ริ้วรอย ความเหี่ยวย่น บนชั้นผิวภายนอกอาจชะลอวัย ด้วยการทําหัตถการ อย่าง โบท็อกซ์ หรือการฉีดสารเติมเต็มเพื่อแก้ปัญหาบนใบหน้า ช่วยแก้ไขริ้วรอย ร่องลึก ร่องแก้ม ใต้ตา ได้

แต่เมื่อเราอายุมากขึ้น ร่างกายเราก็เสื่อมมากขึ้น และตามมาด้วยโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ที่เกิดจากความเสื่อมโทรมของร่างกาย เริ่มตั้งแต่ อ่อนเพลีย ประสิทธิภาพการทำงานลดลง เหนื่อยง่าย ต้องการพักผ่อนมากกว่าเดิม รู้สึกไม่มีพลังงาน
ไม่มีสมาธิในการทำงาน มีอารมณ์ไม่คงที่ หงุดหงิดง่าย ซึมเศร้า หรือเครียดได้ง่าย มีการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย กล้ามเนื้อลดลง มีไขมันสะสมมากขึ้น กระดูกบางลง และนำไปสู่โรคที่เกิดจากความเสื่อมต่างๆ เช่น สมองเสื่อม อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง

หลายคนยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับ anti-aging ว่า เป็นเรื่องความงาม มีการฉีดสารบางอย่างเข้าไปในร่างกาย มีสารที่ทำให้ไม่แก่ สามารถทำให้เยาว์วัยตลอดกาล มีการฉีดโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) เพื่อให้ร่างกายฟิต คิดว่าจะทำให้อายุยาว และการดูแลด้วยศาสตร์นี้มีราคาแพง

แต่จริงๆ แล้ว “ศาสตร์แห่งการชะลอวัย” หรือ Anti-Aging Medicine มีชื่อเต็มๆ ว่า “เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ”(Anti-Aging and Regenerative Medicine) เป็นการชะลอความเสื่อม โดยการป้องกันไม่ให้เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว และฟื้นฟูสภาพความเสื่อมให้กลับคืนมาในส่วนที่ทำได้ โดยมุ่งหวังจะให้มีชีวิตที่ยืนยาว มีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งมีแนวทางการดูแลทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รวมถึงการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดีร่วมด้วย

เพราะพฤติกรรมของการดำรงชีวิต สภาพของอาหารที่รับประทานเข้าสู่ร่างกาย และสภาพแวดล้อม ทำให้เซลล์เสื่อมลงได้ ฉะนั้น การจะมีอายุยืนยาวเท่าไร หรือแม้กระทั่งการที่มีอายุยืนแล้วจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการดูแลร่างกาย จิตใจ และสิ่งแวดล้อมรอบตัว ว่าเราจะรับประทานอะไร มีความรู้สึกนึกคิดแบบไหน หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี
มีอากาศ และน้ำที่สะอาดหรือไม่ หรือจะรับอะไรเข้าสู่ร่างกาย เพื่อทำให้เราสามารถมีสุขภาพที่ดีได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ซึ่งศาสตร์นี้จะช่วยให้ผู้ที่อยากดูแลสุขภาพของตนเอง สามารถมีสุขภาพที่ดีที่สุดเท่าที่ควรจะเป็น ตามอายุ และบริบทของแต่ละบุคคล

แล้วสุขภาพที่ทุกคนใฝ่ฝันเมื่ออายุมากขึ้น มีอะไรบ้าง ?

– มีสุขภาพดี

– มีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง

– มีความจำแม่นยำ

– มีภูมิคุ้มกันไม่บกพร่อง

– มีฮอร์โมนปกติ

ดังนั้น เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ (Anti-Aging and Regenerative Medicine) จึงเป็นการดูแล ส่งเสริมสุขภาพหรือการป้องกันโรค และรักษาร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบัน โดยจะให้รับประทานยาเดิมที่เคยรักษากับแพทย์แผนปัจจุบัน แต่จะนำการรักษาแบบเวชศาสตร์ชะลอวัยมาเติมเต็มเข้าไปช่วย เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น รวมถึงการฟื้นฟูสุขภาพด้วย

ความแตกต่างระหว่าง เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ VS การรักษาแพทย์แผนปัจจุบัน คือ
เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ จะเน้นการดูแลสุขภาพตั้งแต่ก่อนป่วย เพื่อชะลอสุขภาพไม่ให้ป่วย
โดยสามารถเริ่มดูแลสุขภาพได้ตั้งแต่แรกเกิด และหากไม่ได้เริ่มตั้งแต่อายุยังน้อย ก็สามารถเริ่มได้ตั้งแต่วันนี้จะดีกว่าที่ไม่ได้เริ่มต้นดูแลเลย

ส่วนการรักษาแพทย์แผนปัจจุบัน จะเป็นการรักษาเมื่อเกิดโรค เกิดอาการขึ้นแล้ว โดยอาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยีทางการแพทย์ในการวินิจฉัย และรักษาโรค เน้นการใช้ยา บวกกับวิธีการรักษาที่ได้รับการพิสูจน์แล้วทางวิทยาศาสตร์เพื่อรักษาโรค และป้องกันโรค

นอกจากนี้เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ ยังมีทฤษฎีมากมายหลายหลักการในการรักษา เช่น สารอนุมูลอิสระ (oxidant), ฮอร์โมนพร่อง, การสร้างหรือซ่อมแซม DNA ที่ผิดปกติ เป็นต้น

ตัวอย่างเช่น หากร่างกายมีสารอนุมูลอิสระ (oxidant) ในร่างกายเป็นจำนวนมาก กระบวนการอักเสบจะเกิดขึ้นตามมา หากใครที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ในปริมาณที่สูง และพอเหมาะ หรือที่ทุกคนรู้จักกันในรูปของสารที่สามารถยับยั้งการเกิดสารอนุมูลอิสระ จะส่งผลให้สารอนุมูลอิสระทำงานได้อย่างสมดุล กระบวนการการอักเสบเกิดขึ้นน้อย ร่างกายก็จะเสื่อมช้า แต่หากใครที่มีสารต้านอนุมูลอิสระไม่เพียงพอ กระบวนการอักเสบจะเกิดขึ้นมาก ทำให้ร่างกายเสื่อมได้อย่างรวดเร็ว

สารอนุมูลอิสระ (oxidant) มาจากไหน?

– ความเครียดทางด้านจิตใจ และด้านร่างกาย เช่น อดนอน ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ออกกำลังกายแบบหักโหม มีความเจ็บป่วย

– การได้รับสารเคมี หรือมลภาวะ เช่น PM2.5

– อาหารขยะ อาหารทอด ฟาสต์ฟูด อาหารที่ผ่านการแปรรูป อาหารแช่แข็งหรืออาหารที่มีสารอาหารที่มีความจำเป็นหลงเหลือน้อย

ปัจจัยที่มีผลต่อการหลั่งของฮอร์โมน ได้แก่ อายุที่มากขึ้น (เป็นปัจจัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้), อาหารที่รับประทาน,อาหารเสริม (ควรมาจากแหล่งธรรมชาติก่อนและเลือกชนิดที่มีสารอาหารสูง), การออกกำลังกาย, การนอน,
ความเครียด, ความเจ็บป่วย, การได้รับยาหรือสารเคมี, การได้รับสารพิษหรือโลหะหนัก

การดูแลร่างกายไม่ให้เสื่อมก่อนวัย ด้วยหลักการสำคัญของศาสตร์ชะลอวัย

1. เลือกสารอาหารที่ดี

2. นอนให้มีประสิทธิภาพ

3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

4. ลดความเครียด

การรับประทานอาหารตามหลักของศาสตร์ชะลอวัย

– รับประทานอาหารให้เป็นเวลา

– มื้อเช้ารับประทานให้มาก มื้อเย็นรับประทานให้น้อย (ไม่รับประทานมื้อดึก)

– รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ตามหลักโภชนาการ (ลดการบริโภคแป้ง และน้ำตาล)

– เลือกชนิดของอาหาร (ให้เลือกออร์แกนิก คือ ผลผลิตจากการเกษตร ที่ผ่านกระบวนการผลิตปลอดสารเคมีทุกชนิด ที่จะเป็นอันตรายต่อมนุษย์ สัตว์ และสิ่งแวดล้อม หรือไม่รับประทานอาหารแปรรูป)

– จัดสัดส่วนของหมวดอาหารให้พอเหมาะ โดยใช้สัดส่วน (2 : 1 : 1) คือ ผักใบ 2 ส่วน ข้าวแป้ง 1 ส่วน และเนื้อสัตว์หรือโปรตีน 1 ส่วน

นอนอย่างไร? ให้มีประสิทธิภาพ

– เข้านอน และตื่นนอนให้ตรงเวลาเป็นประจำทุกวัน ทั้งวันทำงาน และวันหยุด

– ไม่ควรงีบในเวลากลางวัน หากนอนกลางวันเป็นประจำ ไม่ควรงีบเกิน 30 นาที และไม่ควรงีบหลัง 15.00 น.

– หลีกเลี่ยงอาหาร และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม อย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนนอน

– หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ และอาหารมื้อหนัก หรืออาหารที่มีรสจัด หรือรสเผ็ด หรืออาหารหวานอย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนนอน

– ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนนอน

– เตียงนอนควรเป็นเตียงที่นอนแล้วสบาย มีอุณหภูมิที่เหมาะสม ระบายอากาศได้ดี ไม่ควรมีแสงเล็ดลอดเข้ามา และไม่ควรมีเสียงดัง ควรใช้ห้องนอนเพื่อการนอน และกิจกรรมทางเพศเท่านั้น อย่าใช้ห้องนอน และเตียงนอนเป็นที่ทำงาน เล่นโทรศัพท์มือถือ หรือดูโทรทัศน์

– ควรผ่อนคลาย ลดความวิตกกังวล ไม่ควรดูภาพยนตร์ตื่นเต้นสยองขวัญก่อนนอน

– หากนอนไม่หลับภายใน 30 นาที ควรลุกจากที่นอนขึ้นมาทำกิจกรรมเบาๆ เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลงเบาๆ แล้วกลับมานอนใหม่อีกครั้งเมื่อรู้สึกง่วง

– รับแสงแดดให้เพียงพอในตอนเช้า อย่างน้อย 30 นาที ทุกวัน เนื่องจากแสงแดดเป็นตัวควบคุมนาฬิกาชีวิตที่สำคัญ

วิธีลดความเครียด เช่น นั่งสมาธิ, ดูหนังที่ผ่อนคลาย เลี่ยงการดูหนังตื่นเต้น หนังสยองขวัญ หรือหนังดราม่า, ฟังเพลงเพราะๆ , อ่านหนังสือ, ทำงานอดิเรก, ทำงานศิลปะ, นอนหลับ, ไปเที่ยว หรือทำกิจกรรมตามความสนใจเฉพาะบุคคล

อย่างไรก็ตาม หากดูแลตัวเองได้ทั้งหมดแล้ว ควรดูแลสิ่งแวดล้อมรอบตนเองด้วยเช่นกัน เพื่อไม่ให้ความเครียดจากสิ่งแวดล้อมนั้นมากระทบกับตัวเอง เช่น เพื่อน สังคม และบุคคลรอบข้าง ดังนั้น ควรจัดการกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว และปรับทัศนคติ เพื่อให้ตนเองมีสุขภาพที่ดีแบบองค์รวมด้วยศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพตลอดไป

ขอบคุณข้อมูลทางการแพทย์จาก : รศ.พญ.นลินี ยิ่งชาญกุล อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ (Strictly Necessary Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้มีความสำคัญต่อการปฏิบัติการของเว็บไซต์ feedforfuture.co ซึ่งจะช่วยให้ท่านสามารถเข้าถึงข้อมูลและเนื้อหาต่างๆ ของเว็บไซต์เราได้ทุกส่วน โดยเฉพาะส่วนสมาชิกผู้ใช้งานของเว็บไซต์ ตลอดจนการตรวจสอบจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา

  • คุกกี้ด้านประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลทางสถิติเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน เพื่อวิเคราะห์ และช่วยให้เราทราบถึงพฤติกรรมการใช้งาน ซึ่งจะช่วยปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการใช้งานบนเว็บไซต์ของเรา

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาเข้ากับกลุ่มเป้าหมาย (Targeting Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้ในการบันทึก และจดจำคุณลักษณะต่างๆ ที่ท่านได้เลือกขณะเข้าชมเว็บไซต์ของเรา เช่น หมวดหมู่ และเนื้อหาที่ท่านชอบอ่านมากที่สุด เราจะบันทึกข้อมูลเหล่านี้ และนำกลับมาใช้เมื่อท่านกลับเข้ามาที่เว็บไซต์ของเราอีกครั้ง เพื่อปรับให้ท่านได้รับชมเนื้อหาได้ตรงกับความชอบของท่านให้มากที่สุด

  • คุกกี้เพื่อนำเสนอโฆษณาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย (Advertising Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้เพื่อจดจำพฤติกรรมการอ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์ของท่าน รวมถึงรายละเอียดของอุปกรณ์ที่ท่านใช้ เพื่อนำไปใช้วิเคราะห์การนำเสนอโฆษณาที่เหมาะสมกับท่านมากที่สุด และช่วยวัดความมีประสิทธิผลของโฆษณาที่เรานำเสนอด้วย ตลอดจนช่วยป้องกัน หรือจำกัดจำนวนครั้งที่ท่านจะเห็นโฆษณาเดิมซ้ำๆ

บันทึก