ด้วยพฤติกรรมการกินที่เปลี่ยนไปของประชากรไทย ทำให้พบคนไทยที่เจ็บป่วยด้วยโรคที่มีสาเหตุ เกิดจากพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสมเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในโรคกลุ่มนี้ คือ “โรคตับคั่งไขมัน” หรือที่เรียกกันว่า “โรคไขมันพอกตับ” และปัจจุบันประชากรไทย ร้อยละ 25 – 30 เป็นโรคไขมันพอกตับโดยไม่รู้ตัว


โรคไขมันพอกตับ (fatty disease) เป็นกลุ่มของโรคที่เกิดจากการสะสมไขมันในตับ และเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดที่ทำให้ผลการตรวจการทำงานของตับผิดปกติเล็กน้อย โรคนี้มักไม่ทำให้เกิดการเจ็บปวด แต่บางครั้งจะบ่งชี้ถึงปัญหาสุขภาพด้านอื่นๆ

โรคไขมันพอกตับ
โรคไขมันพอกตับ

สาเหตุของโรคไขมันพอกตับสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม

– จากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ (alcoholic fatty liver disease) ความรุนแรงของโรคจะขึ้นกับประเภท ปริมาณ และระยะเวลาที่ดื่มแอลกอฮอล์

– ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (non-alcoholic fatty liver disease) โดยมีผลจากโรคที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานของร่างกาย เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ไวรัสตับอักเสบซี

– การรับประทานยาบางชนิดเป็นเวลานาน โดยเฉพาะฮอร์โมน และสเตียรอยด์ เป็นต้น

ปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคไขมันพอกตับ

– โรคนี้มักพบในผู้ป่วยที่อ้วนลงพุง น้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน น้ำหนักตัวมากเกิน
(ดัชนีมวลกายหรือ BMI 25-30) ประมาณร้อยละ 20 ของคนที่เป็นโรคอ้วนจะมีโรคไขมันพอกตับอยู่ด้วย
– ผู้ที่ตรวจพบโรคเบาหวาน
– ผู้มีภาวะไขมันในเลือดสูง และความดันโลหิตสูง
– ผู้ที่ชื่นชอบการรับประทานอาหาร และเครื่องดื่มที่มีรสหวานมากเกินไป

โรคไขมันพอกตับ
โรคไขมันพอกตับ

ภาวะไขมันพอกตับ แบ่งได้เป็น 4 ระยะ ดังนี้

– ระยะแรก เป็นระยะที่มีไขมันสะสมอยู่ในเนื้อตับ แต่ยังไม่มีการอักเสบหรือพังผืดเกิดขึ้นในตับ

– ระยะที่ 2 เป็นระยะที่เริ่มมีอาการอักเสบของตับ ในระยะนี้หากไม่ควบคุมดูแลให้ดี และปล่อยให้การอักเสบดำเนินไปเรื่อยๆ เกินกว่า 6 เดือนอาจกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง

– ระยะที่ 3 การอักเสบรุนแรง ก่อให้เกิดพังผืดในตับ เซลล์ตับค่อยๆ ถูกทำลายลง

– ระยะที่ 4 เซลล์ตับถูกทำลายไปมาก ตับไม่สามารถทำงานได้ตามปกติอีกต่อไป ทำให้ตับแข็ง และ
อาจกลายเป็นมะเร็งตับได้ในที่สุด

กุญแจสำคัญในการรักษาโรคไขมันพอกตับ คือ
การลดน้ำหนักให้ได้ 5 – 10% ของน้ำหนักตัว และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ
5 วัน  คุมอาหาร หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เช่น นม เนย กะทิ ชีส กุ้ง ปูไข่ ไข่แดง พร้อมหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีแป้ง และน้ำตาลมากเกินไป ควรลดปริมาณอาหารลงในแต่ละมื้อ แต่ไม่ควรลดน้ำหนักด้วยการงดอาหาร หรือรับประทานผลไม้แทนมื้ออาหาร เนื่องจากทางการแพทย์พบว่าการรับประทานผลไม้มากเกินไปจะทำให้มีการสะสมน้ำตาลจากผลไม้มากจนสุดท้ายจะกลายเป็นไขมันในเนื้อตับ ซึ่งส่งผลทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรัง รวมทั้งทำให้ผู้ป่วยเบาหวานจะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี (ในกรณีที่ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาล หรือไขมันในเลือดสูง ที่ต้องควบคุมอาหาร หรือใช้ยาเพื่อทำให้ผลเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ)

เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคไขมันพอกตับโดยเฉพาะแต่การรักษาสามารถทำได้โดยวิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ตรวจสุขภาพเป็นประจำ และพบแพทย์เป็นประจำ เพื่อติดตามการดำเนินของโรค

โรคไขมันพอกตับ
โรคไขมันพอกตับ

ที่มา : ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์

สั่งชาเขียวหวานน้อย ทำไมได้น้ำเปล่ากลับมา

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ (Strictly Necessary Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้มีความสำคัญต่อการปฏิบัติการของเว็บไซต์ feedforfuture.co ซึ่งจะช่วยให้ท่านสามารถเข้าถึงข้อมูลและเนื้อหาต่างๆ ของเว็บไซต์เราได้ทุกส่วน โดยเฉพาะส่วนสมาชิกผู้ใช้งานของเว็บไซต์ ตลอดจนการตรวจสอบจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา

  • คุกกี้ด้านประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลทางสถิติเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน เพื่อวิเคราะห์ และช่วยให้เราทราบถึงพฤติกรรมการใช้งาน ซึ่งจะช่วยปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการใช้งานบนเว็บไซต์ของเรา

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาเข้ากับกลุ่มเป้าหมาย (Targeting Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้ในการบันทึก และจดจำคุณลักษณะต่างๆ ที่ท่านได้เลือกขณะเข้าชมเว็บไซต์ของเรา เช่น หมวดหมู่ และเนื้อหาที่ท่านชอบอ่านมากที่สุด เราจะบันทึกข้อมูลเหล่านี้ และนำกลับมาใช้เมื่อท่านกลับเข้ามาที่เว็บไซต์ของเราอีกครั้ง เพื่อปรับให้ท่านได้รับชมเนื้อหาได้ตรงกับความชอบของท่านให้มากที่สุด

  • คุกกี้เพื่อนำเสนอโฆษณาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย (Advertising Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้เพื่อจดจำพฤติกรรมการอ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์ของท่าน รวมถึงรายละเอียดของอุปกรณ์ที่ท่านใช้ เพื่อนำไปใช้วิเคราะห์การนำเสนอโฆษณาที่เหมาะสมกับท่านมากที่สุด และช่วยวัดความมีประสิทธิผลของโฆษณาที่เรานำเสนอด้วย ตลอดจนช่วยป้องกัน หรือจำกัดจำนวนครั้งที่ท่านจะเห็นโฆษณาเดิมซ้ำๆ

บันทึก