ท่ามกลางสงครามรัสเซียยูเครนที่ตึงเครียดกันมาเป็นเวลานานเกือบ 1 ปี กับความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างมหาศาลกับทั้งรัสเซียกับยูเครน รวมไปถึงเศรษฐกิจทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบเป็นอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรมในยูเครนหรือจะเป็นก๊าซธรรมชาติที่รัสเซียหยุดส่งไปยังสู่ยุโรป ทั่วโลกต่างจับตาท่าทีที่ยังไม่รู้จะจบยังไงในสงครามครั้งนี้ รัสเซียที่หวังจะชนะในการบุกยึดครั้งนี้ให้ได้ ส่วนยูเครนที่หวังจะขับไล่ทหารรัสเซียออกไปจากดินแดนของตน
วันที่ 21 ธันวาคม 2565 ตามเวลาท้องถิ่น “โวโลดีมีร์ เซเลนสกี” ประธานาธิบดียูเครน เดินทางถึงสหรัฐฯ เพื่อเข้าพบ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หารือเรื่องความช่วยเหลือเพิ่มเติม โดยเซเลนสกีระบุว่าเดินทางมาเยือนกรุงวอชิงตันเพื่อขอบคุณชาวอเมริกัน ขอบคุณประธานาธิบดีโจ ไบเดนรวมถึงสภาคองเกรสสหรัฐฯ สำหรับความช่วยเหลือที่มอบให้และหวังว่าจะได้หารือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันของยูเครน ในการพบกันครั้งนี้สหรัฐฯ ปูพรมแดงและประดับธงชาติยูเครนคอยต้อนรับ ซึ่งเป็นการพบหน้ากันครั้งแรกของผู้นำทั้งสองประเทศนับตั้งแต่สงครามเริ่มต้นขึ้น ก่อนที่จะเข้าไปหารือกันเป็นเวลา 2 ชั่วโมงภายในอาคารทำเนียบขาว
มีรายงานว่าเนื้อหาหลักในการพูดคุยเป็นเรื่องการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ที่จะมอบให้ยูเครนต่อจากนี้ ล่าสุดทางสหรัฐฯ เพิ่งประกาศแผนช่วยเหลือทางทหารรอบใหม่แก่ยูเครน มูลค่า 1.85 พันล้านดอลลาร์ รวมถึงการส่ง ‘แพทริออต’ ระบบป้องกันขีปนาวุธทันสมัยที่สุดของสหรัฐฯ ไปช่วยยูเครนด้วย
ขณะเดียวกันประธานาธิบดียูเครน ยังได้เดินทางไปที่รัฐสภาสหรัฐฯ เพื่อขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ครั้งสำคัญ เซนเลสกีได้ร้องขอให้รัฐสภาสหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ยูเครน เพื่อใช้ในการตอบโต้การรุกรานของรัสเซีย โดยเซเลนสกีระบุว่า “เงินของท่านไม่ใช่การทำการกุศล มันคือการลงทุนด้านความมั่นคงและประชาธิปไตยระดับโลก ซึ่งเรายึดถือกันไปในทางเดียวกัน” นอกจากการขอความช่วยเหลือแล้ว ประธานาธิบดียูเครนยังได้ร้องขอให้สมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ เพิ่มมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียให้ผู้ก่อการร้ายได้รับผลจากการกระทำจากการรุกรานครั้งนี้ พร้อมกันนี้เซเลนสกียังได้ย้ำเตือนถึงการสนับสนุนของไบเดนต่อแผนสันติภาพ 10 ประการด้วย
“ใช้ทุกสิ่งทุกอย่าง” เพื่อโจมตีต่อหลายเมืองของยูเครน อาทิ บักห์มุต แต่ยูเครนยังคง “รักษาแนวรบและจะไม่มีวันยอมแพ้”
“เมื่อปีที่แล้ว มีผู้คน 70,000 คนอาศัยอยู่ในบักห์มุต ตอนนี้มีพลเรือนแค่ไม่กี่คนที่อาศัยอยู่ในนั้น ทุกตารางนิ้วของผืนดินชุ่มไปด้วยเลือด…ดอนบาสเปลี่ยนมือผู้ถือครองไปหลายครั้งจากการต่อสู้อันดุเดือด หรือแม้แต่การต่อสู้ด้วยมือเปล่า แต่ชาวยูเครนในดอนบาสยังคงยืนเด่นท้าทาย”
“แม้ว่าจะไม่มีไฟฟ้า แต่แสงสว่างแห่งความหวังศรัทธาในตัวเราจะไม่มีวันดับลง”
โวโลดีมีร์ เซเลนสกี กล่าวต่อสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ
เซเลนสกีจบการขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ของตัวเองบนรัฐสภาสหรัฐฯ ว่า ยูเครนจะประสบกับ “ชัยชนะอันเด็ดขาด” ก่อนย้ำคำพูดเปิดสุนทรพจน์ของตัวเองอีกครั้งว่า “ยูเครนยังมีชีวิตและเดินหน้าต่อไป” พร้อมกันกับเสียงปรบมือสนั่นกึกก้อง
ในช่วงท้ายเซเลนสกียังได้ส่งมอบธงชาติยูเครนที่มีลายเซ็นของทหารในพื้นที่บักห์มุตแก่ “แนนซี เพโลซี” ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ โดยเพโลซีได้ส่งมอบธงชาติสหรัฐฯ เป็นการแลกเปลี่ยน
ในอีกฝั่งทางด้านของ “ดมิทรี เปสคอฟ” โฆษกรัฐบาลรัสเซีย กล่าวว่า “การเดินทางเยือนสหรัฐฯ ของ ประธานาธิบดียูเครนในครั้งนี้ ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย และรัสเซียเห็นว่าการเจรจาสันติภาพระหว่างยูเครนและรัสเซียนั้น จะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้เลย”
ทั้งนี้ โวโลดีมีร์ เซเลนสกี เพิ่งได้รับรางวัลบุคคลแห่งปีจากนิตยสาร TIME ไปเมื่อไม่นานมานี้ สามารถอ่านเรื่องราวได้ที่นี่