ดอกคาโมมายล์เป็นสมุนไพรมานานนับพันปี ตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ กรีก และโรมัน เป็นสมุนไพรที่นิยมมากในทวีปยุโรป และยังเป็นหนึ่งในดอกไม้ที่คนนิยมนำมาทำให้แห้งแล้วชงดื่มเป็นชา หรือนำมาเป็นส่วนประกอบของน้ำมันหอมระเหย โดยเชื่อว่าจะช่วยให้นอนหลับได้ดียิ่งขึ้น คลายความวิตกกังวล บำรุงระบบย่อยอาหาร และยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติต้านมะเร็งด้วย นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณมากมาย ได้แก่ ช่วยขับลม ลดอาการปวดเกร็งท้อง ลดการปวดประจำเดือน ต้านการอักเสบในช่องปาก คอ ผิวหนัง และช่วยสมานแผล
คาโมมายล์ เป็นดอกไม้ในตระกูลเดียวกับเดซี่ พืชทั้ง 2 ชนิดนี้จึงมีรูปร่างหน้าตาค่อนข้างคล้ายคลึงกัน โดยมีดอกสีขาวและมีเกสรตรงกลางเป็นสีเหลือง ชาที่ชงจากดอกคาโมมายล์จะมีรสหวาน ไม่ได้มีรสขมเหมือนชาเขียวและชาดำ เนื่องจากคาโมมายล์เป็นพืชที่ปราศจากคาเฟอีน จึงนับเป็นอีกตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการหลีกเลี่ยงการบริโภคคาเฟอีน โดยมีการศึกษาวิจัยบางส่วนที่ค้นคว้าคุณสมบัติของคาโมมายล์ในด้านต่าง ๆ ไว้ ดังนี้
ช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น
ดอกคาโมมายล์ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า Apigenin มีคุณสมบัติลดความเครียด ทำให้คุณง่วงนอน ลดอาการนอนไม่หลับ โดยมีการทดลอง และงานวิจัยพบว่าผู้ป่วยที่มีอาการนอนไม่หลับเรื้อรัง เมื่อบริโภคคาโมมายล์เป็นเวลา 28 สัปดาห์ ผลลัพธ์พบว่านอนหลับได้ดีขึ้นในระดับปานกลาง และผู้หญิงที่มีอาการนอนไม่หลับ
ภาวะซึมเศร้าหลังคลอดบุตร เมื่อดื่มชาคาโมมายล์เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ปรากฏว่ามีอาการทางร่างกายที่เกิดจากการนอนไม่พอลดน้อยลง รวมถึงอาการของภาวะซึมเศร้าก็ลดลงด้วย
ดีต่อระบบย่อยอาหาร
อีกสรรพคุณหนึ่งที่ถูกกล่าวถึงอย่างแพร่หลายของคาโมมายล์ก็คือบรรเทาอาการท้องเสีย โดยมีความเชื่อมาช้านานว่าสมุนไพรชนิดนี้อาจมีสรรพคุณช่วยบำรุงระบบย่อยอาหาร บรรเทาอาการท้องเสีย ท้องอืด และการมีแก๊สในกระเพาะอาหารมากเกินไปได้
ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ที่ส่งผลต่อการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร โดยศูนย์ข้อมูลเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติยังระบุอีกว่าชาคาโมมายล์สามารถรักษาอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย ท้องร่วง และอาการเบื่ออาหาร
ป้องกันโรคมะเร็ง
สารต้านอนุมูลอิสระ (Apigenin) ที่พบในชาคาโมมายล์ มีคุณสมบัติต่อสู้กับเซลล์มะเร็งได้ โดยเฉพาะเซลล์มะเร็งเต้านม ทางเดินอาหาร ผิวหนัง ต่อมลูกหมาก และมดลูก
จากการศึกษายังพบว่า ผู้ที่ดื่มชาคาโมมายล์ 2-6 ครั้งต่อสัปดาห์ มีโอกาสเป็นมะเร็งต่อมไทรอยด์น้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มชาคาโมมายล์เลย
ลดอาการปวดประจำเดือน
จากการศึกษาในปี 2010 พบว่าการดื่มชาคาโมมายล์เป็นเวลา 1 เดือน สามารถลดความเจ็บปวดจากการเป็นตะคริว บรรเทาอาการปวดอย่างรุนแรงของประจำเดือน บรรเทาอาการกระสับกระส่าย ช่วยผ่อนคลายมดลูกและลดการผลิต Prostaglandins ซึ่งก็คือ สารคล้ายฮอร์โมนที่ทำให้เกิดการอักเสบและปวด
บำรุงผิวพรรณ
ในปี 1987 จากการศึกษาพบว่าการใช้สารสกัดจากดอกคาโมมายล์ สามารถรักษาบาดแผล กลาก สะเก็ดเงิน และภาวะผิวหนังอักเสบ นอกจากนั้นยังช่วยในเรื่องของความงาม เพราะสารอนุมูลอิสระในคาโมมายล์มีคุณสมบัติทำให้ผิวกระจ่างใส ช่วยให้จุดด่างดำจางลง ขจัดรอยแผลเป็นจากสิว กระชับรูขุมขน ชะลอความแก่ และรักษาผิวไหม้จากแสงแดด
ความปลอดภัยในการใช้คาโมมายล์
คาโมมายล์ในรูปแบบชาสามารถดื่มได้ทุกเพศทุกวัย แต่อาจทำให้รู้สึกง่วงซึมหลังดื่มได้ และหากดื่มในปริมาณมากเกินไปก็อาจทำให้อาเจียน ส่วนเด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ หญิงที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร และผู้ที่แพ้คาโมมายล์หรือพืชในตระกูลเดซี่ ต้องระมัดระวังในการใช้หรือการดื่มกินคาโมมายล์มากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคหรือการทาบนผิวหนัง เพราะอาจก่อให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงได้ และยังไม่มีหลักฐานรับรองได้อย่างชัดเจนว่าบุคคลในกลุ่มดังกล่าวจะบริโภคคาโมมายล์ได้อย่างปลอดภัยหรือไม่
สำหรับที่ต้องการบริโภคหรือใช้คาโมมายล์ในรูปแบบใด ๆ เพื่อจุดประสงค์ทางการรักษาโรค ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ทุกครั้ง โดยเฉพาะหากมีปัญหาสุขภาพอยู่ และควรจำกัดปริมาณการบริโภคให้เหมาะสมด้วย โดยปริมาณคาโมมายล์ในรูปแบบแคปซูลที่เคยมีการวิจัยแล้วพบว่าปลอดภัยนั้น มีตั้งแต่ 400-1,600 มิลลิกรัม หากบริโภคเป็นชาอาจดื่มวันละ 1-4 แก้ว โดยใช้คาโมมายล์ 9-15 กรัมต่อวันเท่านั้น และควรหลีกเลี่ยงการบริโภคคาโมมายล์พร้อมกับการใช้ยาวาร์ฟารินหรือยาไซโคลสปอริน เพราะอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อกัน และก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ ตามมาได้
ที่มา Oprahdaily ,food.ndtv ,medicalnewstoday ,healthline ,pharmacy.mahidol