ก็รู้สึกว่ามันน่ารักดี แต่ตอนแรกเขาเป็นคนนิ่งๆ ไม่ค่อยพูด เราเห็นคนมาเยอะ เห็นว่าเด็กคนนี้ต้องมีของอะไรสักอย่าง ดูจากการพูดหรือว่าแววตาเขาแล้ว ก็ด้วยโชคชะตาด้วยมั้ง เลยได้มาเจอแล้วก็ได้เลือกเขา (ยิ้ม)”
ตอนไปคุยกับครอบครัวของ “น้ำอิง สุทธิดา” ว่าจะพาน้องเข้าเส้นทางนางงาม
น้ำมนต์ : จริงๆ ก็ธรรมดาของพ่อแม่เลยครับ ก็คือเขาเป็นห่วง ตอนแรกคุณแม่จะมากับน้อง นั่งรถไฟกันมาสองคนแม่ลูก แล้วผมก็ไปรับที่สถานีรถไฟแล้วก็มานั่งคุยกัน คุณแม่เขาก็ขอบคุณอย่างเดียวเลย เขารู้มาตลอดว่าน้องชอบการประกวด ชอบนางงาม แต่ด้วยความไม่พร้อมที่จะพาน้องไปประกวด พอได้โอกาสเขาก็มีแต่ขอบคุณอย่างเดียวเลยครับ
ศักยภาพของน้องที่โดดเด่นออกมา และการฝึกจนได้เพชรเม็ดงามที่ชื่อ “น้ำอิง สุทธิดา”
น้ำมนต์ : ทัศนคติกับการพูดครับ เขาพูดออกมาจากความคิด การตอบคำถามเวลาเทรนนางงามสำหรับผมนะครับ ทริคของผมก็คือเหมือนเรามีโจทย์หนึ่งโจทย์เกี่ยวกับเรื่องอะไรสักเรื่องหนึ่ง เราแค่พูดอธิบายให้เขาฟังเรื่อยๆ ว่าการตอบคำถาม ไม่ได้เล่าคำตอบตามคำถาม แต่มันคือการพูดให้คนฟังเข้าใจ ต่อให้มีเวลาจำกัดเราก็ต้องสื่อสารออกมาให้ได้ เขาก็จะไปจัดการกระบวนการคิดของเขา คือเขามีความคิดเป็นของตัวเอง เขานำเอาไปประมวลความคิดแล้วก็ตอบออกมาเป็นแนวทางเป็นวิธีของเขา ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับการเป็นนางงามที่สามารถแสดงออกมาโดดเด่นจากหลายๆ คนได้ ตรงนี้ที่เขามี แล้วก็บุคลิกของเขาที่การเดินเขาเดินได้ มีพื้นฐานเล็กน้อย ขาตึง เดินก้าวยาว แต่ว่าการโพสต์เขายังอาจจะไม่ได้ เราแค่มีตัวเองให้เขาดู แล้วก็บอกทริคนิดๆ หน่อยๆ ว่า การทิ้งน้ำหนักอะไรยังไง ให้เขาดูว่าควรจะเป็นแบบพี่คนนี้ๆ นะ การพลิกตัวแบบนู้นแบบนี้ ก็เขาทำได้ เขาเข้าใจง่าย เร็ว เป็นคนหัวเร็ว คิดเร็ว ทำเร็ว
“ถ้าถามว่าฝึกเยอะไหม เยอะมาก แต่ผมก็บอกน้องเสมอครับว่า คนเราถ้ายังมีลมหายใจอยู่ จะไม่มีคำว่าดีที่สุด จะมีแต่คำว่าดีขึ้น เก่งขึ้น พัฒนาขึ้น คือมันจะมีดีที่สุด ณ วินาทีนั้นแหละ แต่ว่าดีที่สุดในชีวิตจะไม่มี เพราะฉะนั้น หนูต้องเป็นน้ำครึ่งแก้ว หนูต้องเติมอยู่เรื่อยๆ สิ่งที่เขาเปลี่ยนมาตั้งแต่แรกเลยคือ จากที่เขามีอยู่ประมาณนึงแล้ว พอได้ฝึก ได้เปลี่ยน ฝึกพูด ฝึกเดิน ก็ดีขึ้นมาเรื่อยๆ ตามระดับ”
ตอนที่ส่งลงชิงมง MUT นครศรีธรรมราช
น้ำมนต์ : ตอนแรกเลยที่พาน้องไปสมัคร เราหวังแค่ว่าอาจจะได้สักตำแหน่งนึง ใน 1 ใน 5 ไม่ได้หวังถึงชนะเลิศเลย เพราะว่าง่ายๆ เลยคือน้องอายุ 18 เราไม่ได้จำกัดความสามารถน้องนะครับ แต่ว่าเราก็กันไว้ก่อน เราไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น ด้วยอายุเขายังน้อย ประสบการณ์เขาอาจจะไม่เท่าพี่ๆ คนอื่น ก็กลัวว่าเขาไปแล้วเขาอาจจะแพ้คนอื่น กลัวเขาเสียใจมากกว่า แต่พอคอนเซ็ปต์เวทีอ่ะครับ The Unlimited of Universe คือมันไร้ขีดจำกัด ก็เลยถามน้องเลยว่า หนูคิดว่าตัวเองอายุจำกัดไหม เขาบอกไม่ค่ะป๊า หนูไม่กลัว หนูรู้สึกว่าหนูสู้ได้ ก็ในเมื่อน้องมั่นใจขนาดนี้เราตอนแรกที่เรากังวล ก่ำๆ กึ่งๆ ก็เลย มา ไม่กลัวก็ทำให้เต็มที่เลย ก็เลยหวังไปถึงมงกุฎเลย ตอนแรกแค่หวังแค่ให้ได้ตำแหน่งก็พอครับ
“คุณพ่อคุณแม่ พี่สาวสองคนนี่คือโทรมาร้องไห้กับผมเลย ขอบคุณ ขอบคุณอย่างเดียวเลย ขอบคุณน้ำมนต์นะ คือน้องชอบตั้งแต่เด็กแต่ที่บ้านไม่มีใครได้ซัพพอร์ตไม่รู้เรื่องอะไรตรงนี้เลย ขอบคุณน้ำมนต์มากๆ ที่พาน้องมาถึงฝัน แล้วก็ถามด้วยพี่น้ำมนต์เปลืองมากไหม หมดตังค์ไปเท่าไร ได้อะไรบ้างไหม คือเขาจะเป็นห่วงตรงนั้น เนี่ยมันก็เลยทำให้เรายิ่งรู้สึกว่าเราอยากจะผลักดันเด็กคนนี้เพิ่มขึ้นไปอีก ด้วยพื้นฐานครอบครัว พื้นฐานความคิดของทั้งคุณพ่อคุณแม่พี่ๆ เขา เราไปสัมผัสมาแล้ว คือมันไม่ใช่แค่ตัวน้องที่เขาสู้อย่างเดียว ครอบครัวเขาก็สู้ ก็เลยทำให้เรารู้สึกว่าสู้ น้องสู้ เราก็ต้องสู้”
พาสู่เวที Miss Universe Thailand เวทีระดับประเทศครั้งแรกของน้ำอิง
น้ำมนต์ : จริงๆ มันก็มีหลายเวทีนะครับในประเทศเรา คิดว่าตัวน้อง สตอรี่เขาครับ เขาเป็นเด็กสู้ตั้งแต่เด็ก ก็เลยรู้สึกว่าเวทีนี้มันเป็น empower ของผู้หญิงอยู่แล้ว empower ให้กับทุกๆ คน มันทำให้ผมรู้สึกว่ามันตรงบริบทเวทีมากกว่า ผมรู้สึกว่าเวทีมิสยูนิเวิร์สเป็น empower อยู่แล้ว ให้กับทั้งผู้หญิงทุกเพศทุกวัย รู้สึกว่าเราส่งให้น้องได้ ให้น้องพัฒนาขึ้นมาได้ น้องก็จะส่งให้คนอื่นได้เหมือนกันครับ
“ส่วนตัวเราแล้ว เราก็กดดันว่าเราจะทำน้องได้ไหม แต่กดดันมากไปกว่านั้นอีก คือเรากลัวคนของเราคือน้องเราผิดหวัง คืออยากให้เขารู้สึกดี ไม่อยากให้เขาเสียใจ คือก่อนหน้านี้เวทีเล็กๆ 4 เวทีติดก็เคยตกรอบกันมาแล้ว พอเป็นเวทีใหญ่เราก็กดดันอีก เราเคยพาเขาไปเจอประสบการณ์มาแล้ว แล้วเราก็รู้สึกว่ามาตรฐานมันโอเคแล้ว เขาทำได้ แต่ในเมื่อมันเหนือการควบคุม ฉะนั้นเวทีนี้ถ้าเขาพลาดหวังอีก เรารู้สึกว่าเขามีเกราะอยู่แล้ว แล้วเท่าที่ดู-ประเมินแล้ว เขายังสู้อยู่ ก็ถามตั้งแต่แรกแล้วว่าถ้าไม่ได้ยังไง เขาก็บอกว่าสู้ค่ะป๊า ก็จะมาอีก ซึ่งถ้าสมมติมันไม่ได้จริงๆ ก็ไม่เป็นไรครับ มันก็ไม่มีใครสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรกเนอะ”
“เรารู้สึกว่าเราเลือกแล้ว เราสร้างเขาแล้ว รู้สึกว่าอย่างน้อยถึงอนาคตเขาอาจจะไม่ได้มาตอบแทนอะไรเราหรอก คือเราไม่ได้ต้องการให้เขามาตอบแทนอะไรเรา แต่ว่าแค่เราเห็นว่าเขาสำเร็จ ก็ถือว่ามันเป็นรางวัล จริงๆ ก็มีคนห้ามนะ ทางครอบครัวก็ห้าม ยังไม่เข็ดอีกหรอ ยังไม่พออีกหรอ ทำมาตั้งกี่คนแล้ว แต่เรารู้สึกว่าก็มันชอบไปแล้ว เรารู้สึกดีที่ได้ทำ ได้เห็นเขาประสบความสำเร็จ ได้เปลี่ยนคนๆ นึง ให้เขาดูดีขึ้นให้เขาเก่งขึ้น พัฒนาขึ้น”
“ผมคิดอย่างนี้นะครับ การที่เรามาหนึ่งเวทีมันก็ยังไม่ได้เป็นจุดวัดทั้งหมดว่ามันคือจุดที่สูงที่สุดหรือดีที่สุดแล้ว เพราะว่าบางทีมันเกิดจากสิ่งเร้าหลายๆ บางทีจังหวะโอกาส คิดว่าการที่ได้มาตรงนี้ คือดีที่สุดในเวอร์ชั่นของเราแล้ว ก็ถือว่าสำเร็จในขั้นนึง แต่ว่าก็ยังต้องพัฒนาต่ออีก ยังต้องไปอีก ยังอยากให้เขาพัฒนาในด้านอื่นๆ ด้วย ให้ไปไกลกว่านี้อีก เท่าที่เราจะทำได้ครับ (ยิ้ม) “