สวมบทบาทใหญ่พร้อมกันถึง 2 บทบาทในตอนนี้ สำหรับ “อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร” ที่ในตอนนี้อยู่ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และ คุณแม่ลูกสองป้ายแดงที่เพิ่งได้รับมาหมาดๆ หลังให้กำเนิด “น้องธาษิณ เด็กชายพฤจ์ธาษิณ สุขสวัสดิ์” เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา
สร้างความดีใจให้กับคนไกลบ้านอย่าง “คุณตาทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 เป็นอย่างมาก จนต้องออกมาทวีตข้อความระบุว่า “เช้าวันนี้ ผมดีใจมากที่ได้หลานคนที่ 7 เป็นชาย ชื่อ ธาษิณ จากน้องอิ๊ง แพทองธาร หลานทั้ง 7 คน คลอดในขณะที่ผมต้องอยู่ต่างประเทศ ผมคงต้องขออนุญาตกลับไปเลี้ยงหลาน เพราะผมอายุจะ 74 ปี กรกฎานี้แล้ว พบกันเร็วๆ นี้ ครับ ขออนุญาตนะครับ”
ความดีใจที่คุณตามีต่อหลานกลายเป็นประเด็นที่ถูกโยงเข้าเกมการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
วันนี้ (3 พฤษภาคม) อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ควงสามี “ปอ ปิฎก สุขสวัสดิ์” ออกมาแถลงข่าวก็ไม่พลาดจะต้องตอบคำถามเรื่องนี้กับสื่อมวลชน ทั้งในฐานะแคนดิเดตนายกฯ และแม่ของหลานคนที่ 7 ของอดีตนายกฯ ทักษิณ
“อิ๊งคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ครอบครัวอิ๊งทุกคนตื่นเต้น เพราะว่านี่ก็คือหลานคนที่ 7 แล้วอย่างแม่กับพี่สาวกับสามีด้วย รอทั้งคืนไม่ได้นอนเลย ตั้งแต่คืนที่อิ๊งเข้าโรงบาลตั้งแต่แรกที่ยังไม่ได้คลอด ทุกคนก็มา อิ๊งหลับไปแล้วทุกคนก็ยังไม่กลับกันเลย ทุกคนตื่นเต้นพอๆ กับอิ๊ง อิ๊งว่าอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ ซึ่งคุณพ่อก็เหมือนกันที่ตื่นเต้นมากๆ ท่านก็คงหวังอยากจะเห็นเลย อยากจะมีโมเมนต์อยู่หน้าห้องคลอดบ้าง”
“อิ๊งยังเคยวางแผนเลยตอนธิธารตอนนั้นช่วงโควิดว่า ไม่ทราบว่าพ่อจะอยู่ประเทศไทย อยากจะไปคลอดประเทศนั้น แต่ว่าเรื่องเอกสารอะไรมันก็จะยุ่งยากนิดนึง เราเป็นคนไทยอ่ะเนอะ ไม่ใช่คนประเทศอื่น เคยดูแล้วก็วางแผนไว้ เพราะอยากให้เขามีประสบการณ์ตรงนั้น ซึ่งโอเคเราผ่านถึงจุดที่เราเข้าใจทุกอย่างแหละ แต่ว่าแน่นอนคุณตาเนอะ เขาก็อยากจะเห็นหลานในวันแรกเกิดอยู่แล้ว แต่เมื่อไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”
“ท่านก็พูดอยู่หลายๆ โอกาส อิ๊งว่ามันเป็นโอกาสที่น่าหวังมากกว่าที่มีหลานคนใหม่ ล่าสุด เกิดมาเขาก็อยากกลับแหละ มันเป็นสิ่งที่เขามีความหวัง แน่นอนในสิ่งที่เขาพูดมันก็ส่งผลในเรื่องของการเมือง แต่ในความรู้สึกของครอบครัว อิ๊งมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ผิดที่จะหวัง ไม่ผิดเลยโดยเฉพาะวันที่บ้านมีเรื่องดีๆ”
“เราคุยกันทุกวัน แต่เป็นเรื่องลูกมากกว่า ไม่ได้คุยเรื่องกลับมาวันไหน ก็อย่างที่เคยให้สัมภาษณ์ไปทุกครั้ง คือท่านก็มีวางแพลนชีวิตของท่านเอง”
“ในตัวอิ๊งเองการที่พ่อจะกลับบ้าน ไม่เกี่ยวอะไรกับพรรคเพื่อไทย ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่อิ๊งกำลังเดินหาเสียงอยู่ โอเคมันแยกยากนิดนึงเพราะคุณพ่อเป็นผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย แล้วก็มีหลายๆ คนที่ยังเชื่อในคุณพ่อ เชื่อในประสบการณ์ที่ผ่านมา ก็ยังมีความหวัง ในขณะที่อิ๊งเป็นลูกเองก็ไม่สามารถตัดขาดได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมันก็มีความหวังต่อเนื่องกันมา อันนี้เป็นสิ่งที่เราไม่ได้กำหนด มันเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ แต่ว่าแน่นอนค่ะว่าทุกวันนี้สิ่งที่เกิดขึ้น คุณพ่ออยากลับมาเลี้ยงหลาน พูดมาตลอด เขาไม่เคยพูดว่าเขาอยากกลับมาเป็นนายกหนิ ถูกไหม เขาอยากกลับมาเลี้ยงหลาน เขาพูดทุกครั้งที่อยากกลับมา เพราะฉะนั้นถ้าเป็นความจริงมันไม่เกี่ยวกันเลย แต่คนก็ชอบผูกให้มันเกี่ยวกันซึ่งก็ไม่แปลกค่ะ”
ย้อนกลับไปในเดือนมีนาคมปี 2562 เมื่อครั้งที่อุ๊งอิ๊งตัดสินใจเข้าพิธีวิวาห์กับ ปอ ปิฎก สุขสวัสดิ์ นักบินบริษัท ไทย เอเวชั่น เซอร์วิส จำกัด ลูกชายของ “จิรพลและเจริญศรี สุขสวัสดิ์” ณ ไพรเวทเรสซิเด้นท์ นวมินทร์ 74
ดร.ทักษิณ ที่พำนักอยู่ต่างประเทศในตอนนั้นได้ไลฟ์สด มาร่วมอวยพรลูกสาวและลูกเขย ก่อนจะโพสต์รูปภาพและข้อความผ่านทางอินสตาแกรมส่วนตัว ถึงวันสำคัญของลูกสาวคนเล็ก โดยระบุว่า วันนี้เป็นวันพิเศษอีกหนึ่งวันของผมในฐานะคนเป็นพ่อครับ น้องอิ๊งค์ ลูกสาวคนเล็กได้เข้าพิธีหมั้นกับลูกปอไปเมื่อเช้านี้ คงจะไม่มีความสุขใดของคนเป็นพ่อ มากไปกว่าการที่ได้เห็นลูกตัวเองมีความสุข และมีครอบครัวที่อบอุ่น พ่อขออวยพรให้ลูกทั้งสองรักกัน ดูแลกัน เข้าอกเข้าใจกัน ขอให้ความรักเติบโต ยืนยาว มีความสุขมากๆ นะลูกรัก แล้วพบกันในวันแต่งที่ฮ่องกง พ่อจะได้มีลูกเขยเพิ่มอีกหนึ่งคน
ก่อนจะได้เจอกันตัวเป็นๆ ทั้งบ้าน ที่งานฉลองมงคลสมรสซึ่งจัดขึ้นที่ฮ่องกง
ตลอดระยะเวลาที่หลานทั้ง 7 คนที่เกิดจาก “เอม พินทองทา” ลูกสาวคนรอง, “โอ๊ค พานทองแท้” ลูกชายคนโต มาจนถึง “อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร” คุณตาอย่าง ดร.ทักษิณ ไม่เคยมีโมเมนต์เจอหลานหลังลืมตาดูโลกในวันแรกแม้แต่ครั้งเดียว จะได้เจอก็ต่อเมื่อลูกๆ พาหลานเดินทางไปหาที่ต่างประเทศเท่านั้น ฉะนั้นเมื่อมาถึงหลานคนที่ 7 ของบ้าน บวกกับด้วยวัยที่กำลังจะเข้าสู่ปีที่ 74 จึงไม่แปลกใจที่อดีตนายกฯ ทักษิณ จะอยากกลับมาทำหน้าที่คุณตาคอยเลี้ยงหลานๆ ตามวัยอย่างที่ควรจะเป็น
แต่ด้วยคดีต่างๆ ที่ติดตัว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 จนถึงตอนนี้ รวมแล้วมีมากถึง 8 คดี รวมโทษจำคุก 12 ปี โอกาสกลับบ้านจึงเป็นเรื่องที่สังคมจับตาดู
ซึ่งเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 ดร.ทักษิณให้สัมภาษณ์พิเศษกับสื่อญี่ปุ่น Kyodo News ว่าพร้อมที่จะรับโทษจำคุกในประเทศไทยหากได้รับอนุญาตให้ใช้ชีวิตบั้นปลายกับครอบครัว ไม่ว่าผลการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในเดือนพฤษภาคมนี้จะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม
“ตอนนี้ผมเหมือนติดอยู่ในคุกขนาดใหญ่มา 16 ปีแล้ว เพราะพวกเขากีดกันไม่ให้ผมอยู่กับครอบครัว ผมทรมานมามากพอแล้ว ถ้าผมต้องทนทุกข์ทรมานอีกครั้งในคุกที่เล็กกว่านั้น ก็ไม่เป็นไร จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ราคาที่ผมต้องจ่าย แต่ผมยอมจ่ายเพราะผมอยากอยู่กับลูกหลาน ผมควรจะใช้ชีวิตที่เหลือกับลูก ๆ หลาน ๆ ของผม” อดีตนายกฯ ทักษิณกล่าว
การ “ขออนุญาต” กลับบ้านในครั้งนี้ จึงกลายเป็นความหวังของทั้งทาง ดร.ทักษิณ และลูกๆ โดยเฉพาะ อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ที่เพิ่งให้กำเนิดหลานคนล่าสุดของบ้าน และในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ที่เจ้าตัวเดินหน้าเข้าสู่เส้นทางการเมือง ตามรอยคุณพ่อผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย จนมาถึงพรรคเพื่อไทยอย่างทุกวันนี้
“อิ๊งว่าการที่คนเราไปอยู่ต่างประเทศแบบนั้น ถ้านับว่า 17 ปีที่แล้ว แล้วคุณพ่อพูดว่าผมไม่มีวันได้กลับ จิตใจเขาจะเป็นยังไงเนอะ อันนี้ก็ขอแค่ความเข้าใจพื้นฐานความเป็นมนุษย์ค่ะว่า มนุษย์ต้องมีความหวัง ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม คุณพ่อก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีความหวัง เพราะฉะนั้นอิ๊งดีใจที่ผ่านมาแล้วหลายปีเขายังหวังอยู่ และเขายังพูดแบบนี้อยู่ อิ๊งว่าสิ่งที่เขามีความหวังเหล่านี้ทำให้เขาสุขภาพยังแข็งแรง จิตใจยังดีอยู่ แล้วทุกครั้งที่เอาหลานไปหาก็ไม่เคยผิดหวังเลย พลังงานเต็มร้อยเสมอ อิ๊งว่านี่ก็คือหนึ่งในความหวัง ซึ่งในทางกลับกันคนที่เชียร์คุณพ่อคนที่สนับสนุนครอบครัวเราก็มีความหวังไปด้วย ซึ่งอิ๊งคิดว่าความหวังเป็นเรื่องดี” อุ๊งอิ๊ง กล่าว
การประกาศขอ(เตรียม)กลับบ้านของอดีตนายกฯ ทักษิณ จะเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่จะเป็นที่จับตามองของสังคม โดยเฉพาะในแวดวงการเมือง แต่ในมุมของ อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร สิ่งนี้คือความหวังของคนที่เป็นทั้งลูกสาวและแม่ของหลาน ที่เฝ้ารอคอยการกลับมาของคุณพ่อด้วยความหวังอย่างแท้จริง