ในงาน SUSTAINABILITY EXPO 2025 (SX2025) ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ หนึ่งในเวที TALK Stage ได้หยิบยกหัวข้อที่ชวนให้ตั้งคำถามกับความหมายของชีวิตและความตาย ภายใต้ชื่อ “คืนสู่ดิน โดยชีวามิตร” บทสนทนาที่ไม่ได้พูดถึงเพียงแค่ความตาย หากแต่ยังเชื่อมโยงกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน ผ่านมุมมองของสามผู้ร่วมเสวนา ดร.ดีพร้อม เทพหัสดิน ณ อยุธยา อาจารย์ด้านนิเทศศาสตร์และผู้ก่อตั้ง KidWise Studios ผู้ทำหน้าที่ดำเนินรายการ, คุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์ ผู้ก่อตั้งและประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ บริษัท ชีวามิตร วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด และ คุณนุ่น ศิรพันธ์ วัฒนจินดา นักแสดงและผู้ก่อตั้งบริษัทคิดคิด จำกัด (กิจการเพื่อสังคม)
ดิน ชีวิต และความตาย

ดร.ดีพร้อม เปิดเวทีด้วยการชวนผู้ฟังกลับไปตั้งต้นที่สิ่งใกล้ตัวที่สุดอย่าง “ดิน” ต้นกำเนิดของทุกชีวิต ก่อนที่คุณหญิงจำนงศรี จะเล่าประสบการณ์ชีวิตของตนเองที่ทำให้มองความตายแตกต่างออกไป
“อีกสองเดือนก็จะ 86 แล้วค่ะ เรื่องความตายมันอยู่ข้างหน้า แต่ที่ผ่านมาชีวิตก็ได้เรียนรู้อะไรมากมาย วันหนึ่งขณะที่จะทานหมูต้มกับน้ำปลาพริก มันแวบขึ้นมาว่า ถ้าเราไปต้ม เราก็ไม่ต่างอะไรกับหมูชิ้นนั้นนั่นเอง วันนั้นเองที่เข้าใจเลยว่า ชีวิตอยู่ได้เพราะความตาย ทุกสิ่งที่เรากินเข้าไปเป็นสิ่งที่เคยมีชีวิตมาก่อน ทั้งต้นไม้ ทั้งสัตว์ และทั้งหมดก็เติบโตมาจากดิน”
คุณหญิงจำนงศรียังสะท้อนว่าพอได้ตระหนักอย่างนี้ ชีวิตช่วงบั้นปลายกลับเต็มไปด้วยความสุข เพราะไม่ต้องแสวงหาสิ่งใดอีกต่อไป ทุกอย่างเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรธรรมชาติ อยู่ กิน ตาย และกลับคืนสู่ดิน
คุณนุ่น ศิรพันธ์ เสริมมุมมองต่อว่า สำหรับเธอ ธรรมชาติในอดีตเคยถูกมองว่าเป็นเพียง “สภาพแวดล้อม” ที่อยู่ร่วมกัน แต่ไม่ได้เชื่อมโยงกับชีวิตอย่างแท้จริง กระทั่งวันหนึ่งได้เริ่มศึกษาเรื่องสิ่งแวดล้อม จึงเข้าใจว่าแท้จริงแล้ว ทุกอย่างคือระบบเดียวกัน

“เราทำดีกับเขา เขาก็ตอบแทนเราดี แต่ถ้าเราทำร้ายธรรมชาติ มันก็ย้อนกลับมาทำร้ายเราเช่นกัน…เราหนีออกจากโลกไม่ได้ และดินก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เรามีชีวิตที่ดี”
ในฐานะผู้ก่อตั้งกิจการเพื่อสังคมด้านสิ่งแวดล้อม คุณนุ่นเล่าว่าคำว่า sustainability สำหรับเธอไม่ใช่สิ่งยิ่งใหญ่ไกลตัว แต่คือ “ความพอดี” การอยู่ร่วมกับโลกโดยไม่ทำร้ายกัน สิ่งนี้ทำให้เธอเลือกสร้างธุรกิจที่ไม่เน้นรายได้เป็นหลัก แต่เน้น ผลกระทบที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม และการสร้างองค์ความรู้ให้กับองค์กรต่างๆ
ความตายที่เอื้อต่อทุกชีวิต
นอกจากการพูดถึงความเชื่อมโยงระหว่างดินและธรรมชาติ คุณหญิงจำนงศรี ยังย้อนเล่าประสบการณ์ส่วนตัวที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ และนำไปสู่การก่อตั้ง “ชีวามิตร”
เธอเติบโตมากับเงาของความตายตั้งแต่วัยเพียง 2 ขวบ เมื่อคุณแม่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ทำให้คำว่า “ตาย” ไม่เคยเป็นเพียงถ้อยคำ แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ติดตามมาเสมอ กระทั่งวันหนึ่ง ได้พบกับเหตุการณ์ที่ยิ่งตอกย้ำความหมายนี้ เมื่อเห็นผู้ใหญ่ที่เธอเคารพรักต้องใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายอย่างทรมานในห้อง ICU ถูกเครื่องมือแพทย์ยื้อชีวิตเอาไว้ ท่ามกลางน้ำตาและความลังเลของลูกหลานที่ไม่อาจตัดสินใจปล่อยวาง
“ป้าเห็นทั้งความทุกข์ของท่าน และความทรมานของลูกๆ ที่ไม่รู้ว่าจะให้แพทย์ยื้อชีวิตต่อหรือปล่อยให้ไป คำว่า ‘กตัญญู’ กลายเป็นภาระที่ถ่วงใจ ทำให้ตัดสินใจยาก…สิ่งนี้สอนป้าว่าการไม่รู้เรื่องการแพทย์ทำให้เราไม่รู้จะพูดกับหมออย่างไร และที่สำคัญ มันทำให้ป้าตั้งคำถามว่า ทำไมมนุษย์ต้องจบชีวิตด้วยความทุกข์แบบนี้”
เหตุการณ์นั้นเองจึงกลายเป็นแรงผลักดันให้เธอเริ่มศึกษาเรื่องความตายอย่างจริงจัง เธอเชื่อว่าทุกคนควรมี ทางเลือกที่จะเผชิญหน้ากับช่วงท้ายของชีวิตอย่างสมศักดิ์ศรีและเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่เพียงการถูกยื้อด้วยเทคโนโลยีการแพทย์โดยขาดความเข้าใจ
“เราสู้เพื่อความรู้ ที่จะทำให้คนตายได้อย่างสงบ และจะเตือนสติลูกหลานให้มาศึกษากระบวนการเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่นๆ” นี่เองคือที่มาของการก่อตั้ง ชีวามิตร องค์กรที่ตั้งใจทำให้สังคมไทยเรียนรู้เรื่องการตายอย่างมีคุณภาพ และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างไม่หลีกหนีความจริงของชีวิต
การตายที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สู่แนวคิดเรื่อง “คืนสู่ดิน”
คุณหญิงจำนงศรี อธิบายความหมายของชื่อ “ชีวามิตร” ว่าเป็นการผสมคำระหว่าง “ชีวา” หรือพลังแห่งชีวิต และ “มิตร” ที่สะท้อนถึงความเป็นมิตรทั้งต่อมนุษย์และธรรมชาติ แก่นแท้ของแนวคิดนี้ คือการมอบคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดในยามมีชีวิต และเมื่อถึงเวลาตาย ก็ควรจะจากไปอย่างสมศักดิ์ศรี โดยไม่สร้างภาระให้กับสิ่งแวดล้อม

“เราใช้ทรัพยากรโลกมาตลอดชีวิต ทั้งน้ำ อากาศ ดิน โลกให้เรามีชีวิต เมื่อถึงเวลาสุดท้าย เราจะคืนสิ่งเหล่านี้กลับไปให้โลกได้ไหม ผ่านการไม่สร้างมลภาวะ และกลับไปเป็นอาหารให้พืชและสัตว์อีกครั้ง นั่นคือความสุขที่แท้จริง”
คุณนุ่น ศิรพันธ์ เล่าว่า เมื่อได้ฟังแนวคิดของคุณหญิงจำนงศรี เธอรู้สึกซาบซึ้งและเคารพอย่างยิ่ง เพราะถ้อยคำเหล่านี้ไม่ใช่แค่ทฤษฎี หากแต่เป็นสิ่งที่ตกผลึกมาจากประสบการณ์ชีวิตจริง และยังสะท้อนอุดมการณ์เดียวกับที่เธอทำงานอยู่ การสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับโลกใบนี้
“สิ่งที่ป้าศรีพูดทำให้เห็นว่าความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่กลับกลายเป็นสิ่งที่งดงาม เพราะแม้เราจะจากไป ก็ยังเป็นมิตรกับโลกได้” เธอกล่าว
คุณหญิงจำนงศรีเสริมว่า หากมองให้ลึกซึ้ง การตายที่กลับมาสร้างมลพิษให้โลกนั้นเป็นเรื่องย้อนแย้งอย่างยิ่ง “เราใช้ชีวิตโดยพึ่งพาเนื้อสัตว์ พืชพรรณ อากาศและน้ำมาตลอด ทำไมเวลาตาย เราถึงกลับไปทำลายสิ่งเหล่านี้ด้วยการสร้างสารพิษหรือควันพิษออกมาอีก เราควรขอบคุณโลกมากกว่าจะทิ้งร่องรอยทำลายไว้”
ตัวอย่างการจัดการร่างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ในมุมมองของคุณหญิงจำนงศรี ปัจจุบันมีหลากหลายวิธีที่ทำให้การจัดการศพไม่จำเป็นต้องก่อมลพิษต่อโลก เช่น
- การฝังโดยไม่ใช้โลง ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมในยุโรป โดยจะฝังร่างไว้ใต้ต้นไม้ กลายเป็นป่าธรรมชาติที่เติบโตขึ้นจากการคืนสู่ดินของร่างมนุษย์
- Hydromation หรือการย่อยสลายด้วยน้ำอัลคาไลน์ในถังพิเศษ เพียงไม่กี่ชั่วโมงร่างก็สลายกลายเป็นผงที่สามารถนำกลับไปใส่ดินได้
- Recompost แนวทางที่สหรัฐอเมริกาและยุโรปเริ่มใช้แพร่หลาย โดยนำร่างที่ไม่ผ่านการฉีดสารเคมีมาผสมกับเศษไม้และจุลินทรีย์ เพื่อเร่งการย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ในเวลาเพียง 4–5 สัปดาห์ จากนั้นกระดูกที่เหลือจะถูกบดจนกลายเป็นแคลเซียมเพื่อนำกลับไปบำรุงดิน
คุณหญิงจำนงศรียังชี้ให้เห็นว่า การใช้เศษไม้ที่มักถูกทิ้งอย่างไร้ค่า เช่น กิ่งไม้ขนาดใหญ่ที่เทศบาลไม่สะดวกเก็บ กลับสามารถกลายมาเป็นวัสดุสำคัญในกระบวนการนี้ ซึ่งช่วยลดการเผาทำลายไม้จำนวนมหาศาลไปพร้อมกัน
“ในประเทศไทยเอง เรายังมีที่ดินรกร้างว่างเปล่าอยู่มากมาย ทำไมไม่แปลงสภาพเป็นป่าสุสาน หรือสวนพักผ่อนที่งดงามแทนสุสานคอนกรีต และทำไมในสังคมเรายังไม่มีหลักสูตรที่จะทำให้คนเข้าใจเรื่องการจากไปอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” เธอตั้งคำถาม

“คืนสู่ดิน โดยชีวามิตร” จึงไม่ใช่แค่การสนทนาเรื่องความตาย แต่คือการเปิดมุมมองใหม่ให้เห็นว่า ช่วงสุดท้ายของชีวิตสามารถเชื่อมโยงกับความงดงามของธรรมชาติได้อย่างไร ตั้งแต่การยอมรับความตายเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรชีวิต ไปจนถึงการออกแบบวิถีการตายที่ไม่สร้างมลภาวะ แต่กลับกลายเป็นพลังบวกที่คืนกลับสู่โลก นี่คือการเปลี่ยนคำถามจาก “เราจะตายอย่างไร” ไปสู่ “เราจะฝากอะไรไว้ให้โลกใบนี้เมื่อเราจากไป” คำถามที่ทำให้การตายไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นการเริ่มต้นของการให้ครั้งสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์
ไม่เพียงแต่กิจกรรม TALK STAGR เท่านั้น ภายใน SUSTAINABILITY EXPO 2025 ยังมีอีกหลากหลายเวิร์กช็อป นิทรรศการ และกิจกรรมดี ๆ ที่ช่วยให้ทุกคนได้เรียนรู้ ปรับตัว และเตรียมพร้อมรับมือกับโลกที่เปลี่ยนไป พร้อมสร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงและยั่งยืน✅ SX 2025 เข้างานฟรี! มาร่วมค้นหาคำตอบ และสร้างประสบการณ์ดี ๆ ไปด้วยกัน
26 กันยายน – 5 ตุลาคม 2568 | 10:00 – 20:00 น.
📍 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC)