เป็นข่าวดังที่กำลังเป็นที่พูดถึงอย่างมาก สำหรับกรณีที่ ‘สไปรท์-ศุกลวัฒน์ พวงสมบัติ’ แร็พเปอร์หนุ่มน้อยยอดกตัญญู ที่โดนต้นสังกัดเก่าฟ้องเรียกค่าเสียหาย 14 ล้าน โดยว่าอ้างผิดสัญญาว่าจ้าง

จุดเริ่มต้นการเดินทางบนเส้นทางการเป็นศิลปินแร็พของสไปรท์ เริ่มจากการประกวดรายการ ซูเปอร์เท็น ซีซั่น 2 ทางช่อง Workpoint ด้วยการร้องเพลงลูกทุ่งที่ได้ฝึกฝนมา พร้อมกับโชว์สกิลการแร็พที่ทำเอากรรมการอึ้งกันทั้งรายการ จนได้รับฉายาแจ้งเกิดว่า แร็พเปอร์รองเท้าแตะ และกลายเป็นที่พูดถึงในโลกโซเชียล

ต่อมา น้องสไปรท์ ได้ไปร่วมแข่งขันในรายการ Show Me The Money Thailand 2 ด้วยการเป็นผู้แข่งขันที่อายุน้อยที่สุด ซึ่งมีอายุเพียง 15 ปี แต่กลับแสดงความสามารถจนได้ตำแหน่งรองแชมป์ของปีนั้น ก่อนก้าวเข้าสู่การเป็นศิลปินแร็พเปอร์แบบเต็มตัว และผลิตผลงานเพลงออกมาอย่างต่อเนื่อง

กระทั่งเมื่อปี 2564 สไปรท์ กลายเป็นที่รู้จักและสร้างชื่อเสียงดังไกลระดับโลก เมื่อเพลง ทน SPRITE x GUYGEEGEE (Prod. by MOSSHU x NINO) สร้างปรากฏการณ์ทะลุชาร์ต Billboard Global (ไม่รวมอเมริกา) ในอันดับที่ 89 นับเป็นเพลงไทยเพลงแรกที่สามารถก้าวขึ้นสู่ชาร์ต Billboard และมียอดผู้ชมในช่องยูทูบกว่า 420 ล้านวิวเลยทีเดียว

จากความพยายามและความสำเร็จทั้งหมดนี้ ทำให้ น้องสไปรท์ มีเงินเก็บจนสามารถซื้อบ้านหลังแรกให้กับครอบครัวได้สำเร็จ ในวัยเพียง 16 ปี

แต่เส้นทางในวงการแร็พเปอร์ของสไปรท์ ก็พลิกผันเมื่อต้นสังกัดเก่าฟ้องเรียกค่าเสียหาย 14 ล้านบาท โดยทางครอบครัวได้รับหมายเรียกทั้ง พ่อ แม่ ลูก ให้ไปขึ้นศาลนัดแรกในวันที่ 17 มิ.ย. 67

ตามคำฟ้องอ้างว่า น้องผิดสัญญาว่าจ้างศิลปิน ทั้งที่ฝ่ายพ่อของน้องสไปรท์ ขอยกเลิกสัญญาไปแล้ว ก่อนจะผลักดันตัวเองให้มีชื่อเสียงระดับโลก คงต้องฟาดกันด้วยพยานหลักฐานครับ ผิดถูกยังไง ให้ศาลวินิจฉัยกันไป

ด้านทนายเจมส์ นายนิติธร แก้วโต หรือทนายเจมส์ โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเห็นใจและเป็นกำลังใจให้  น้องสไปรท์ และครอบครัว ใจความบางส่วนในโพสต์กล่าวว่า “เป็นกำลังใจให้น้องด้วยนะครับ น้องเป็นเด็กดี มีความกตัญญู มีความสามารถด้านการแต่งเพลงและร้องเพลงสุดๆ แต่ต้องหยุดเรียน เพราะที่บ้านยากจน พ่อแม่มีรายได้น้อย และขอต้องชื่นชมพ่อแม่ที่สู้อดทนสู้ผลักดันน้องเท่าที่มีกำลัง กว่าจะมีวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย และผมคงไม่ยอมให้ใครมาดับความฝันของเด็กดีๆ คนหนึ่งครับ”

ฟากทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ก็ได้โพสต์ถึงกรณีดังกล่าวว่า “ต้นสังกัดฟ้องนักแสดง 14 ล้าน ผมเคยทำคดีประเภทนี้มาแล้ว ส่วนใหญ่ถอนฟ้อง หรือไม่ก็ยกฟ้อง เพราะ #เป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรม”

และเมื่อวันนี้เวลา 12.00 น. (17 มิ.ย.67) ทนายเจมส์ นิติธร แก้วโต ได้พาครอบครัวของน้องสไปรท์ เดินทางออกมาศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา หลังก่อนหน้านี้ต้นสังกัดเก่าของน้องฟ้องเรียกค่าเสียหาย 14 ล้านบาท จากยอดวิวกว่า 420,000,000 วิว จนติดอันดับ 89 ในชาร์ต Billboard Global ส่วนตัวน้องสไปรท์ไม่ได้เดินทางมาด้วย เพราะไปทั่วคอนเสิรต์กับต้นสังกัดใหม่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 14 วัน

ทนายเจมส์ เปิดเผยว่า วันนี้เดินทางมาจากกรณีที่ต้นสังกัดเก่าของน้อง อ้างว่าน้องสไปรท์ทำผิดสัญญา จากกรณีไปร้องเพลง โชว์ผลงานเพลงตามสถานที่ต่างๆ โดยไม่ได้ขออนุญาตค่ายเก่า แต่จากการสืบทราบในส่วนตัว ทราบว่ามีการบอกเลิกสัญญากันแล้วทางเฟซบุ๊ก ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายต่างยกเลิกสัญญากันแล้ว แต่ตนไม่แน่ใจว่าทำไมถึงกลับมาฟ้องกันอีก

“วันนี้ที่เดินทางมาศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา มี 2 อย่าง อย่างแรกคือการไกล่เกลี่ยกัน อย่างที่ 2 คือการนัดชี้ 2 สถานะ โดยอย่างแรก หลังจากมีการพูดคุยกัน ที่ฝั่งต้นสังกัดเก่าเรียก 14 ล้านบาท ได้พยายามอธิบายเหตุผลของเขาที่เรียกเงินจำนวนนี้ ซึ่งก็เข้าใจได้ แต่เหตุผลของฝ่ายเราคือ เงินรายได้ทั้งหมดที่น้องได้มาผ่านช่อง ไม่ได้ผ่านตัวน้อง ถ้าอยากฟ้องร้องต้องฟ้องเจ้าของช่อง ถ้าอยากฟ้องน้องต้องฟ้องในกรณีที่น้องมีรายได้ผ่านมาจากช่อง ในกรณีที่มีสัญญาผูกมัดกันอยู่ จะกี่เปอร์เซ็นต์ก็ว่ากันไปตามสัญญา”

“พอคุยกันได้สักระยะ จาก 14 ล้าน ต้นสังกัดเก่ายอมลดให้ 50 เปอร์เซ็นต์ คือ 7 ล้าน ซึ่งผมได้ปรึกษาพ่อและแม่ของน้องแล้ว ก็ยังรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม เพราะในวันที่พ่อแม่ผลักดันน้อง จนมีชื่อเสียงโด่งดังไม่เคยมีใครเข้ามาช่วยเหลือ แต่อย่างน้อยน้องและพ่อแม่ยังสำนึกในบุญคุณที่หยิบยื่นโอกาสในครั้งแรกให้ แต่จำนวนเงินอาจจะไม่ได้เยอะขนาดนี้ ซึ่งหลังจากไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จ จึงเป็นการชี้ 2 สถาน โดยโจทย์ฟ้องว่าอย่างไร จำเลยฟ้องว่าอย่างไร ศาลก็จะกำหนดเป็นข้อพิพาท ซึ่งเรื่องดังกล่าวมีเพียงแค่ประเด็นเดียว จึงไม่สลับซับซ้อน ศาลจึงสั่งให้สืบพยาน 2 นัด เข้าสู่ขั้นตอนกระบวนการของศาลต่อไป”

ฝั่งพ่อของน้องสไปรท์ มองว่าไม่เป็นธรรมถึงแม้จะลดลงมาเหลือ 50 เปอร์เซ็นต์คือ 7 ล้านบาท จริงๆ แล้วรายได้ของน้องที่ได้มาทั้งหมดไม่ได้เข้ากระเป๋าน้อง หรือพ่อแม่เลย แต่เข้าที่ช่องหรือต้นสังกัดใหม่ที่น้องไปประกวด น้องได้แค่ค่าน้ำมันที่น้องไปเข้าประกวดแค่นั้นเอง ที่ผ่านมาน้องผลักดันตนเองมาโดยตลอด 100 % ไม่เคยมีใครมาช่วยเหลือ ซึ่งเรื่องต้นสังกัดเก่า เป็นนิติบุคคลที่ฟ้องน้องนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2561 หลังน้องได้ไปออกรายการหนึ่ง และร้องเพลง กะเลิฟคือเก่า จนเริ่มมีชื่อเสียง มียอดคนดูเพลงนี้ประมาณ 60 ล้านวิว ต้นสังกัดเก่าของน้องที่อยู่ จ.นครสวรรค์ ได้ติดต่อมาทางเฟซบุ๊กของน้อง แจ้งความประสงค์ตอนแรกคืออยากให้น้องไปร้องเพลงกับหลานของเขา โดยจะให้เงิน 5,000 บาท ซึ่งตนมองว่ามากไป จึงรับไว้แค่ 3,000 บาท ก่อนจะนัดอัดเสียงที่ห้องอัดแถวดอนเมือง กทม.

จากนั้นไม่นานก็นัดพูดคุยและเซ็นสัญญากัน ที่จ.สระแก้ว ระยะเวลา 6 ปี จากนั้นตนเองเริ่มพาน้องออกงาน ตามที่ต้นสังกัดแจ้งมา โดยแต่ละงานได้เพียงแค่ค่าน้ำมันรถ 1,000-2,000 บาทมาโดยตลอด แม้จะเดินทางไปจังหวัดไหนก็ตาม กระทั่งกลางปี 62 น้องสไปรท์จะเปิดภาคเรียนและต้องเรียนหนังสือ ประกอบกับ ปัญหาเรื่องเงินของครอบครัว ที่ไม่ได้มีอะไรมากมาย คงจะดันลูกต่อไปไม่ไหว เพราะครอบครัวต้องแบกรับภาระค่าเดินทาง ค่ากิน ค่าโรงแรมเองทั้งหมด
มีแต่รายรับคือ ค่าน้ำมันรถที่ต้นสังกัดเก่าให้เพียง 1,000-2,000 บาทเท่านั้น ตนเหลือแหวนทองวงสุดท้าย จึงคุยกับลูกและครอบครัวว่าเราคงต้องหยุด จึงติดต่อไปเพื่อขอยกเลิกสัญญา

แต่ทางต้นสังกัดเก่าบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด อ้างว่าอยู่ต่างประเทศ หรือติดงาน ยังไม่สะดวกในการมาเซ็นยกเลิกสัญญาให้น้อง ตนจึงพิมพ์เป็นลายลักษณ์อักษร เอาไว้ในข้อความเฟซบุ๊ก เพื่อแสดงเจตนารมณ์เดิม ตอนนั้นที่บ้านยังลำบาก น้ำท่วมบ้าน สถานการณ์โควิด ก็ไม่เคยได้รับการติดต่อจากต้นสังกัดเดิมว่าจะมาให้การช่วยเหลือย่างไร จนน้องได้มีโอกาสกลับมาทำเพลงใหม่ ด้วยผลงาน เพลงทน มียอดวิวสูงถึง 420,000,000 วิว ติดอันดับ 89 ในชาร์ต Billboard Globa ทำให้มีชื่อเสียง ตนเองก็ไม่เข้าใจว่า ต้นสังกัดเก่าต้องการฟ้องร้องน้องเพื่ออะไร และเหตุผลอะไร

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ (Strictly Necessary Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้มีความสำคัญต่อการปฏิบัติการของเว็บไซต์ feedforfuture.co ซึ่งจะช่วยให้ท่านสามารถเข้าถึงข้อมูลและเนื้อหาต่างๆ ของเว็บไซต์เราได้ทุกส่วน โดยเฉพาะส่วนสมาชิกผู้ใช้งานของเว็บไซต์ ตลอดจนการตรวจสอบจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา

  • คุกกี้ด้านประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลทางสถิติเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน เพื่อวิเคราะห์ และช่วยให้เราทราบถึงพฤติกรรมการใช้งาน ซึ่งจะช่วยปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการใช้งานบนเว็บไซต์ของเรา

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาเข้ากับกลุ่มเป้าหมาย (Targeting Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้ในการบันทึก และจดจำคุณลักษณะต่างๆ ที่ท่านได้เลือกขณะเข้าชมเว็บไซต์ของเรา เช่น หมวดหมู่ และเนื้อหาที่ท่านชอบอ่านมากที่สุด เราจะบันทึกข้อมูลเหล่านี้ และนำกลับมาใช้เมื่อท่านกลับเข้ามาที่เว็บไซต์ของเราอีกครั้ง เพื่อปรับให้ท่านได้รับชมเนื้อหาได้ตรงกับความชอบของท่านให้มากที่สุด

  • คุกกี้เพื่อนำเสนอโฆษณาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย (Advertising Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้เพื่อจดจำพฤติกรรมการอ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์ของท่าน รวมถึงรายละเอียดของอุปกรณ์ที่ท่านใช้ เพื่อนำไปใช้วิเคราะห์การนำเสนอโฆษณาที่เหมาะสมกับท่านมากที่สุด และช่วยวัดความมีประสิทธิผลของโฆษณาที่เรานำเสนอด้วย ตลอดจนช่วยป้องกัน หรือจำกัดจำนวนครั้งที่ท่านจะเห็นโฆษณาเดิมซ้ำๆ

บันทึก