Indy Mania By พอล เฮง คอลัมน์ที่จะพาย้อนกลับไปในช่วงการปะทุและระเบิดของเพลงไทยนอกกระแส ในช่วงทศวรรษที่ 90s
‘การมาถึงของยุค Indy Mania องค์ประกอบหรือปัจจัยที่สำคัญ ซึ่งถูกมองข้ามและไม่ค่อยถูกพูดถึงนัก นั่นคือคอมูนิตี้หรือชุมชนของร้านเทปและนักฟังเพลง ที่กลายเป็นฐานให้กับนักร้องและคณะดนตรีใต้ดินและอินดี้นอกกระแส ได้ใช้เป็นสถานที่ของจุดเชื่อมโยงนำเสนอผลงานตั้งแต่ในยุคต้นตั้งไข่ที่ยังไม่มีชื่อเสียง ร้านเทปหลายร้านกลายเป็นตำนานของศูนย์กลางจำหน่ายและโปรโมทผลงานของนักร้องและคณะดนตรีเหล่านี้ไปสู่สาธารณชน ในยุคที่สื่อต่างๆ ล้วนมีราคาแพงที่ไม่สามารถไปใช้บริการได้’
เทปใต้ดิน หรือเทปเพลงอินดี้ มักจะถูกผลิตและจัดจำหน่ายในจำนวนจำกัด ทำให้การค้นหาซื้ออาจแตกต่างจากเทปเพลงกระแสหลักทั่วไป
มุมมองของมนุษย์ยุคอนาล็อก แหล่งขายเทป ซีดี แผ่นเสียง เป็นเหมือนพื้นที่สร้างสรรค์วัฒนธรรมดนตรีที่ผู้คนสามารถมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น พูดคุยเรื่องเพลง และเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ของร้านได้ รวมถึงการแสดงดนตรีเล็กๆ โปรโมทอัลบั้มและจำหน่ายบัตรคอนเสิร์ต

ในยุคทศวรรษที่ 2530 ร้านเทปในย่านชุมชนนักศึกษา ไม่ว่าจะเป็น ท่าพระจันทร์ สามย่าน สยามสแควร์ ถือเป็นจุดนัดพบสำหรับการหาซื้อเทปใต้ดินและอัลบั้มนอกกระแสในยุคสมัยที่คำว่า อินดี้ ยังไม่เกิด ล้วนมีวางจำหน่ายที่นี่ ที่สำคัญสำหรับนักร้องหรือคณะดนตรีหน้าใหม่ที่อยากแจ้งเกิดต้องมาแนะนำตัวและโปรโมทอัลบั้มกันอย่างพลาดไม่ได้ มินิคอนเสิร์ต งานแจกลายเซ็น ที่จัดต่อเนื่องเป็นประจำแทบทุกสัปดาห์
ความถูกใจของบรรดาลูกค้าและคนรักเสียงเพลงทั้งสายกว้างยอดนิยมและสายลึกจริงจัง ใครอยากคุยเรื่องดนตรีก็มาแลกเปลี่ยนความเห็นกับเจ้าของร้านและบรรดาลูกจ้างขายเทปในร้านได้อย่างกันเองและถึงรสถึงชาติ พร้อมการแนะนำแนวดนตรีอัลบั้มดีของนักร้องและคณะดนตรีที่กลั่นกรองและคัดสรรมาแล้วว่าต้องกับรสนิยมการฟังเพลงของลูกค้าคนนั้น
การเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทางดนตรี มากกว่าร้านขายเทปหรือซีดี ในวันเวลาที่เมืองไทยเพิ่งผ่านยุคแผ่นเสียงได้ไม่นาน ในตอนต้นทศวรรษที่ 2520 ได้มีธุรกิจเกิดใหม่ นั่นคือร้านเทปที่ขายเทปคาสเซ็ตต์อัลบั้มต่างๆ ของนักร้องและคณะดนตรีของไทยและต่างประเทศ เดินคู่กันไปกับการเติบโตของอุตสาหกรรมเพลง โดยแรงเร้าที่สำคัญที่สุดก็คือ เครื่องเล่นเทปกลายเป็นเหมือนอุปกรณ์สามัญประจำบ้าน เพราะมีราคาที่ถูกลงมีคนใช้ในวงกว้าง ความต้องการฟังเพลงจึงทบทวีเป็นหลายเท่าตัวจากอดีต

ร้านเทปในยุค 2-3 ทศวรรษที่แล้วมีความสำคัญต่อคณะดนตรีใหม่ๆ อย่างไร? ปากคำของ “ต้า-พาราด็อกซ์ อิทธิพงศ์ กฤดากร ณ อยุธยา” นักร้องนำ กีตาร์ และคนเขียนเพลงของคณะดนตรีพาราด็อกซ์ (Paradox) คณะดนตรีแนวอัลเทอร์เนทีฟร็อก คอลเลจซาวด์จากรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เขียนรำลึกความหลัง โพสต์ลงในเฟซบุ๊กเพจ Tatastudio ในหัวข้อ วิธีดูเทป ‘แมลงวันสเปน’ (แท้)
พาราด็อกซ์ ก่อตั้งในปี 2537 และได้เข้าไปอยู่ในสังกัดอีสเทอร์น สกาย เร็คคอร์ดส ซึ่งเป็นค่ายเพลงเล็กๆ หนึ่งในค่ายเพลงบุกเบิกในยุคเริ่มต้น Indy Mania พวกเขาก็ได้โอกาสออกอัลบั้มแรก ‘Lunatic Planet’ ในปี 2539 ซึ่งทำให้พาราด็อกซ์เป็นที่รู้จักกัน ผ่านการแสดงสดที่หลุดโลกผสมตลกผ่านโจ๊กเกอร์-ว้ากเกอร์ ที่ทำหน้าที่แร็ปพ่นพล่ามและประสานเสียงไปด้วย แต่บทเพลงก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้างและจดจำมากนัก มีแต่คนฟังเพลงสายลึกยุคนั้นที่รู้จักเพลงอย่าง ‘นักมายากล’, ‘ไก่’ และ ‘โรตีที่รัก’
อย่างที่รู้กันยุค Indy Mania กินเวลาช่วงสั้นๆ 3-4 ปีเท่านั้น เมื่อค่ายเพลงอีสเทอร์น สกาย ปิดตัวลง คณะพาราด็อกซ์ จึงหวนกลับมาใช้เส้นทางทำเทปใต้ดินทำเองขายเองออกจำหน่ายในช่วง 4 ปีที่ไร้สังกัด อัลบั้มเหล่านั้นประกอบด้วย ‘แมลงวันสเปน’ ปี 2540 ตามด้วย ‘Paradox And My Friends’ ในปี 2541 และปี 2543 ‘แค้นผีนรก’
เมื่อเวลาผ่านไปเกือบ 30 ปี พาราด็อกซ์กลายเป็นคณะดนตรีอัลเทอร์เนทีฟร็อกระดับตำนานที่รวมตัวกันได้มาจนถึงทุกวันนี้และออกอัลบั้มใหม่มาอย่างต่อเนื่องตามระยะเวลาที่เหมาะสม แต่อัลบั้มที่เคยออกวางขายเป็นเทปใต้ดินในอดีต กลายเป็นตำนานสำหรับนักสะสมเทปคาสเซ็ตต์ ถ้าเป็นแฟนพันธุ์แท้ของการสะสมเทปใต้ดิน หนึ่งในอัลบั้มที่มีมูลค่าสูงมากๆ คงหนีไม่พ้นเทปอัลบั้ม ‘แมลงวันสเปน’ ของคณะพาราด็อกซ์ซึ่งเป็นที่ตามหากัน และมีของปลอมออกมาด้วย
ต้า พาราด็อกซ์ ได้เขียนย้อนถึงความทรงจำในช่วงทำเทปใต้ดินอัลบั้มชุดนี้ และวิธีสังเกตของปลอมในเพจ Tatastudio ว่าจากหลายปัจจัย ซึ่งตัวเขาเองก็ยังไม่ทราบที่มา เทปใต้ดินชุด ‘แมลงวันสเปน’ ว่าเป็นที่ต้องตาต้องใจของนักเล่นที่หาสะสมและนิยมกันมานานแล้ว ราคาก็ค่อนข้างสูงมาก ซึ่งตัวของต้าเองได้เห็นซื้อขายกันกับตา สภาพใช้แล้วน่าจะอยู่ที่ราวๆ 3,000 – 4,000 บาท ถ้าตัวเทปอยู่ในห่อซีลยังไม่ได้แกะราคาจะกระโดดไปได้อีกไกล
ต้า พาราด็อกซ์ ได้ย้อนทวนนึกถึงอดีตที่มีความทรงจำเกี่ยวกับเทปอัลบั้มนี้ว่า ได้เงินมาก้อนหนึ่งจากการออกอัลบั้มแรก ‘Lunatic Planet’ เป็นเงินก้อนใหญ่ เลยนำมาซื้อคอมพิวเตอร์เพื่อใช้อัดเพลงเองที่บ้าน หลังจากที่ค่ายได้ปิดตัวไป คณะพาราด็อกซ์ก็มานั่งอัดเสียงเล่นกัน ความฝันตอนนั้นมีเพียงแค่ทำเทปขายกันเอง เป็นความสนุกสนานยามปิดเทอม สมัยนั้นทำอัลบั้มที่ห้องนอนตัวเอง โดยมี “สอง พาราด็อกซ์” มานอนเล่นเป็นเพื่อนแทบทุกวัน ก็นั่งแต่งเพลงสนุกสนานกันไป
ที่มาของเทปใต้ดินชุดนี้ เมื่อจบปลายเทอมของปี 4 คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ จะมีงานโปรเจ็กต์ส่งอาจารย์ ซึ่งตอนนั้น สอง พาราด็อกซ์ มีไอเดียอยากทำโปรเจ็กต์เป็นเรื่องการจัดคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบครบวงจร มีทั้งออกแบบเวที ออกแบบโปสเตอร์ เสื้อที่ระลึก ของเล็กน้อยอีกยิบย่อยที่เกี่ยวกับดนตรี และหนึ่งในความคิดที่ สอง พาราด็อกซ์ อยากจะทำ คือทำอัลบั้มเพื่อขายในงานคอนเสิร์ต ซึ่งในสมัยนั้นยังเป็นเทปคาสเซ็ตต์ อัลบั้ม ‘แมลงวันสเปน’ จึงเกิดขึ้นด้วยทุนทรัพย์ส่วนตัวของ สอง พาราด็อกซ์ล้วนๆ
‘แมลงวันสเปน’ มาจากไอเดียว่าจะนำเพลงในคอมพิวเตอร์ที่มีทั้งหมดเอามาออกอัลบั้ม แล้วนำไปปั๊มเทปกันที่โรงงานพีค็อค (Peacock) โรงงานผลิตเทปในตำนานของเมืองไทยที่ตั้งอยู่แถวจังหวัดนครปฐม ปั๊มอัลบั้มมาได้ 2,000 ตลับ ส่วนหนึ่งส่งงานอาจารย์ ที่เหลือก็เอาไปขายกันเองเล่นๆ สนุกๆ มีฝากขายร้านหลักๆ คือ ตี๋จุฬาฯ, โดเรมีสยาม และดีเจสยาม ซึ่งในสมัยนั้นเขารับฝากพวกเทปใต้ดิน อินดี้ ทำเองขายเอง เพราะมีคนซื้อ ซื้อง่าย ขายคล่อง
เรื่องเล่าของการทำเทปใต้ดินในยุค Indy Mania ของ ต้า พาราด็อกซ์ ทำให้เห็นภาพความสำคัญที่เป็นข้อกลางเชื่อมต่อห่วงโซ่อุปสงค์อุปทานของตัวนักร้องหรือคณะดนตรีกับค่ายเพลงที่ส่งต่อไปยังคนฟังเพลง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าร้านขายเทปในยุคนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อคณะดนตรีหน้าใหม่เล็กๆ ที่มีแต่หัวใจในการทำเพลง และมีทุนทรัพย์น้อย ไม่มีต้นสังกัดหรือค่ายเพลงรองรับ

ห้วงอดีตที่ผ่านมา ในยุคทศวรรษที่ 2520-2550 ร้านขายเทปเพลงในเมืองไทย จึงเป็นมากกว่าแค่สถานที่ซื้อขายสินค้า แต่ยังเป็นศูนย์รวมและเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยสร้างและหล่อเลี้ยงชุมชนคนรักดนตรีและเสียงเพลงไปในตัวตามยุคสมัยได้อย่างน่าสนใจ
ว่าไปแล้ว ตั้งแต่ตลาดเพลงขยายตัวในวงกว้างจนเป็นวิถีชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ปกติธรรมดา ราคาเทปคาสเส็ตต์อัลบั้มต่างๆ ของนักร้องหรือคณะดนตรีสามารถหาซื้อได้สะดวกและราคาเป็นมิตรกับเงินกระเป๋า ทำให้ร้านเทปเกิดขึ้นมากมาย กลายเป็นเป็นพื้นที่ซื้อเทปในอัลบั้มที่ชอบและแลกเปลี่ยนและแบ่งปันกัน
แน่นอน ร้านเทปกลายเป็นจุดนัดพบสำหรับคอเพลง ทุกคนสามารถเดินเข้ามาเพื่อพูดคุยสอบถามถึงอัลบั้มใหม่ๆ หรือแนวเพลงที่กำลังมาแรง เจ้าของร้านหรือลูกจ้างประจำร้าน ซึ่งมักจะเป็นผู้ที่มีความรู้ด้านเพลงอย่างลึกซึ้งก็พร้อมที่จะให้คำแนะนำและแนะนำเทรนด์ของเพลงใหม่ๆ ให้ลูกค้าได้รู้จัก ซึ่งการพูดคุยเหล่านี้สร้างบรรยากาศที่เป็นกันเองและนำไปสู่การแลกเปลี่ยนความรู้ความชอบซึ่งกันและกัน
เมื่อเข้าไปในร้านเทปย่อมมีเสียงเพลงของอัลบั้มยอดนิยมหรืออัลบั้มใหม่ที่เพิ่งออกมา เปิดคลอเบาๆ อยู่เสมอ การได้ยินเพลงโปรดหรือเพลงใหม่ที่ถูกใจขณะกำลังเลือกซื้อสินค้าได้สร้างความรู้สึกร่วม และกระตุ้นให้เกิดการพูดคุยกับคนข้างๆ ที่อาจจะกำลังสนใจเทปม้วนเดียวกัน
บรรยากาศแบบนี้ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่มีรสนิยมคล้ายกัน กลายเป็นแหล่งรวมตัวของแฟนเพลงโดยเฉพาะ แลกเปลี่ยนความเห็น หรือแม้แต่นัดไปดูคอนเสิร์ตด้วยกัน ซึ่งช่วยสร้างมิตรภาพและเครือข่ายที่แน่นแฟ้น
สิ่งสำคัญที่สุด ซึ่งเป็นคุณูปการต่อวงการเพลง ร้านเทปได้กลายจุดเริ่มต้นของนักดนตรีอินดี้นอกกระแสและใต้ดิน รวมถึงค่ายเพลงเล็กๆ ไม่เว้นแต่ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่กระแสหลักก็ตาม เพราะในยุค 2-3 ทศวรรษของความรุ่งเรืองในยุคเทปคาสเส็ตต์ ร้านเทปไม่ได้เป็นแค่แหล่งซื้ออัลบั้มเพลงมาฟังเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีเล็กๆ ให้นักดนตรีหน้าใหม่ได้นำผลงานของตัวเองมาฝากขาย หรือแม้กระทั่งมาเล่นดนตรีโชว์แบบหอมปากหอมคอเพื่อโปรโมทอัลบั้มของพวกเขาเอง แฟนเพลงที่มาชมได้พูดคุยกับเจ้าของร้านหรือลูกค้าคนอื่นๆ ในร้านอาจนำไปสู่การร่วมงานกันหรือการจัดคอนเสิร์ตเล็กๆ ในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งช่วยผลักดันให้เกิดนักร้องและคณะดนตรีหน้าใหม่ๆ ขึ้นมาในวงการ
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมดทั้งสิ้น ร้านขายเทปจึงเป็นเหมือนแหล่งซื้อสินค้า ผ่อนคลาย และพักพิงใจของคนรักดนตรี เป็นสถานที่ที่ผู้คนได้มาแบ่งปันความหลงใหลและสร้างสัมพันธ์อันดีต่อกันจนกลายเป็นชุมชนเสียงเพลงที่แข็งแกร่งและยั่งยืน แม้ว่าในยุคนี้จะเหลือแต่ความทรงจำ เมื่อมองกลับไปในอดีตระบบนิเวศหรืออีโคซิสเท็มของวงการเพลง คุณค่าของร้านเทปในฐานะผู้สร้างชุมชนทางเสียงเพลงก็ยังคงแจ่มชัดเจิดจรัสอยู่เสมอ