ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Complete- Aged Society ) และคาดว่าประเทศไทยจะเป็นสังคมสูงอายุระดับสุดยอด (Super- Aged Society) ในปี 2574 ส่งผลให้ความรุนแรงของปัญหาซึ่งเกิดจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ฯลฯ เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ประชากรเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ลดการมีชีวิตอยู่อย่างมีสุขภาวะ รวมถึงสร้างความสูญเสียต่อเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก
โดยแนวทางจัดการปัญหากลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในปัจจุบันมุ่งเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เพื่อส่งเสริมสุขภาพ และป้องกันโรค รวมถึงกรณีที่โรคเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตควบคู่กับการใช้ยาไปด้วยกัน ก็ทำให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ลดการใช้ยาที่ไม่จำเป็น และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ดังนั้นเวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine) จึงนับเป็นทางออกเพื่อสุขภาพที่ดี และยั่งยืนในปัจจุบัน
ทำความรู้จัก เวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine)
การวางแผนปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างมีคุณภาพตามหลักเวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine) โดยมีแพทย์และทีมสหวิชาชีพเข้ามาร่วมดูแลอย่างใกล้ชิด (Health and wellness coaches; HWCs) เช่น นักกำหนดอาหาร นักกายภาพบำบัด เทรนเนอร์การออกกำลังกาย ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เป็นต้น
เวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine) ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ
1.โภชนาการ – รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป จำกัดปริมาณน้ำตาล ไขมัน เกลือ เน้นอาหารที่มาจากพืชผักผลไม้ เน้นรับประทานข้าวกล้อง และปลาเป็นหลัก กินตับ กินผัก ผลไม้เป็นประจำ และดื่มน้ำให้เพียงพอ กินอาหารสดใหม่สะอาดอยู่เสมอ
2.กิจกรรมทางกาย – ออกกำลังกายให้เพียงพอ ทั้งการออกกำลังเพื่อเพิ่มสมรรถภาพของปอดและหัวใจ เช่น เดินเร็ว วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ ฯลฯ อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ หรือโดยเฉลี่ยอย่างน้อย 30 นาที/วัน และออกกำลังกายแบบมีแรงต้านเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ควบคู่กับการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ อย่างน้อย 2 วันต่อสัปดาห์ รวมถึงการเคลื่อนไหวรูปแบบต่างๆ การทรงตัวเพื่อป้องกันการหกล้ม เป็นต้น
3.การนอนหลับ – นอนหลับอย่างมีคุณภาพให้เพียงพอ เป็นเวลา และต่อเนื่อง เพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกาย ส่งผลให้ระบบเผาผลาญอาหารดีขึ้น อารมณ์สดใสอีกทั้งยังช่วยให้การควบคุมอาหาร และออกกำลังกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้การนอนหลับยังมีความสำคัญต่อการพัฒนาการของร่างกาย สมองระบบประสาท การเรียนรู้ ความจำวัยผู้สูงอายุมีผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และการนอนหลับไม่เพียงพอนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดภาวะภูมิต้านทานต่ำ
4.ลดเลิกการใช้สารเสพติด – การใช้สารเสพติดทุกชนิดสัมพันธ์กับการเสียชีวิตและความพิการจากโรคทางกาย โรคทางจิตเวช และอุบัติเหตุ เวชศาสตร์วิถีชีวิตจะมุ่งเน้นการลด ละ เลิก สารเสพติดที่ใช้กันแพร่หลายและก่อให้เกิดปัญหามากที่สุดคือบุหรี่และแอลกอฮอล์
5.การจัดการกับความเครียด – จัดการกับความเครียด สร้างสภาวะทางอารมณ์ที่ดี มองโลกในเชิงบวก ข้อดีของความเครียดคือทำให้มนุษย์พัฒนาศักยภาพของตนเอง และข้อเสียของความเครียด คือ ส่งผลเสียต่อสุขภาพทำให้เป็นโรคซึมเศร้าวิตกกังวล โรคอ้วน เบาหวาน โรคหัวใจ มะเร็ง ฯลฯ ได้ง่ายขึ้น ความเครียดจะส่งผลดีหรือผลเสียต่อสุขภาพขึ้นอยู่กับวิธีการจัดการความเครียดที่เหมาะสม
6.ความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง – การเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเป็นความต้องตามธรรมชาติของมนุษย์ ความเหงาและสภาวะโดดเดี่ยวทางสังคมเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคซึมเศร้า สมองเสื่อม โรคหัวใจ และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร การมีปฏิสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่นอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นอีกหนึ่งวิถีชีวิตที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ
ซึ่งการปฏิบัติตนตามแนวทาง Lifestyle Medicine หรือเวชศาสตร์วิถีชีวิต จะส่งผลให้ทุกเพศ ทุกวัยรวมถึงผู้สูงอายุสุขภาพดี มีความสุข พร้อมสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมสูงวัยที่มีคุณภาพต่อไปในอนาคต
ทำไม Lifestyle Medicine จึงเป็นการแพทย์แนวใหม่ที่ทุกคนต้องใช้
หลักการพื้นฐานของการดูแลสุขภาพ คือ “การป้องกันไว้…ดีกว่าแก้” เพราะการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ส่งผลให้มีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีความสุข ดีกว่าการทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วย แล้วค่อยมารักษา การแพทย์แผนปัจจุบันนั้น มีเวชศาสตร์ป้องกันที่ช่วยป้องกันก่อนการเกิดโรค และการแพทย์มีการพัฒนาไปไกล มีทางเลือกต่าง ๆ ที่เข้ามาเติมเต็มในส่วนของการดูแลสุขภาพ หลักสำคัญที่จะทำให้เวชศาสตร์ป้องกันสมบูรณ์ก็คือ การดูแลสุขภาพของตัวเราเอง (Self-care) หรือ เวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine) เป็นการแพทย์ที่เน้นการจัดการที่ต้นเหตุของโรคที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต โดยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนไข้ ด้วยแนวทางที่อยู่บนพื้นฐานของหลักฐานทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ เพื่อป้องกันและรักษาโรค ทั้งนี้ เวชศาสตร์วิถีชีวิต Lifestyle Medicine ไม่ได้มุ่งแค่รักษาโรคหรือควบคุมโรคที่เรื้อรังเท่านั้น ในบางกรณีอาจทำให้โรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตย้อนกลับไปสู่ภาวะปกติได้ โดยอาจไม่ต้องพึ่งการใช้ยา
ที่มา : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข