Indy Mania By พอล เฮง คอลัมน์ที่จะพาย้อนกลับไปในช่วงการปะทุและระเบิดของเพลงไทยนอกกระแส ในช่วงทศวรรษที่ 90s
‘การต่อสู้ภายใต้ข้อจำกัดในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของอุตสาหกรรมเพลงไทย ธุรกิจเพลงสามารถนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ สู่ความเป็นบริษัทมหาชน ช่วงปลายยุคทศวรรษที่ 2520 ถึงกลางทศวรรษที่ 2530 ก่อนเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 จึงเป็นแรงเหวี่ยงที่น่าตะลึงพรึงเพริดของคนดนตรีใต้ดินที่พยายามต่อสู้เพื่อพื้นที่ในการได้แสดงออกทางดนตรีและบทเพลงเชิงศิลปะและอุดมการณ์ การบ่มเพาะบุกเบิกแผ้วทางจากจุดนี้ทำให้วงการเพลงนอกกระแสและใต้ดินขยายตัวออกไปมากมาย เพลงชีวิตใต้ดิน บทกวีในเสียงเพลงสกุลโรมานซ์ คือหนึ่งในปรากฏการณ์ของเวลานั้น’
ในหลายขวบปีของการแปรเปลี่ยนและเปิดกว้างในการฟังเพลงของคอเพลงคนไทย งานเพลงที่เป็นต้นแบบต่างๆ ในยุค Indy Mania นั้น มีความหลากหลายของแนวคิดและดนตรีจากผู้มาก่อนเป็นสารตั้งต้นอยู่ใช่น้อย
วันเวลาของความงดงามในเชิงบทกวีโรแมนติกที่ผูกขึ้นมาเป็นบทเพลง ‘มาชารี บทกวีในเสียงเพลง’ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการปลูกฝังพันธุกรรมเพลงชีวิตโรแมนติกใต้ดิน ไปสู่นิสิตนักศึกษาที่ทำงานในสายพัฒนาสังคมและทรัพยากรมนุษย์ ผ่านค่ายอาสาพัฒนาชนบทในสถาบันการศึกษาต่างๆ หรือรั้วมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ
จิตสำนึกเพื่อสังคมและผู้คน ความอ่อนหวานฝันถึงความดีงามผ่านบทเพลงกวี พรรณนาถึงความงามของธรรมชาติ ชีวิต ปรัชญา และผู้คน
‘มาชารี’ คือ พิบูลศักดิ์ ละครพล ซึ่งนับได้ว่า เป็นหนึ่งในพลังขับเคลื่อนซีนดนตรีหรือฉากทัศน์ของ ‘เพลงชีวิตใต้ดิน’ อย่างไม่ตั้งใจ ในฐานะนักเขียนสายโรแมนติกหวานละมุน กรุ่นกลิ่นอายของอุดมคติอันงดงาม
ในอิทธิพลของดนตรียุคแสวงหาในยุคทศวรรษที่ 1960 ของบุปผาชน ผ่านบทเพลงประท้วงและต่อต้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมกระแสหลัก ได้สร้างแรงบันดาลใจให้คนหนุ่มสาวที่เติบโตขึ้นมาในช่วงนั้นมากมาย
บทเพลงที่ถูกเรียกว่า บทกวีในเสียงเพลง ของ บ็อบ ดีแลน (Bob Dylan) กวี-นักเพลงประท้วงที่พาดนตรีโฟล์กของตัวเองขึ้นสู่ดนตรีสมัยนิยมในอเมริกา บทเพลงโฟล์กของเขามีเนื้อหาลึกซึ้งและสะท้อนสังคมอย่างคมคาย เช่น การต่อต้านสงครามและการเรียกร้องสิทธิมนุษยชน
อีกคนคือ ลีโอนาร์ด โคเฮน (Leonard Cohen) นักร้อง นักแต่งเพลง กวี และนักประพันธ์ชาวแคนาดา โคเฮนมีชื่อเสียงจากเนื้อเพลงที่มีความลึกซึ้งและไพเราะประดุจบทกวี ซึ่งมักจะสำรวจประเด็นต่างๆ เช่น ความรักและความสัมพันธ์ ความศรัทธาและความตาย ความเหงา และการไถ่บาป
อิทธิพลเหล่านี้ ปรากฏขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ในอัลบั้ม ‘มาชารี – บทกวีในเสียงเพลงชุดที่ 1’ ในปี 2533 แต่ก่อนหน้านั้น ตั้งแต่ปี 2529 มาชารีดนตรีกวีสัญจร ได้เดินทางไปสู่พื้นที่ต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อไปนำเสนอความคิดผ่านบทเพลงชีวิตโรแมนติกของพวกเขา ความเหงาร้าวราน โหยหารักแห่งยุคสมัย
มาชารี เป็นสัญลักษณ์ที่เป็นแรงบันดาลใจจากมายเชรี ซึ่งแปลว่า ‘ที่รักของฉัน’ ในห้วงเวลาที่พิบูลศักดิ์ที่เดิมเคยเป็นครู ได้มาสู่ชีวิตแสวงหาผ่านจิตวิญญาณของกวีและศิลปะในเมืองหลวง และทำงานในอีกสายทางหนึ่ง เขาตกตะกอนกับตัวเองลาออกจากบริษัทโฆษณา มาก่อตั้งสำนักพิมพ์ ‘สู่ฝัน’ ทำนิตยสารบทกวีรายเดือนที่ชื่อเดียวกันว่า ‘สู่ฝัน’ ซึ่งสร้างปรากฏการณ์ในวงการสื่อสิ่งพิมพ์มียอดขายหนังสือของสำนักพิมพ์ทั้งหมดสูงกว่า 20,000 เล่ม

โดยเฉพาะ ‘ขอความรักบ้างได้ไหม’ นวนิยายที่ขายดียอดนิยมในบรรดานักอ่านหนุ่มสาว และถูกนำมาแต่งเป็นบทเพลงเสนอสังกัดค่ายเพลงไนท์สปอตโปรดักชัน แต่ก็ตัดสินใจถอนตัวมาก่อน
‘ขอความรักบ้างได้ไหม’ จากนวนิยายกลายเป็นบทเพลง บทกวี เป็นความฝันวัยเยาว์ของพิบูลศักดิ์ โดยที่เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า ทำเพลงด้วยหัวใจโดยไม่มีพื้นฐานทางดนตรี อ่านตัวโน้ตไม่ได้ หลายปีต่อมานวนิยาย ‘ขอความรักบ้างได้ไหม’ ก็กลายเป็นภาพยนต์ที่โด่งดัง
เมื่อมาสืบค้นถึงวัฒนธรรมกระแสหลักสายนิสิตนักศึกษา ก่อนที่ มาชารี หรือพิบูลย์ศักดิ์ ละครพล จะคลี่คลายให้ฟื้นคืนชีพกลายเป็นบทกวีในเสียงเพลงในสายเพลงชีวิตโรมานซ์ใต้ดิน
ช่วงต้นยุคทศวรรษที่ 2520 ปรากฏการณ์ของเทรนด์วัยรุ่นของไทยนั้น ผูกอยู่กับผลงานชุด ‘นิยายรักนักศึกษา’ รวมเรื่องราวเกี่ยวกับความรักของเด็กวัยรุ่นวัยเรียนที่มีฉากหลังเป็นบรรยากาศในสถาบันการศึกษาตามหาวิทยาลัยต่างๆ นิยายชุดนี้มีสำนวนการเขียนที่แปลก เดินเรื่องรวดเร็ว กระชับ โดยมีจุดเด่นอยู่ตรงบทสนทนาแบบต่อปากต่อคำของตัวละครหนุ่มสาวที่มีลูกเล่นแพรวพราวในการแซว จีบ จิกกัด หรือบทจะซึ้งก็ทำให้คนอ่านต้องแอบอมยิ้มตามไปด้วย
สำหรับนิยายรักนักศึกษา โดย ศุภักษร เป็นนวนิยายรวมเรื่องสั้นแนวชีวิตวัยรุ่นในมหาวิทยาลัยที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในช่วงปลายปี 2520 มีทั้งหมด 22 เล่ม หรือประมาณ 220 เรื่อง และได้สร้างชื่อเสียงให้กับผู้เขียนเป็นอย่างมาก ถือเป็นการเปิดโลกแห่งเสรีภาพในรั้วมหาวิทยาลัยและความฝันสีหวานให้กับผู้อ่านวัยรุ่นหนุ่มสาวในยุคนั้น
ศุภักษร เป็นนามปากกาของ ศุภวัฒน์ จงศิริ คนจังหวัดนครศรีธรรมราช จบการศึกษาจากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขณะที่เป็นนิสิตอยู่นั้นเขาก็เริ่มมีผลงานเขียนกลอนเปล่า บทละครวิทยุ และบทละครโทรทัศน์ เมื่อเรียนจบจึงเข้าทำงานในบริษัทโฆษณา ก่อนจะก้าวเข้าสู่โลกหนังสืออย่างเต็มตัว ด้วยผลงานสร้างชื่อ นิยายรักนักศึกษา ลงตีพิมพ์ในนิตยสารสาวสยาม ซึ่งต่อมาก็ได้รับการรวมเล่มครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์บงกช เมื่อปี 2520 และได้สร้างปรากฏการณ์ขายดี ทำให้เขาต้องเขียนงานชุดนี้ต่อเนื่องตามมาอีกหลายปี
ด้วยความโด่งดังของ ‘นิยายรักนักศึกษา’ นี่เองที่ทำให้เขาถูกชักชวนเข้าสู่วงการภาพยนตร์ และผลงานการกำกับเรื่องแรกของเขาคือ ‘รักทะเล้น’ ก็ได้สร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการหนังไทยยุคนั้นเป็นอย่างมาก อีกทั้งรายได้ของหนังที่ทำเงินติดอันดับ ก็ทำให้ในที่สุด เขาต้องทิ้งงานเขียนเพื่อไปเป็นคนทำหนังอย่างจริงจัง ซึ่งนั่นเท่ากับเป็นการปิดฉากนิยายรักนักศึกษาไปโดยปริยาย
ระหว่างนั้นสำนักพิมพ์บงกชเองก็ได้ออกนิตยสารชื่อเดียวกับสำนักพิมพ์ โดยมอบให้ ‘ศุภักษร’ เป็นบรรณาธิการ เพราะฉะนั้นอาจจะประมวลได้ว่า ‘บงกช’ เป็นนิตยสารวัยรุ่นเล่มแรกของประเทศไทยในยุคสมัยใหม่ ศุภักษร กลายเป็นผู้กำกับภาพยนตร์วัยรุ่นยุคทศวรรษที่ 2520 ของไทย มีผลงานภาพยนตร์ที่โด่งดัง อาทิเช่น ‘วันวานยังหวานอยู่’, ‘วันนี้ยังมีเธอ’, ‘สยามสแควร์’, ‘หยุดหัวใจไว้ที่รัก’ รวมภาพยนตร์ที่ศุภักษรสร้าง 21 เรื่อง เขาก็หยุดงานด้านนี้ เนื่องจากกระแสของภาพยนตร์ถูกดิสรัปหรือเปลี่ยนยุคสู่วิดีโอ เขาหันไปเป็นผู้จัดการฝ่ายการผลิตและครีเอทีฟให้บริษัท นิธิทัศน์ จำกัด ซึ่งเป็นค่ายเพลงที่มีอิทธิพลมากในยุคนั้น และยังสร้างผลงานละครโทรทัศน์ออกสู่สายตาผู้ชมอีกกว่า 20 เรื่อง
เพราะฉะนั้น หลังพ้นยุคศุภักษร จากกระแสที่ร่วงโรยของความสนุกแบบสายลมแสงแดดกระแสหลักของเหล่านิสิตนักศึกษา การแทรกเข้ามาสู่แวดวงของการอ่านการเขียนผ่านบทกวีในเสียงเพลงของพิบูลย์ศักดิ์ ละครพล จึงเป็นวัฒนธรรมย่อยที่ยังหลงเหลือของวัยรุ่นรั้วมหาวิทยาลัยที่แตกต่างจากกระแสหลักแบบศุภักษรแต่เน้นนำจิตวิญญาณในโหมดเพื่อชีวิตที่กำลังมาแรงและเติบโตขึ้นในยุคกลางทศวรรษที่ 2520

ฐานสำคัญของ ‘เพลงชีวิตโรมานซ์ใต้ดิน’ ความใฝ่ฝันแสนงามเชิงอุดมคติของคนหนุ่มสาว ได้ตอกหมุดปักหลักสานต่อในเชิงความคิดและศรัทธาของบรรดาชมรมค่ายอาสาพัฒนาชนบทในรั้วสถาบันการศึกษาต่างๆ ได้ช่วยต่อลมหายใจบทเพลงสกุลนี้ให้ยังดำรงอยู่ถึงปัจจุบัน
บรรยากาศและอุดมการณ์ของการพัฒนาชนบท ผ่านเสียงขับขานบทเพลงภายใต้บรรยากาศรอบกองไฟยามค่ำคืน บทเพลงค่ายฯ ก็เป็นเครื่องมือหนึ่งในการอธิบายประวัติศาสตร์สังคม การเมือง และวัฒนธรรมได้ง่ายแต่ลึกซึ้ง ‘เพลงชีวิตโรมานซ์’ ใต้ดินก็คือหนึ่งในพลังขับเคลื่อนตรงนั้น และพุ่งทะลุสูงในช่วงเวลารุ่งเรืองที่สุดของบทเพลงเพื่อชีวิตที่ขึ้นสู่กระแสหลักของตลาดเพลงในยุคทศวรรษที่ 2520 เป็นต้นมา หรือหลังเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ที่พลังของนิสิตนักศึกษามีพลังขับเคลื่อนลงสู่สังคมเป็นอย่างสูง
เพลงเพื่อชีวิตได้รับความนิยมนำมาร้องในค่ายอาสา โดยเฉพาะเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตในชนบท การต่อสู้ หรือการปลูกฝังความหวัง ต่อมาเมื่อเพลงเพื่อชีวิตกลายเป็นงานพาณิชย์ศิลป์โดยสมบูรณ์แบบ บรรดานิสิตนักศึกษา รวมไปถึงองค์กรเอกชนเพื่อสาธารณประโยชน์ หรือเอ็นจีโอ (NGOs – Non Governmental Organizations) ต่างรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่พอสมควรในการที่จะนำเพลงซึ่งอิงการตลาดแบบเต็มที่ของทุนนิยมมาใช้ร้องเพื่องสังสรรค์และนันทนาการในการทำกิจกรรมของค่าย ทางออกของพวกเขาก็คือ บรรดาเพลงชีวิตใต้ดินสายโรแมนติก ซึ่งมีมาชารีเป็นหัวขบวน และมีนักร้องและคณะดนตรีที่ทำงานแนวนี้ในแบบใต้ดินตามอีกจำนวนหนึ่ง
เพลงชีวิตใต้ดินสายละมุนละไมเชิงกวีที่แทรกซึมโรแมนติกไซส์ให้วิถีของนิสิตนักศึกษาที่ทำกิจกรรมค่ายอาสาพัฒนาชนบทในชมรมเหล่านี้ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้สร้างชุมชนหรือคอมมูนิตีคนฟังเพลงแนวนี้จากรุ่นต่อรุ่นอย่างสม่ำเสมอและมั่นคง ส่งต่อไปเรื่อยๆ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติส่งทอดปีต่อปีจนถึงยุคปัจจุบัน และถือเป็นวัฒนธรรมย่อยของเพลงชีวิตใต้ดินกลุ่มเล็กๆ ที่เข้มแข็งมั่นคงมาถึงปัจจุบัน
สำหรับ มาชารี สมาชิกสมทบของมาชารี หรือพิบูลศักดิ์ ละครพล ที่มาช่วยเล่นดนตรีและร้องสนับสนุนคือ ชูเกียรติ ฉาไธสง และพยัต ภูวิชัย ทั้ง 2 คนนี้ก็สามารถต่อยอดฉากทัศน์ดนตรีของตัวเองในงานเดี่ยว ทั้งการมาร่วมบุกเบิกเพลงชีวิตโรแมนติกของชูเกียรติ และการร่วมขบวนแถวหน้าของยุคแรกอัลเทอร์เนทีฟร็อกเบ่งบานของพยัต ในช่วงเวลา Indy Mania