เมื่อพูดถึงเรื่องความหวานหลายคนอาจจะนิยมรับประทาน น้ำผึ้ง มากกว่า น้ำตาล ด้วยเหตุผลที่ว่า “น้ำผึ้ง” เป็นความหวานที่มาจากเกสรดอกไม้ธรรมชาติ เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายจะสามารถดูดซึม และนำไปใช้ได้เลย
วันนี้ FEED จึงขอมาไขข้อสงสัยว่า “น้ำผึ้งดีกว่าน้ำตาลทรายจริงหรือไม่”
น้ำผึ้ง คือ น้ำหวานที่ผึ้งเก็บมาจากเกสรดอกไม้ น้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำและน้ำตาล 2 ชนิด คือ ฟรุกโตส และกลูโคส มีวิตามินอื่นๆ เช่น กรดอะมิโน เอนไซม์ วิตามินบี วิตามินซี แร่ธาตุ และมีสารต้านอนุมูลอิสระ
น้ำผึ้งจัดเป็นฟลาโวนอยด์ มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ คุณค่าทางโภชนาการของน้ำผึ้งจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับแหล่งกำเนิดของดอกไม้ ที่ผึ้งไปดูดน้ำหวานมา ซึ่งจะส่งผลไปถึง กลิ่น สี และรสชาติของน้ำผึ้งด้วย
น้ำผึ้งมี “น้ำตาลฟรุกโตส” สูงกว่า “น้ำตาลกลูโคส” ซึ่งฟรุกโตสมีความหวานมากกว่ากลูโคส แม้ว่าจะใช้น้ำผึ้งในปริมาณที่น้อยกว่าในอาหารหรือเครื่องดื่ม แต่ความหวานของน้ำผึ้งที่ อยู่ในอาหารหรือเครื่องดื่มนั้น ก็ยังมีความหวานอยู่มาก วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ ในน้ำผึ้ง ก็จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
แต่ถ้าน้ำผึ้งดิบ ที่ยังไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์จะมีละอองเกสรดอกไม้ ซึ่งช่วยลดอาการแพ้ได้ เพราะมีความเป็นด่างในระบบย่อยอาหาร จึงทำให้ไม่หมักในกระเพาะอาหาร นอกจากนี้น้ำผึ้งอาจจะมีประโยชน์กับร่างกาย ในด้านอื่นๆ เช่น ช่วยบรรเทาจากการไอ และเจ็บคอ หรือช่วยในการรักษา บาดแผล และแผลไฟไหม้เล็กน้อยได้
น้ำตาลทราย คือ สารให้ความหวานชนิดหนึ่ง ที่ได้มาจากธรรมชาติ หรือสังเคราะห์ขึ้น
ทางปฏิกิริยาเคมี ส่วนใหญ่ใช้ประกอบอาหาร น้ำตาลเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ประกอบด้วยธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน น้ำตาลจะพบได้ในเนื้อเยื่อของพืช แต่ที่พบและมีความเข้มข้นเพียงพอในการสกัดออกมาให้เป็นน้ำตาลที่เราใช้กันอยู่นั้น ส่วนใหญ่จะพบในอ้อย และน้ำตาลจากหัวบีท ที่จะสกัดออกมาเป็นน้ำตาลที่เรารับประทาน และใช้ปรุงอาหารภายในครัว เช่น น้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลกรวด เป็นต้น
น้ำตาลประกอบด้วยน้ำตาลกลูโคส และฟรุกโตส ซึ่งเมื่อรวมตัวกันในร่างกายแล้วจะเรียกว่า “ซูโครส” น้ำตาลทรายเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดละลายน้ำได้ แต่ในน้ำตาลทรายไม่มีวิตามิน หรือแร่ธาตุ ซึ่งแตกต่างจากน้ำผึ้งที่มีทั้งวิตามินและแร่ธาตุ
เมื่อเทียบในเชิงปริมาณการใช้ของ น้ำผึ้ง กับ น้ำตาล
น้ำตาลสามารถใช้ในการปรุงอาหาร และเครื่องดื่มได้ดีกว่า อีกทั้งราคายังถูกว่าน้ำผึ้ง และยังมีอายุการเก็บรักษาได้ยาวนานกว่าน้ำผึ้ง แต่น้ำตาลอาจย่อยยากกว่าน้ำผึ้ง และน้ำตาลสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคบางชนิดได้ น้ำตาลเป็นคาร์โบไฮเดรต เป็นแหล่งพลังงานที่ให้พลังงานสูงกับร่างกาย เพราะสมองของมนุษย์ต้องการคาร์โบไฮเดรต 130 กรัมต่อวันในการทำงาน ซึ่งเมื่อร่างกายดูดน้ำตาลจะเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบของพลังงานจึงทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น
ส่วนน้ำผึ้งที่มีฟรุกโตสสูง ร่างกายจะถูกเผาผลาญได้เพียง 2 ที่ในร่างกาย คือ สมอง และตับ ฉะนั้นหากร่างกายได้รับฟรุกโตสสูงเกินไปตับจะทำงานหนัก อาจส่งผลให้เกิดภาวะไขมัน พอกตับได้ นอกจากนี้น้ำผึ้งยังไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะไขมันแทรกตับ ไขมันพอกตับ ไขมันจุกตับ และหากการรับประทานน้ำผึ้งมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเสียได้ เกิดปัญหาในการดูดซึมในลำไส้ได้อีกด้วย
เมื่อได้ทำความรู้จักทั้ง น้ำผึ้ง และน้ำตาลแล้ว ว่ามีคุณค่าทางโภชนาการ และประโยชน์ ที่แตกต่างกันอย่างไร ดังนั้นผู้บริโภคจึงควรเลือกบริโภคอย่างเหมาะสมกับร่างกาย และควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อป้องกันผลเสียที่จะเกิดขึ้นต่อร่างกาย