เส้นทางชีวิตเป็นทั้งศิลปินเบื้องหน้าและเบื้องหลัง โลดแล่นอยู่ในวงการเพลงเริ่มต้นจากค่าย กามิกาเซ่ เขามีเพลงฮิตติดหูมากว่า 8 ปี แล้วสำหรับ “เจฟ วรกมล ซาเตอร์” หรือ “เจฟ ซาเตอร์ (Jeff Satur)” ที่ตอนนี้มาสังกัดค่าย Warner Music Thailand
แต่ถึงกระนั้น ชื่อของเขาก็ยังไม่เป็นที่รู้จักมากพอ จนกระทั่งเจฟได้มีโอกาสมาเล่นซีรีส์ Y แนวมาเฟียสุดเข้มข้นเรื่อง KinnPorsche The Series ในบทของ คิม น้องเล็กแห่งตระกูลมาเฟีย ทำให้เจฟ เป็นที่รู้จักล้นหลาม ไปไหนก็มีแฟนคลับตามคอยให้กำลังใจ จนขึ้นแท่นดาราห้างแตก
FEED ได้มีโอกาสนั่งคุยกับ เจฟ ถึงเรื่องชีวิตที่ผ่านมาในวัย 27 ปี ที่เจฟ ออกปากยอมรับแบบตรงๆ ว่าตอนนี้หาความสุขให้กับชีวิตในแต่ละวันได้ง่ายมาก

“ชีวิตตอนนี้ก็ดีขึ้น ผมแฮปปี้นะครับ ทำงานทุกวัน แต่ว่าก็ยังรู้สึกว่าเอ็นจอยกับงานทุกวัน มีความสุขกับเรื่องง่ายๆ อย่างเช่น แบบนั่งรถดูข้างนอก ฟังเพลงอะไรอย่างนี้“
“ด้วยอายุด้วยที่เราเจอมาหลายๆ อย่างอะไรอย่างเรารู้สึกว่าจริงๆ แล้วมันไม่ได้ยากขนาดนั้นในการที่จะรู้สึกว่าเอ็นจอยกับอะไรที่มันเกิดขึ้น เพราะว่าจริงๆ แล้วผมเคยเป็นคนที่เพอร์เฟกต์ชั่นนิสต์มากๆ มันจะมีความสุขกับอะไรที่มันเพอร์เฟกต์สมบูรณ์ แล้วมันรู้สึกว่ามันไม่มีนะ สิ่งที่มันสมบูรณ์ขนาดนั้น
อะไรง่ายๆ อย่างเช่น การไปทำงานแล้วได้นั่งฟังเพลงแล้วมองออกไปนอกกระจก แค่นี้มันก็แฮปปี้แล้ว การได้ทำงานหรือการทำงานกับใครก็แล้วแต่ มันก็เหมือนได้เจอคนใหม่ๆ มันมีอะไรที่มันไม่เคยเจอตลอดเวลา ผมก็เลยรู้สึกเอ็นจอยกับอะไรง่ายๆ”

เจฟบอกกับ FEED ว่าตัวเองเป็นคนชอบตั้งคำถาม รวมทั้งคุยกับตัวเองบ่อยๆและจะพยายามหาคำตอบในสิ่งนั้นให้ได้ดีที่สุด
“ผมเป็นคนที่ชอบตั้งคำถามครับ ผมตั้งคำถามกับทุกๆ เรื่อง ด้วยความที่คุณแม่สอนมาตั้งแต่เด็ก อ่านหนังสือแม่ก็ให้อ่านหนังสือการ์ตูนทุกอย่าง แล้วพอเราอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ มันก็เกิดคำถามเรื่อยๆ แล้วพอตั้งคำถามปุ๊บมันก็ต้องพยายามหาคำตอบ มันก็ทำให้เราค่อยๆ เติบโตความคิดไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนชอบตั้งคำถามแล้วก็พยายามเพื่อจะหาคำตอบให้ได้ดีที่สุด
ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเท่าไหร่ มันเป็นเหตุผลที่ผมต้องคุยกับตัวเองบ่อยๆ ว่าแบบมันเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงทำแบบนี้ พอจริงๆ ถ้าผมรู้สึกว่ามันเป็นการเดินทางที่มันจะทำให้เราโตขึ้น ผมว่ามันไม่มีใครเข้าใจตัวเอง 100% หรอกมันแค่เป็นคำถามที่เรายังไม่คุยกับเขามากกว่า ถ้าเราเข้าใจตัวเอง 100% เราจะไม่ทำการกระทำบางอย่างที่มันผิดพลาดออกไปเพราะเราเข้าใจตัวเรา”
ชีวิตในวัยเด็ก ที่บ้านไม่เคยตีกรอบ เลยชอบวาดกรอบให้กับตัวเอง จนช่วงนึงเคยเป็นเพอร์เฟกต์ชันนิสต์ ทุกอย่างต้องเป๊ะ
“คุณแม่เป็นคนที่แบบว่าเข้าใจเราแบบ 100% เขาเป็นคุณแม่ที่เข้าใจลูก ดูการ์ตูนกับลูกได้แล้วก็ไม่เอาตัวเองไปตั้งเป็นแบบไม้บรรทัดวัดลูก สมมติว่าเจฟเรียนได้เกรดไม่ดีแบบ 0.91 เขาก็จะขำแล้ว เขาจะบอกว่าตลกดี แค่ลูกมีสังคมที่ดี EQ ที่ดีเติบโตมาเป็นคนที่ดี แม่ก็แฮปปี้แล้ว แม่ไม่สนใจเลยว่าจะเรียนอะไรไม่เรียน แม่แค่ภูมิใจในเรื่องนี้แค่นั้นครับ
บ้านไม่มีตีกรอบให้เลย มีแต่เราที่พยายามขีดกรอบให้ตัวเอง เพราะว่าผมเป็นเพอร์เฟกชันนิสต์ ทุกอย่างมันต้องแบบเป๊ะ มันเลยเป็นแบบ 2-3 ปีหลังผมพยายามแบบจะไม่คิดอะไรเลยขีดกรอบอะไรไว้เลย ทั้งเรื่องดนตรี แต่งตัว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้เหมือนลองสิ่งใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ ตลอดเวลาครับ”
เป็นเพอร์เฟกต์ชันนิสต์ ทำให้ใช้ชีวิตยาก จนเมื่อค้นพบการไม่มีกรอบ ทำให้ชีวิตพบความสุข
“เอาจริงๆ มันทำให้ใช้ชีวิตยาก แต่ว่ามันก็มีข้อดีแล้วมันก็มีข้อเสีย เราก็จะพยายามทำงานให้ดีที่สุด แต่มันจะมีจุดหนึ่งที่เรารู้สึกว่ามันยากไปแล้วสำหรับการใช้ชีวิต อย่างเช่นผมรู้สึกว่าผมใช้เวลามิกซ์เพลงตรงพาร์ตนี้ประมาณ 1 ชั่วโมง ผมว่าเสียเวลา เอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่มันดีกว่านี้ได้อีกเยอะ มันก็เลยต้องแบบเพอร์เฟกต์ได้นะ แต่ก็อยู่ในบริบทที่เหมาะสมแต่ไม่แบบตะบี้ตะบันใส่ความเพอร์เฟกต์ไปเลย คือมันไม่มีอะไรที่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก คำว่าดีไม่ดี เป็นอะไรที่ subjective มากๆ ดีสำหรับเราแต่อาจจะไม่ดีสำหรับคนอื่นก็ได้เพราะฉะนั้นทำไปเถอะ ศิลปะมันไม่มีคำว่าผิดถูกแล้ว
อยู่ๆ ไป เราค้นพบว่ามันไม่ได้มีกรอบแค่กรอบเดียว คือกรอบที่เราคิดให้ตัวเองครับ แล้วเราก็เป็นสิ่งที่เราคิดขึ้นมาเอง มันไม่มีคำว่าผิดถูก คือผมจะคิดว่าคำตอบที่ถูกมันจะมีแค่คำตอบเดียวบนโลกใบนี้สำหรับแค่หนึ่งคำถาม แต่จริงๆ แล้วมันมีอีกมากมายอะไรเลย สิ่งที่เราทำมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ผิดแต่อาจจะไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นเค้าคาดหวังว่ามันจะเป็นเฉยๆ คนนึงอาจจะรู้สึกว่าอันนี้ดีก็ได้ แต่คนนี้รู้สึกว่าไม่ดีเพราะว่าสิ่งที่คาดหวังไว้มันจะเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นเอาที่ตัวเองแฮปปี้ทำแล้วรู้สึกมีความสุขก็พอแล้ว”

ในเรื่องของอาชีพ เจฟยืนยันกับ FEED ว่าเขาเชื่อว่าอาชีพนั้นเลือกคน และแม้ตอนนี้จะถูกเลือกให้ได้ทำงานในวงการบันเทิง แต่อนาคตอาจจะไม่ถูกเลือกก็ได้
“ผมแค่รู้สึกว่า ผมแค่ชอบทำอะไรผมก็ทำเฉยๆ ผมไม่ได้ตั้งใจว่าวันนี้เราจะทำงานวงการบันเทิงอะไรแบบนี้ ผมไม่ได้มองว่ามันเป็นวงการบันเทิงหรือว่ามันอาจจะเป็นชื่อเรียก ผมไม่ได้สนใจว่ามันจะเป็นอะไร ผมแค่ชอบการเล่าเรื่อง งานทุกอย่างที่ผมทำคือการเล่าเรื่องหมด ร้องเพลง แสดง การเขียน งานอะไรต่างๆ ผมว่าอาชีพมันเลือกเรานะครับ แค่ว่าเราเป็นแบบไหนอาชีพจะเลือกเราให้เป็นแบบนั้น
ผมว่ามันก็เป็นเส้นทางที่ถูกในตอนนี้ครับ ถูกในปัจจุบันหรือมันจะไม่ถูกในอนาคตหรืออะไรก็แล้ว แต่ตอนนี้มันถูกครับผมไม่รู้ว่าในอนาคตผมจะเปลี่ยนแนวคิดหรืออะไรไป แต่ว่าสำหรับผมตอนนี้ผมรู้สึกว่ามันเป็นที่ที่ถูกต้อง แล้วมันเป็นที่ที่ผมสามารถทำความฝันผมได้”
โลดแล่นอยู่วงการบันเทิงมา 10 ปี ค้นพบตัวเองที่สนุกในเวอร์ชันที่ไม่มีกรอบ
“จริงๆ ผมก็ท้อนะครับ เราก็เป็นมนุษย์ มันก็เกิดขึ้นได้แต่ว่าแค่เราต้องรับมือกับมันให้ได้ว่ามันมีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้นตลอดเวลา เราเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง เราก็ไม่สามารถทำดีทุกวันร้อยเปอร์เซ็นต์ทุกอย่าง มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แค่เรียนรู้ว่าเราจะไม่ทำผิดซ้ำอีก ถึงมันจะเกิดขึ้นอีกซ้ำอีกรอบหนึ่งก็คงจะน้อยลงเรื่อยๆ ครับ
ผมอยู่วงการมาประมาณ 10 ปีแล้ว มันไม่มีกรอบที่แน่ชัดเลยครับตอนนี้ เมื่อก่อนมันเคยมี แต่ว่าตอนนี้มันไม่มี มันไม่มีเพราะว่าเราเลือกที่จะเอามันออกไปเพราะว่าเราแค่รู้สึกว่าเราเอ็นจอยกับการได้ลองอะไรใหม่ๆ คือ มันไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด แต่เราจะลองอะไรใหม่ๆ โดยที่เราไม่ต้องลำบากกับคนอื่นไปทำให้คนอื่นเดือดร้อน แล้วมันสนุกกว่าที่นั่งคิดว่า เราถนัดแค่ตรงนี้ เราจะทำแค่อย่างเดียว มันมีหลายอย่าง เพราะเราเกิดมาครั้งเดียวมันมีหลายอย่างที่ผมอยากทำ เช่น อยากปั้นเซรามิก ทำอาหาร”
“คือมันไม่ได้มีหลาย goal (เป้าหมาย) หรอกครับ คือผมอยากจะทำ มอบแรงบันดาลใจให้กับคน ไม่ว่าจะวิธีไหนก็ตาม goal มันมีแค่อย่างเดียว แต่วิธีการมันอาจจะมีหลายวิธีอย่างนี้ แต่ว่าสิ่งที่เรารักก็คือรักการเล่าเรื่อง เพราะฉะนั้นงานที่เราทำก็คือการเล่าเรื่องเพราะผมรู้สึกว่ามันเป็นวิธีที่มอบแรงบันดาลใจให้คนได้ง่ายที่สุด
แม้จะไม่มีกรอบ แต่ก็ไม่รู้สึกสูญเปล่ากับความขยันที่ผ่านมา เจฟยกตัวอย่าง บัตเตอร์ฟลายเอฟเฟกต์ มาบอกกับ FEED
“เคยได้ยินเรื่องบัตเตอร์ฟลายเอฟเฟกต์ไหมครับ คือถ้าเราย้อนเวลากลับไปเปลี่ยนอะไรซักอย่างนึงปัจจุบันก็จะเปลี่ยนไป ผมแค่รู้สึกว่าทุกการเดินทาง มันมีความหมายแล้วมันพาให้เรามาสู่จุดนี้ที่ได้เจอกับคนมากมาย ได้ทำงานในสิ่งที่เรารัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้องเพลง แสดง หรือว่าเรื่องอะไรก็แล้วแต่ที่มันเป็นงานที่เราชอบ ผมแค่รู้สึกว่าตอนนี้มันมีความสุขมากแล้วก็อยากจะ encourage (ให้กำลังใจ) คนที่เคยเจอมาเหมือนกันว่า เฮ้ย มันไม่มีความผิดพลาด ที่เป็นอยู่ตอนนี้ใจเย็นๆ สักวันนึงถ้าเรายัง keep on มันก็จะถึงในที่ๆ คุณกำลังอยากจะไป
ผมเอง จากจุดเริ่มต้นมาถึงตอนนี้เส้นทางดนตรีของผมมันก็เปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะ คือเมื่อก่อนจะร้องเพลงอย่างเดียว แต่เดี๋ยวนี้คือโปรดิวซ์ด้วยมันก็ทำให้แบบว่าสิ่งที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง มันเยอะ มันกว้างขึ้นมาก มันก็กลายเป็นความสนุกในเรื่องของการร้องเพลง ทำเพลงด้วยเนื้อเพลงที่เราแต่งเอง มันรู้สึกเอ็นจอยในอีกแบบนึงนอกจากการแค่ร้องเพลงเฉยๆ
เราศึกษาต่อยอดหาความรู้ เรียนเองครับ เพราะว่าโปรดิวซ์ตอนนั้นก็เปิดคลิปดูก็ฝึกเอง จริงๆ พวกคอร์ดทฤษฎีพวกนี้เรารู้อะไรเยอะแล้วแหละ แค่ไม่กล้าที่จะทำเฉยๆ แค่กลัวว่ามันจะออกมาไม่ดี แต่แค่เรามีความกล้าที่จะยกกรอบไปแล้วลองไปทำดู”

มีความสุขกับการร้องเพลง หลังจากเริ่มต้นจากจุดที่มีแค่ครอบครัวฟัง หวังสิ่งที่ถ่ายทอดในเพลงจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คน
“มันไม่ได้ลดทอนในความสุขของการร้องเพลงนะครับ มันแค่ทำให้เราเสียความมั่นใจในการแสดงสดเฉยๆ แล้วมันก็ทำให้เรารู้สึกว่าไม่กล้าที่จะร้องเพลงสดมากกว่าครับ เพราะรู้ว่าไม่น่าจะมีใครมาดูเฉยๆ ครับ
ตอนนี้ผมตื่นเต้นกับการขึ้นเวทีและร้องสดน้อยลง เพราะว่าผมรู้ว่าจะมีคนที่คอยมาให้กำลังใจเรา มาร่วมร้องไปกับเรา ผมไม่กลัวด้วยซ้ำว่าผมจะร้องเพลงผิดหรือเปล่าเพราะว่ามันก็ยังเป็นเรื่องที่ดูน่ารักสำหรับเขาครับผม อยากขอบคุณที่ให้โอกาสเรา ได้ไปเป็นคนๆ หนึ่งที่อยู่ในหัวสมองคุณเพราะจริงๆ แล้วมันเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างมีมูลค่ามากนะ เพราะสมองเรามันต้องเป็นพื้นที่ที่ใช้ไว้จดจำใครหรือใช้เวลาฟังเพลงของใคร
หวังอย่างเดียวว่าอยากให้สิ่งที่เราทำมันไป inspire เขาให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้น อาจจะเป็นคำบางคำในบทที่ผมพูดในหนัง หรือว่าประโยคบางประโยคในเพลง ผมหวังว่าพวกนั้นจะทำให้เขามีความสุขขึ้นในทุกๆ วัน ก็ขอบคุณที่เข้ามารู้จักกันแล้วก็ผมเชื่อว่าหลังจากนี้มันก็มีอะไรที่แปลกใหม่เข้ามาเรื่อยๆ ครับ”
จากนักดนตรีสู่การเป็นนักแสดงซีรีส์ Y “คินน์พอร์ช เดอะซีรีส์” ทำให้ชีวิตพลิกเปลี่ยน
“เราเล่นโปรเจกต์หนึ่งที่เป็นหนังสั้น แล้วเราก็เจอกับครูหนิงซึ่งเขาเป็นคุณครูที่สอนแอ็กติ้งจนถึงปัจจุบันนี้ ยังเป็นครูคนเดียวคนเดิมตลอดมาอะไรแบบนี้ เรารู้สึกว่าเขาทำให้เรามีความกล้าในการแสดงมากขึ้น แล้วพอเราได้แสดงจริงๆ เราสนุก เรารู้สึกว่าเราอยากจะชาเลนจ์ตัวเองในบทบาทต่อๆ ไป นั่นถึงหมายถึงว่าทำไมถึงเล่น ซีรีส์คินน์พอร์ช และเล่นแบบเธียเตอร์ที่มันไม่ต้องแสดงสด มันทำให้ผมได้ท้าทายแล้วก็เหมือนแบบได้ฝึกฝนตัวเองในฐานะนักแสดงด้วย
ผมไม่ได้รู้สึกว่าเป็นซีรีส์ Y ผมแค่รู้สึกว่าเรื่องเพศไม่สามารถเป็นตัวระบุกำหนดหมวดหมู่ของหนังได้ มันไม่มีหนัง Y จริงๆ ครับ หนัง Y มันเป็นสิ่งที่คนแค่คิดขึ้นมาว่ามันคือหนัง Y จริงๆแล้วมันคือความรักของคนสองคนปกติ มันแค่ไม่ได้เป็นแบบคนคิดว่า ผู้ชาย-ผู้ชายรักกันเป็นเรื่องผิดปกติ แต่ทุกคนมีความรักที่เท่ากันแล้วมันก็สวยงามเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมรู้สึกว่ามันก็คือหนังเรื่องนึง ดูที่พล็อต ดูที่การนำเสนอมากกว่า
“เราทำเต็มที่ในวันนั้นเราไม่รู้หรอกว่าผลลัพธ์เราจะออกมาเป็นยังไงแบบไหนแล้วคนที่มีคนชอบเราจากคินน์พอร์ชเอง หรือจากเพลงของเราที่เราทำเองก็ตามอะไรแบบนี้ มันก็รู้สึกว่าการทำงานหนักของเรามันก็คุ้มค่าแต่มันก็ไม่ใช่ความที่เรามาได้ด้วยตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ มันมีทีมงานมากมายที่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่พาเรามาสู่จุดนี้มันมีหลายคนมากๆ ผมรู้สึกว่าผมขอบคุณคนพวกนั้นเสมอ
คินน์พอร์ช ทำให้เราได้ทำงานที่เรารัก แล้วก็อย่างที่ผมบอกคือความฝันของผมคือ อยากมอบแรงบันดาลใจ อย่างน้อยก็มีคนที่เข้ามาแล้ว เราสามารถเอางานของเราออกไปให้เขาเห็นแล้วทำให้ชีวิตเขามันมีความสุขขึ้นมาได้ครับผม
ยืนยันว่าแม้จะดังเป็นดาราห้างแตก แต่ก็ยังใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม
“ทุกวันนี้แม้จะมีคนรู้จักมากขึ้นผมก็ยังใช้ชีวิตปกติ เหมือนเดิม มันแค่ว่าอาจจะมีคนเข้ามาทักเราก่อนซึ่งก็โอเคมันก็เป็นปกติผมไม่ได้รู้สึกว่ากลัวหรืออะไรแบบนี้ ผมก็เอ็นจอยชีวิตเหมือนเดิมครับ (แต่ตอนนี้เรามีแฟนคลับเยอะจนเรียกว่าเจฟห้างแตกแล้วนะ?) ผมกับเขาเหมือนความสัมพันธ์แบบ คือเขาให้เรามา-เราให้เขา แบบพอเจอเขา-เขาก็มีแรงบันดาลใจมากๆ เรามอบแรงบันดาลใจให้เขา-เขาก็มอบแรงบันดาลใจให้เรา เพราะฉะนั้นการที่เขามาเจอกันแบบเยอะๆ มันก็เป็นเรื่องที่ดี มันก็ไม่ใช่เรื่องที่แบบรู้สึกว่าไม่ต้องมาเยอะอะไรแบบนี้ไม่ใช่
(เจอคนเยอะๆ มีความรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองบ้างไหม?) เวลาที่ได้เจอแฟนๆ พวกเขาสอนให้ผมเป็นตัวเองมากที่สุด แล้วก็ไม่ว่าผมจะทำอะไรผิดพลาดบนเวทีหรือในชีวิตจริง อะไรที่ผมรู้สึกว่ามันไม่โอเค มันจะเป็นเรื่องที่เขารู้สึกว่าเขาก็ยังชื่นชอบในส่วนนั้นอยู่ มันทำให้ผมรู้สึกว่าไม่กลัวที่จะเป็นตัวเอง เขาสอนให้ผมรักในทุกๆ รูปแบบที่ผมเป็น เพราะฉะนั้นผมก็ไม่รู้สึกว่าผมไม่เป็นตัวเอง
ผมไม่คิดว่าวันนี้จะมาแฟนมากรี๊ดผมขนาดนี้ ผมทำตัวเหมือนลอยเรือ ไปตามน้ำแล้วมันพาผมไปตรงไหนผมก็ไปตรงนั้นแหละครับ (หัวเราะ) ”

แย้มความฝันอยากมีเวิลด์ทัวร์เป็นของตัวเองให้ได้
“อยากทำเวิลด์ทัวร์ที่เป็นของตัวเอง เราชอบที่จะไปเจอกับแฟนหลายๆ ประเทศ ก็อยากจะไปเจอกับพวกเขาอยากจะไปคุยกับเขาแล้วก็อยากจะสัมผัสเขาเพราะว่าจริงๆ ผมชอบกับการ interact กัน ระหว่างผมกับคนที่ชอบผลงานเราอะไรอย่างนี้ การได้ไปเจอกันมันอาจจะแบบให้อะไรดีๆ กับเขา
ผมแค่รู้สึกว่าเอ็นจอยในทุกๆ วันที่ทำงานแล้วก็พอมันมีอะไรเข้ามาผมก็เอ็นจอย อาจจะมีวันที่แบดเดย์บ้าง วันที่ไม่ได้สดใสอะไรขนาดนั้น ผมว่ามันก็คือเสน่ห์ของชีวิต มันเหมือนกับร้องสดบนเวที บางทีก็มีข้อผิดพลาดบ้าง มันไม่ได้จะแบบ 100% ร้องเป๊ะหมดเลยแต่มันก็ดีครับ ความสำเร็จในจุดที่อยู่ มันก็ยังมีหลายจุดตรงที่เราก็ยังไม่ได้อยู่
ถ้าเราประสบความสำเร็จอันนึงมันก็จะมีเป้าหมายใหม่ที่เราจะทำไปเรื่อยๆ มันไม่ได้มีคำว่าประสบความสำเร็จแล้วจบแล้ว ชีวิตนี้แบบไม่ทำอะไรแล้ว มันแค่ผมรู้สึกว่าการที่ชีวิตเรามีเป้าหมายมีอะไรให้ active มันก็ทำให้ชีวิตเรารู้สึกว่ามีความหมายมากขึ้นเพราะฉะนั้นต่อให้ผมประสบความสำเร็จในอะไรอันนึง มันก็จะมีเป้าหมายอีกอันนึงให้เราได้สนุกไปต่อมันเหมือนเกมเป็นด่านไปเรื่อยๆ ครับ
การปั้นเซรามิก เป็นสิ่งที่ชีวิตนี้ยังไม่ได้ทำและอยากจะทำ คำตอบของเจฟเมื่อถูกถามถึงความฝันในสิ่งที่อยากทำ
“ปั้นเซรามิกครับ ยังไม่ได้มีเวลาไปปั้น แต่ว่าฝันไว้ว่าจะปั้นผมแค่ชอบรู้สึกว่าอยากปั้น มันไม่ได้เชิงความชอบ ผมแค่รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่อยากทำมานานมากแต่ผมยังไม่ได้ทำ ผมรู้สึกว่าผมชอบงานที่มันงาน craft งานที่มันปั้น เพราะว่าทุกๆ งานปั้นจะมีชิ้นเดียวบนโลก เพราะฉะนั้นผมก็อยากจะลองดูว่าผมจะปั้นออกมาแบบไหนเหมือนกัน”
ฝากผลงานให้แฟนคลับได้ติดตาม
“ฝากโปรเจกต์นะครับ #PlaywithMEAN แล้วก็เพลง ความเงียบคือคำตอบ แล้วก็ปล่อยเพลงใหม่ซิงเกิ้ลที่ 5 ซึ่งจะ coming soon ครับแล้วก็จะมีโปรเจกต์ที่ทำเพลงกับศิลปินเกาหลีด้วย แล้วก็มี คินน์พอร์ชเวิลด์ทัวร์ ก็ฝากนักแสดง 16 คนไว้ด้วยครับ แล้วก็ละครเวทีซึ่งก็ใกล้จะได้เล่นแล้วครับ”
ก่อนจากลากันด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นและคำขอบคุณ เจฟบอกว่ามีงานต้องไปต่อที่พัทยาครับ เป็นสิ่งทิ้งท้ายที่เขาบอกกับ FEED ก่อนต่างคนต่างไปทำหน้าที่ของตัวเอง



