ตามที่ กรมสรรพากร ได้เผยแพร่แจ้งข่าวสารผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากรเรื่อง การเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อพระราชกำหนดภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร พ.ศ.2526 เพื่อการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ทางเว็บไซต์ของกรมสรรพากร www.rd.go.th ระหว่างวันที่ 3-17 พ.ค.66 นั้น
อันเนื่องมาจาก กรมสรรพากร เตรียมจะเก็บภาษีเดินทางออกนอกราชอาณาจักร โดยเก็บครั้งละ 1,000 บาทต่อคน สำหรับการเดินทางโดยเครื่องบินโดยสารไปต่างประเทศ และคนละ 500 บาท เมื่อเดินทางด้วยรถยนต์หรือเรือ
โดยมีข้อความเกริ่นนำ ใน “สรุปสาระสำคัญของพระราชกำหนดภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร พ.ศ.2526” ดังนี้
พระราชกําหนดภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร พ.ศ. 2526 ได้กําหนดให้ กรมสรรพากรจัดเก็บภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ซึ่งมีลักษณะแตกต่างไปจากภาษีอื่น ๆ ที่กรมสรรพากรเคยจัดเก็บมา ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการจัดเก็บที่สําคัญคือ เพื่อเป็นการหารายได้ ให้แก่รัฐบาล และป้องกันมิให้คนไทยนําเงินตราต่างประเทศออกนอกราชอาณาจักรเกินสมควร ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาการขาดดุลการค้า และรักษาดุลการชําระเงินของประเทศ
มีอัตราภาษีที่กำหนดไว้ ดังนี้
พระราชกําหนดภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้กําหนดอัตราภาษีการเดินทาง ไว้ไม่เกินครั้งละ 5,000 บาท (มาตรา 8) แต่ได้มีการออกกฎกระทรวงกําหนดอัตราภาษีการ
เดินทางไว้ดังนี้
การเดินทางโดยทางอากาศ ครั้งละ 1,000 บาท
การเดินทางโดยทางบกหรือทางน้ํา ครั้งละ 500 บาท
หลังจากที่มีการเผยแพร่ข่าวออกไป และประชาชนต่างสงสัยและวิพากษ์วิจารณ์กัน
นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ รองอธิบดีกรมสรรพากร ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร ได้เปิดเผยเมื่อ วันที่ 7 พฤษภาคม 2566
ว่า “กรมสรรพากรเปิดรับฟังความคิดเห็นเพื่อประกอบการประเมินผลสัมฤทธิ์พระราชกำหนดภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร พ.ศ.2526 เพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ในเรื่องเกี่ยวกับการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย อันเป็นการตรวจสอบความเหมาะสมของเนื้อหาของกฎหมายดังกล่าวในด้านต่างๆ เท่านั้น
ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ.2564 ที่ได้รับทราบและเห็นชอบ การดำเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทําร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ.2562 ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ไม่ได้เป็นการเตรียมการที่จะจัดเก็บภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักรแต่อย่างใด”
“ถึงแม้กฎหมายดังกล่าว จะไม่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2534 (อ้างอิง กฎกระทรวงเพื่อยกเว้นภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร) พระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ.2562 กำหนดให้กรมสรรพากรยังคงมีหน้าที่ ที่ต้องดำเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายโดยการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องในระบบกลางตามมาตรา 35 ของพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว” นายวินิจ กล่าว
โฆษกกรมสรรพากร กล่าวอีกว่า “ภายในปีพ.ศ.2567 กรมสรรพากรต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทํา ร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ.2562 โดยการเปิดรับฟังความคิดเห็นเพื่อประกอบการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายอีก 2 ฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียมและพระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก”
หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161