ครั้งหนึ่งกรุงเทพมหานครเคยได้รับเลือกให้เป็น “เมืองหลวงหนังสือโลก” (World Book Capital) จากองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ “ยูเนสโก” เมื่อปี พ.ศ. 2556 จึงเป็นโอกาสสำคัญในการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านให้กับคนไทย ซึ่งในตอนนั้นหน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่างให้ความร่วมมือออกโครงการต่างๆ เพื่อให้สอดรับกับการได้รับเลือก
อีกมุมหนึ่งบ้านเราก็มีงานหนังสือจัดขึ้นเป็นประจำอย่างต่อเนื่องทั้งระดับประเทศและระดับภูมิภาค “มหกรรมหนังสือระดับชาติ” เป็นอีกหนึ่งงานหนังสือขนาดใหญ่ซึ่งในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 27 และกลับมาจัดที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สถานที่คุ้นเคยของเหล่านักอ่านที่เพิ่งได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ ภายในงานนอกจากสำนักพิมพ์ นักเขียนอิสระ และร้านจำหน่ายสินค้าตัวละครจากการ์ตูนที่มาออกบูธ สิ่งที่น่าสนใจคืองานครั้งนี้มี “พรรคการเมือง” คือ “พรรคก้าวไกล” และ “พรรคเพื่อไทย” รวมถึงกลุ่ม “CARE คิด เคลื่อน ไทย” และ “คณะก้าวหน้า” มาตั้งบูธเพื่อจำหน่ายหนังสือ สินค้า และประชาสัมพันธ์นโยบาย ผลงานของพรรคเพื่อให้ผู้ที่มาร่วมงานได้เข้าใจและเป็นการเตรียมพร้อมสู่สนามการเลือกตั้งทั่วไปที่กำลังจะมาถึง
การเคลื่อนไหวของฝ่ายการเมืองภายในงานหนังสือเป็นที่น่าสนใจว่า มีจุดประสงค์และต้องการสื่อสารอะไรกับนักอ่านซึ่งส่วนใหญ่เป็น “กลุ่มวัยรุ่น”
“ธีรชัย ระวิวัฒน์” หรือแชมป์ ราชบุรี ในฐานะสมาชิกกลุ่ม CARE คิด เคลื่อน ไทย ซึ่งมาออกบูธภายในงานครั้งนี้เล่าว่า “อุตสาหกรรมหนังสือเป็นหนึ่งในสิบอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ที่พรรคเพื่อไทยชูเป็นนโยบายหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้า การมาเปิดบูธที่งานหนังสือเพื่อแสดงให้เห็นว่าเราจริงจังกับอุตสาหกรรมครีเอทีฟ อีโคโนมี ซอฟต์พาวเวอร์ และเพื่อแนะนำแนวคิดนโยบายเกี่ยวกับซอฟต์พาวเวอร์ในบูธนี้”
“เราเชื่อว่าซอฟต์พาวเวอร์ไม่ใช่อุตสาหกรรมแต่ซอฟต์พาวเวอร์คือศักยภาพในคน เราเชื่อว่าในประเทศไทยอย่างน้อยในหนึ่งครัวเรือนจะต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่มีศักยภาพ ดังนั้นเพื่อไทยจะปลดล็อกศักยภาพของทุกๆ คนในหนึ่งครัวเรือน เป็นนโยบายหนึ่งครอบครัวหนึ่งซอฟต์พาวเวอร์ที่เรานำเสนอวันนี้”
ธีรชัย ระวิวัฒน์ สมาชิกกลุ่ม CARE คิด เคลื่อน ไทย
ไอเดียใหม่ๆ ถูกทิ้งลงชักโครกเพราะปัญหากดทับ
กิจกรรมภายในบูธพรรคเพื่อไทยแบ่งเป็น 3 ส่วน ฉายภาพจุดเริ่มต้นของไอเดียความคิดสร้างสรรค์ อุปสรรคที่ต้องเจอ และแนวทางแก้ปัญหาตามนโยบายของพรรค
- ห้องน้ำ : หลายครั้งที่เรานั่งอยู่ในห้องน้ำมักจะปิ๊งไอเดียใหม่ๆ เมื่อยืนส่องกระจกก็วาดฝันว่าถ้าโตขึ้นฉันจะเป็นนั่นเป็นนี่เต็มไปหมด
- ชักโครก : สะท้อนปัญหาและอุปสรรคมากมายที่ทำให้เราไม่สามารถทำตามความฝันหรือทำให้ไอเดียสร้างสรรค์เหล่านั้นเป็นจริงได้
- ห้องแต่งตัว : นำเสนอนโยบายของพรรคเพื่อไทยเพื่อสนับสนุนให้ความฝันของคนไทยเป็นจริง
ทุกคนต้องร่วมกันเปลี่ยนแปลงประเทศ
“พริษฐ์ วัชรสินธุ” ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบายพรรคก้าวไกล เล่าถึงแนวคิดในการมาออกบูธที่งานมหกรรมหนังสือระดับชาติว่า “กิจกรรมของพรรคก้าวไกลที่งานหนังสือก็ถูกคิดค้นขึ้นมาบน 2 หลักการ หลักการที่หนึ่งเราเชื่อว่าในการเลือกตั้งที่จะมาถึงเร็วๆ นี้ การเปลี่ยนแค่รัฐบาลหรือว่านายกฯ อย่างเดียวอาจจะไม่พอ แต่เราต้องเปลี่ยนประเทศด้วยหมายถึงการเปลี่ยนโครงสร้าง กติกา ระบบจัดทำงบประมาณที่ปัจจุบันเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศและการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน หลักการที่สองที่เราเชื่อคือเราไม่อยากให้ประชาชนต้องรอการเปลี่ยนแปลงแต่อยากจะเชิญชวนประชาชนทุกคนลุกขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงร่วมกัน เราก็เลยยึดสองหลักการนี้ในการออกแบบกิจกรรมในบูธ”
“หัวใจสำคัญของงานหนังสือคือการส่งเสริมการเรียนรู้ ผมมองว่าการเรียนรู้เกี่ยวกับการเมืองก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญเพราะฉะนั้นการให้พรรคการเมืองมาทำกิจกรรมได้ก็จะเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้เกี่ยวกับการเมืองคืออะไร สัมพันธ์กับปัญหาต่างๆ ในประเทศอย่างไร พอมีหลายๆ พรรคมาทำกิจกรรมจะทำให้ประชาชนได้เรียนรู้ถึงแนวคิดทางการเมืองที่มันหลากหลาย ในวันนี้ผมเห็นว่ามีของพรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย ความจริงก็อยากให้มีพรรคการเมืองที่หลากหลายขึ้นกว่านี้อีกเพื่อที่ประชาชนหรือเยาวชนจะได้เข้าถึงชุดความคิดที่แตกต่างหลากหลายและให้เขาวิเคราะห์เองว่าชุดความคิดแบบไหนที่ตอบโจทย์เขามากที่สุด”
“ผมว่าเราต้องอย่าทำให้การเมืองเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัว ที่ผ่านมาจะมีชุดความคิดหนึ่งที่บอกว่าการเมืองไม่ใช่เรื่องของเด็กเพราะฉะนั้นการเมืองกับการศึกษาต้องแยกออกจากกัน ผมมองว่าเราไม่ควรจะมองแบบนั้นแต่เราควรจะมองว่าเราต้องให้การเมืองกับการศึกษามันเชื่อมกันได้และทำให้นักเรียนหรือเยาวชนสามารถเข้าถึงชุดข้อมูลแนวคิดทางการเมืองที่มันแตกต่างหลากหลายได้ เพื่อที่เขาจะได้วิเคราะห์ด้วยตนเองว่าเห็นด้วยกับแนวทางแบบไหน พอเขาเติบโตขึ้นมาก็จะเข้ามาเพิ่มบทบาทในการเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงขับเคลื่อนสังคม”
พริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบายพรรคก้าวไกล
อย่าทำให้คนหมดไฟในการเรียนรู้
“โลกที่มันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วองค์ความรู้อะไรหลายๆ อย่างมันหมดอายุเร็วขึ้น เพราะฉะนั้นเราจะหวังแค่ความรู้ที่เราได้จากสถานศึกษาอย่างเดียวไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้นเราต้องส่งเสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียนด้วย การได้อ่านหนังสือก็เป็นเครื่องมือหนึ่งหรือช่องทางหนึ่งที่สำคัญในการเข้าถึงองค์ความรู้ใหม่ๆ ผมเชื่อว่าเด็กไทย เยาวชนไทย มีไฟในการที่อยากจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ บางคนก็อาจจะชอบอ่านหนังสือ บางคนอาจจะชอบวิธีการอื่นไม่เป็นไร หัวใจสำคัญคือส่งเสริมเรื่องการเรียนรู้ สิ่งที่ผมกังวลที่สุดคือเราต้องอย่าทำให้ระบบการศึกษามันไปดับไฟแห่งการเรียนรู้ เราต้องทำให้การศึกษามันเติมไฟแห่งการเรียนรู้ ปัจจุบันเราเห็นว่าการศึกษาในประเทศมีความเครียดเยอะมาก ชั่วโมงเรียนเยอะ การสอบแข่งขันเยอะ เราเห็นถึงปัญหาเรื่องโรคซึมเศร้า สุขภาพจิตของนักเรียนเยอะขึ้น ส่วนหนึ่งก็มาจากระบบการศึกษาที่มันไปส่งเสริมความเครียดตรงนั้น เพราะฉะนั้นเราต้องอย่าทำให้การศึกษาเป็นเรื่องที่เครียด อย่าทำให้คนหมดไฟในการเรียนรู้” พริษฐ์ กล่าวทิ้งท้ายถึงความสำคัญของการอ่านหนังสือ
เมื่อพรรคการเมืองกระโดดเข้ามาอยู่ภายในงานหนังสือเพื่อเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มาร่วมงานเป็นการส่งสัญญาณที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งครั้งหน้าในฐานะ “New Voter” และในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเราต่างก็เห็นแล้วว่า คนกลุ่มนี้ให้ความสนใจเรื่องการเมืองและอาจจะเป็นกุญแจสำคัญเปิดประตูสู่ชัยชนะของพรรคการเมืองก็เป็นได้เพราะการเมืองคือเรื่องใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้ามอีกต่อไป