Indy Mania By พอล เฮง คอลัมน์ที่จะพาย้อนกลับไปในช่วงการปะทุและระเบิดของเพลงไทยนอกกระแส ในช่วงทศวรรษที่ 90s
‘ค่ายเพลงขนาดเล็กอิสระที่ผุดขึ้นมาจำนวนเป็นร้อยค่าย ในห้วงเวลา 4 ปีเต็มของยุคอัลเทอร์เนทีฟร็อก ปี 2537-2541 ได้สะท้อนให้เห็นพลังที่ถูกกดทับอยู่ของคนดนตรีรุ่นใหม่และผู้อยากเข้ามาสู่ธุรกิจนี้ ในอุตสาหกรรมเพลงที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดของยุคช่วงเชื่อมต่อเทปคาสเส็ตต์และซีดี การจัดระเบียบและแบบแผนโดยคนฟังที่เป็นคนเจนเอ็กซ์ยุคปลาย ทำให้ภูมิทัศน์และวิสัยทัศน์ทางดนตรีของไทยสู่ย่างก้าวใหม่ และเป็นผลพวงสะท้อนภาพวงการเพลงในยุคสตรีมมิ่ง โซเชียลมีเดีย ในปัจจุบันด้วยเช่นกัน’
ปี 2537 การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีหรือโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ที่เข้ามาเปลี่ยนผ่านตลาดเพลงแบบเดิมอย่างสิ้นเชิง (Disrupt) เป็นช่วงเวลาที่ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่าง แกรมมี่ และ อาร์เอส แข่งขันกันอย่างดุเดือด มีนักร้องและคณะดนตรีพ็อปยอดนิยมและร็อกกระแสหลักมากมายเกิดขึ้น และสร้างผลงานที่โดดเด่นตามสูตรการตลาดที่ทำกันมาในการครอบครองตลาดเพลงไทยมากว่าทศวรรษ
การเริ่มต้นและมาถึงของแนวเพลงโมเดิร์นร็อก ซึ่งต่อมาเรียกว่าอัลเทอร์เนทีฟร็อก และเปลี่ยนไปสู่โหมดอินดี้ในช่วงกลางทศวรรษที่ 2540 ได้เข้ามาสร้างสีสันให้วงการเพลงไทย
การก่อตั้งค่ายเพลงใหม่ๆ จำนวนมาก ซึ่งมีส่วนช่วยกำหนดทิศทางและพัฒนาการของอุตสาหกรรมเพลงไทยให้เติบโตขึ้นอย่างมาก การเกิดขึ้นของค่ายเพลงใหม่ๆ จำนวนมากในช่วงปีดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นค่ายใหญ่ที่สร้างค่ายเพลงขนาดเล็กทำงานเป็นอิสระแตกแขนงออกมาเพื่อจับตลาดกลุ่มคนฟังเฉพาะทางมากขึ้นตามรสนิยมทางโสตที่เปลี่ยนไป และค่ายเพลงอิสระที่แท้จริง เป็นการเปิดพื้นที่ให้นักร้องและคณะดนตรีรุ่นใหม่ได้แสดงความสามารถ และสร้างสรรค์ผลงานในแนวเพลงที่หลากหลายมากขึ้น

การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เป็นนักฟังเพลงรุ่นใหม่ที่เติบโตขึ้นมาและมีกำลังซื้อตามสภาพเศรษฐกิจที่พุ่งทะยานของฟองสบู่ที่กำลังจะแตกในอีกไม่กี่ปีต่อมา พวกเขาวัยรุ่นและเริ่มต้นทำงานเริ่มมีความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น ส่งผลให้ค่ายเพลงต้องปรับตัวเพื่อผลิตเพลงที่ตรงตามความต้องการของตลาด และสร้างรูปแบบการนำเสนอที่น่าสนใจ ก่อให้เกิดการแข่งขันที่สูงขึ้นระหว่างค่ายเพลงใหม่ๆ และค่ายเพลงที่มีอยู่เดิมในตลาดเพลง ทำให้เกิดการพัฒนารูปแบบการผลิต การตลาด และการนำเสนอผลงานเพลงให้ทันสมัยและดึงดูดใจผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น
เมื่อมองภาพโดยรวมแล้ว ปี 2537 แม้จะมีค่ายเพลงขนาดกลางและเล็กที่มีอยู่เดิมเลิกกิจการไปอย่าง เอสพี ศุภมิตร, วีไอพี, โชว์บิซ, แอ็กซิส, สกายแทร็คส์ และแทร็คส์เอ็นเทอร์เทนเม้นท์ แต่ถือเป็นปีแห่งการปฏิรูปและเติบโตของวงการเพลงไทยอย่างแท้จริง เพราะยังมีค่ายเพลงเดิมที่ยังอยู่ในตลาด ไม่ว่าจะเป็น วอร์นเนอร์ มิวสิค (ควบรวมกิจการของค่ายเพลงดีเดย์+มูเซอร์), รถไฟดนตรี, โซนี่ มิวสิค, อาโป, ซาวด์ ออฟ สยาม, Roxx Records, พีจีเอ็ม, ท็อปไลน์ และ ไมล์สโตน
ส่วนค่ายเพลงที่เปิดซิงเกิดใหม่ในปี 2537 ที่พอประมวลมาได้คร่าวๆ หยาบๆ มีดังนี้
- มิวสิคเอ็กซ์เพรส
- ซิมโฟนี เรคคอร์ด
- เอสเอ็มฯ
- สโตนเอ็นเทอร์เทนเม้นท์
- กลิทซ์ (ในเครือแกรมมี่)
- ดีมาสเตอร์กรุ๊ป
- วิสาเอ็นเทอร์เทนเม้นท์ (อินเทอร์นอล+สมาร์ทบอมบ์)
- ปิรามิด เรคคอร์ด
- เบลเลซซ่า เรคคอร์ด
- เมกก้า มิวสิค
- เฟซ
- เพรสซิเดนท์
- เกคโค่ มิวสิค
- เอ็มสแควร์
- แคปชั่นพลัส
- เรคคอร์ด เอ็นเทอร์เทนเม้นท์
- สหสายมโหรี
- เบเกอรี่ มิวสิค
- สุจริตโปรโมชั่น
- อีไมเนอร์ (ในเครืออีเอ็มไอ)
- อินฟินิตี้กรุ๊ป
- บิลบอร์ด
- เคลฟเวอร์ (ในเครือชัวร์ออดิโอ)
- ซิสเต็มชาร์ต มิวสิค
- แปซิฟิก เรคคอร์ด
- เพอร์เฟคต์ เรคคอร์ด
- เอสอาร์ พับลิชชิ่ง
- นีโอเฮ้าส์
- บราเธอร์คอร์เปอเรชั่น
- อันเดอร์กราวด์ มิวสิค
- คาราวาน
- ต้นคิดมิวสิกฯ
- พรายอันเดอร์
- อาร์ติสท์วิลเลจ
- จุติภูติเรคคอร์ด
- โมไน
- ฯลฯ
ค่ายเพลงอิสระเหล่านี้แทบไม่มีการโปรโมทผ่านสื่อหลัก ซึ่งเป็นสื่อหนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุและโทรทัศน์ เป็นยุคบุกเบิกของดนตรีแนวอัลเทอร์เนทีฟร็อกในเมืองไทย ซึ่งแฟนเพลงติดตามข่าวและหาข้อมูลจากปากต่อปากที่ขยายความส่งถึงกันในชุมชนคนฟังเพลงคอเดียวกัน และข้อมูลจากร้านขายเทปต่างๆ ที่แนะนำผลงานเหล่านี้ที่มาฝากวางแผงขาย
นับได้ว่า ขวบปีนี้เป็นหนึ่งในช่วงยุคทองของวงการเพลงไทยที่เกิดขึ้นจากความต้องการของผู้บริโภคหรือคอเพลงรุ่นใหม่อย่างแท้จริง ซึ่งมีส่วนกำหนดทิศทางของรสนิยมทางโสตด้วยตัวของพวกเขาเอง ไม่ได้ถูกชี้นำจากสื่อที่กำหนดทิศทางผ่านค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ แต่คนฟังรุ่นใหม่และวัยรุ่นเหล่านี้ต่างค้นหาและตามติดคณะดนตรีเล็กๆ ที่ทำงานกันเอง เขียนเพลงและสร้างดนตรีเองตามรสนิยมที่เปลี่ยนไปจากวงการดนตรีโลก ซึ่งช่วยกำหนดการเริ่มต้นของแนวเพลงอัลเทอร์เนทีฟร็อกที่เข้ามาสร้างสีสันให้วงการเพลงไทย
กลุ่มคนเจนเอ็กซ์ คือกลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี 2508-2522 ที่เข้ามาทำให้ระบบนิเวศ (Ecosystem) ของอุตสาหกรรมดนตรีของไทยที่ขาดการสนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนาทักษะทั้งในด้านที่เกี่ยวข้องกับดนตรีโดยตรงและด้านการบริหารจัดการอื่นๆ ได้เปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่
หากว่าไปแล้วเมื่อสรุปความสำเร็จและการอยู่รอดของนักร้องและคณะดนตรีในยุคนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ 3 ประการได้แก่ ประการแรกคือความสามารถในการจัดการธุรกิจขนาดเล็กแบบทั้งหมดในหนึ่งเดียว (All in one) เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ก้าวข้ามผ่านอุปสรรคต่างๆ ให้เพลงเข้าถึงกลุ่มผู้ฟัง ประการที่สองการวางยุทธศาสตร์อย่างเป็นระบบเพื่อประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจและสร้างความแปลกใหม่ให้แก่ผู้ฟัง และประการสุดท้ายการใช้สื่อและเทคโนโลยีแบบบอกต่อเพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงผู้ฟังและการกีดกันจากค่ายใหญ่ ซึ่งการแข่งขันในธุรกิจเพลงที่ค่ายใหญ่ครอบครองสื่อประชาสัมพันธ์และต้องใช้เงินทุนสูงในการทำธุรกิจ ค่ายเพลงอิสระเล็กๆ จึงไม่ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจเพลง เพราะเงินทุนน้อยสายป่านสั้นต้องหมุนเงินตลอดเวลา
การเปลี่ยนแปลงของเพลงในบริบททางประวัติศาสตร์คือ เพลงมีความซับซ้อนในแง่มุมของการนำเสนอซึ่งเป็นได้มากกว่างานศิลปะแบบอย่างเดียว แต่คืองานพาณิชย์ศิลป์ ซึ่งต้องอาศัยกลไกทางการตลาดและเศรษฐกิจ รวมถึงการพลวัตทางสังคมและผู้คนร่วมด้วยกันในทุกบริบทของยุคสมัย
ความหมายของ พาณิชย์ศิลป์ (Commercial Art) คือ งานศิลปะที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ในด้านธุรกิจการค้าและการบริการโดยเฉพาะ มีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อส่งเสริมการขายสินค้า ดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค ต้องผสมผสานความรู้ด้านศิลปะ ความคิดสร้างสรรค์ และความเข้าใจในหลักการตลาดและการสื่อสารเข้าด้วยกัน เพื่อให้งานที่ออกมาบรรลุเป้าหมาย
เพราะฉะนั้น บทเพลงหรือดนตรีในความหมายของงานพาณิชย์ศิลป์ ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ของ ดนตรีเชิงพาณิชย์ หรือเป็นองค์ประกอบหนึ่งของงานศิลปะเชิงพาณิชย์ ที่เป็นส่วนของเสียง (Audio/Sound Art) ผ่านความหมายและบทบาทที่ไม่ใช่แค่การสร้างความบันเทิง แต่เป็นเครื่องมือสื่อสารที่มีประสิทธิภาพสูงในการกระตุ้นและโน้มน้าวพฤติกรรมคนฟัง ดนตรีเชิงพาณิชย์จะเน้นการสร้างสรรค์งานที่ตอบโจทย์ลูกค้าและเป้าหมายทางการตลาดเป็นหลัก ซึ่งต่างจากดนตรีวิจิตรศิลป์ (Fine Art Music) ที่เน้นการแสดงออกทางอารมณ์หรือแนวคิดของศิลปินเอง
ความเป็นอัลเทอร์เนทีฟในช่วงปลายยุคทศวรรษที่ 2530 หรือแม้แต่อินดี้ในยุคถัดมา เป็นการหาสมดุลหรือดุลยภาพในการรังสรรค์งานเพลงเชิงพาณิชย์ศิลป์ที่ถูกปฏิเสธในยุคการตลาดนำหน้า และต้องการนำเสนอผลงานที่แตกต่างออกไปจากค่ายเพลงใหญ่ พวกเขาจึงดำเนินธุรกิจด้วยตนเอง เป็นลักษณะของการต่อสู้กับค่ายใหญ่ในช่วงการแข่งขันในระบบอุตสาหกรรมเพลงไทยเปิดกว้างที่สุดตั้งแต่มีดนตรีสมัยใหม่เกิดขึ้นในเมืองไทย
ในขณะที่อุดมการณ์ของความต้องการสร้างความแตกต่างและขบถต่ออำนาจที่เหนือกว่าทั้งในเชิงของการเมือง เศรษกิจ สังคมวัฒนธรรม เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เสมอในการพัฒนาทางประวัติศาสตร์ นักร้องและคณะดนตรีสื่อสารอุดมการณ์ของตนเองโดยใช้เพลงเป็นเครื่องมือในการสื่อความทั้งในเชิงเนื้อหาและรูปแบบ ความมีอิสรภาพ การทำงานโดยไม่มีผู้ใดมากำหนด เป็นการทำงานตามความพึงพอใจของตนเองในห้วงเวลาปี 2537-2541 จึงงดงามอยู่เสมอในความทรงจำของผู้ฟังและอยู่เหนือกาลเวลาเมื่อรำลึกย้อนหลังกลับไป พลัง ความสด ความคิดสร้างสรรค์ ความขบถ ยังอบอวลอยู่เสมอมิเสื่อมคลาย