เปิดมุมมองคู่ซี้ครีเอเตอร์ช่องเทพลีลา “เหว่ง ภูศณัฎฐ์” และ “เติ๊ด ภูถิรพัฒน์” 10 ปี การทำงานที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับทุกการเปลี่ยนแปลง และการขับเคลื่อนที่เต็มไปด้วย Passion

เหว่ง: ช่วงนั้นอายุ 40 ช่วงแรกที่ทำ
เติ๊ด: พี่ตอนนี้อายุ 50 หรอ
เหว่ง: ใกล้ละ ก็ช่วงนั้นก็ช่วงแรกไม่มีคนดูนะ เต้นดีไปหน่อย ช่วงนี้เลยไม่เต้นละ
เติ๊ด: ขอโทษแทนพี่เหว่งด้วยครับ ก็เมื่อ 9 ปีที่แล้ว พอดีก่อนหน้านั้นเราทำ ๙ ศาสตราด้วยกันครับ ทำภาพยนตร์ ๙ ศาสตรา เสร็จแล้วก็แยกย้ายออกจากวงการครับ แล้วพอดีอาเหว่งก็
เหว่ง: ย้ายบ้านครับ มาอยู่หมู่บ้านเดียวกับเติ๊ดแบบบังเอิญ
เติ๊ด: หมู่บ้านเดียวกันไม่ใช่บ้านเดียวกัน
เหว่ง: หมู่บ้านเดียวกันไง ขัดตลอดเลย
เติ๊ด: ใช่ อาเหว่งก็ย้ายเข้ามาในหมู่บ้านเดียวกัน แล้วก็ตอนนั้นเห็นว่าออนไลน์มีเดียเป็นอาชีพได้นะ อาเหว่งเขาก็ทำมาแล้วด้วยกับภรรยาของเขาพี่ตุ๊ก เป็นเพจ Little Monster แล้วก็เลยมาชวน เพราะตอนนั้นมันเป็นเทรนครับ วิดีโอมันกำลังมาออนไลน์ แล้วอาเหว่งก็บอกเราทำด้วยกันไหม แล้วก็ชวนมาเปิดช่อง ชื่อเทพลีลา ก็เทพลีลาก็เป็นชื่อของที่พี่เหว่งเขาคิดมา ตอนนั้นเขารู้สึกว่าโคตรเฟี้ยวโคตรเท่ชื่อเทพลีลา (แต่โรงเรียนเทพลีลาไม่ใช่ของพี่) ไม่ใช่ๆ
เหว่ง: คนชอบเข้าใจผิด
เติ๊ด: ช่วงแรกๆ ตอนเปิดช่องตอนทำเทพลีลา
เหว่ง: พี่รุ่นไหนครับ
เติ๊ด: รุ่นไหนถามตลอด DM เข้ามาถามรุ่นไหนๆ
เหว่ง: โรงเรียนเดียวกันเลยครับพี่ ไม่กูเทพศิรินทร์
เติ๊ด: คนละโรงเรียนครับน้อง
เหว่ง: เป็นเด็กเทพศิรินทร์ที่มีลีลาเฉยๆ
เติ๊ด: ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของเทพลีลาครับ

ช่วงเวลาที่ทำให้คนรู้จักใช้เวลากี่ปี ?
เหว่ง: ประมาณครึ่งปีครับในเฟซบุ๊ก ส่วนยูทูปรู้จักจริงๆ เยอะหน่อย 2 ปี
เติ๊ด: ความจริงตอนช่วงแรกๆ ก็คือเราก็เต้นแหละ เต้นๆ ทำคลิปเต้นครับเทพลีลาคือลีลาการเต้น แล้วก็ไม่มีคนดูเลย
เหว่ง: เต้นก่อนไอดอลเกาหลีนะพวกเรา
เติ๊ด: ไอดอลเกาหลีเต้นก่อน อยู่ในช่วงเวลานึงที่ไม่มีคนดูเลย สุดท้ายก็เลยคุยกันครับ น่าจะประมาณตอนนั้นน่าจะเกือบครึ่งปีแหละ ทำมาเกือบครึ่งปี
เหว่ง: เต้นกันจนเข่าทรุด
เติ๊ด: เขาทรุดจนถึงวันนี้เลย ปัจจุบันนั่งๆ นอนๆ สะดุ้งตื่นมาปวดเข่า เพราะตอนนั้นสมัยนั้นเต้นเยอะ แล้วก็มีความอับอายอยู่ระดับนึงครับ แล้วก็เลยคุยกันว่าเดี๋ยวเราทำต่อสัก 3 เดือนไหม เปลี่ยนแนวทางให้อย่างน้อยเราไม่อายกับคลิปตัวเอง
เหว่ง: ไม่อายคน ไม่อายตัวเอง
เติ๊ด: ไม่อายคลิปตัวเอง ไม่อายผลงานตัวเอง ลองเปลี่ยนอีกสัก 3 เดือน ถ้า 3 เดือนนี้ไม่ติด ก็แยกย้ายไปทำหาอะไรอย่างอื่นทำ ปรากฎว่าเราก็เปลี่ยนทิศทางแล้วมันก็มา
คอนเทนต์แรกหลังจากเต้น ?
เติ๊ด: เป็นวันวาเลนไทน์ครับ แล้วเราก็คิดว่าอยากเอาดอกไม้ คอนเซ็ปต์คือเอาดอกไม้ไปแจกคนที่เขาวันวาเลนไทน์ เป็นวันที่มันไม่ได้สำคัญกับเขาอะครับ
เหว่ง: แล้วเขาก็มักจะไม่ค่อยได้หรอก
เติ๊ด: เขาเฉยๆ กับวันนี้ แต่เราอยากเอาดอกไม้ไปให้ แล้วก็ดูว่าเขาจะมีอาการดีใจอะไรยังไงบ้าง เราก็ไปให้พี่ๆ ที่เขากวาดถนนอยู่ พ่อค้าแม่ค้าที่เขาขายไก่ย่างอยู่อะไรแบบนี้
เหว่ง: แต่เราไม่ได้ซื้อดอกไม้ไปให้เขานะ
เติ๊ด: เราพับ
เหว่ง: ช่วงนั้นเราไม่มีตังค์ เราซื้อกระดาษโปสเตอร์สีแดงมาพับดอกไม้ให้เขา เป็นสิ่งที่ไม่มีมันจะไม่เหี่ยว มันจะไม่เน่าไป ทุกวันนี้พี่เขายังเก็บอยู่เลยอันนี้เดาๆ เพราะที่บ้านพี่ยังเก็บอยู่พี่ให้ตุ๊กด้วย แล้วมึงก็เอากลับไปให้ที่บ้านมึงด้วย
เติ๊ด: ไม่ต้องพูด
เหว่ง: พี่เอากลับไปให้ตุ๊กให้ลูกด้วยพี่จำได้ ครับ ทุกวันนี้ยังอยู่
เติ๊ด: ก็เอาดอกไม้ออกไปแจกตามข้างทางเลย พี่เหว่งไม่ได้ไปถ่ายด้วยวันนั้น พี่เหว่งไปเที่ยว ผมก็เลย
เหว่ง: แต่พี่เป็นคนพับดอกไม้ เหน็ดเหนื่อย พี่เติ้ดพับไม่เป็น
เติ๊ด: พอยอดมันเริ่มดีใช่ไหมครับ เราก็ไปดันยอดด้วยการไปติดต่อตามสื่อต่างๆ ว่าเรามีคลิปนี้นะ พยายามหาสื่อฟรีแหละให้ช่วยโปรโมทให้หน่อย ไปตามสื่อทั้งทีวี ทั้งบทความอะไรก็ตาม เขาก็เอาไปลงให้

หลังจากคลิปนั้นทำให้มองภาพชัดขึ้นไหม ?
เหว่ง: คิดว่าทรงเริ่มมาถูกทางแต่ไม่รู้ว่าจะไปแบบไหน
เติ๊ด: คือเรียกว่าอย่างน้อยคอนเทนต์นี้เป็นคอนเทนต์แรกที่รู้สึกไม่อายครับ อาจจะเพราะไม่เห็นหน้าด้วย
เหว่ง: ไม่อีกส่วนนึงคือมันเหมือนก็จุดประกายนะ 3 เดือนมาไม่ค่อยเกิดอะไร แล้วพออันนี้มันขึ้นมายอดมันพุ่งไป มันก็โอเคเริ่มฟีดแบ็กเริ่มดี คนกดตอนนั้นเป็นเพจก็คือคนกดไลก์เพจเริ่มเยอะ
เติ๊ด: ครับเฟซบุ๊ก (เลยวาเลนไทน์แล้วคอนเทนต์ที่สอง) ได้ใจครับต่อเลย เพราะว่าวาเลนไทน์มันเป็นการทดสอบสังคมในการเอาดอกไม้ไป แล้วเราก็ดูว่าดูรีแอคชั่นของเขาใช่ไหม
เหว่ง: เทปต่อมาพี่เติ๊ดแต่งตัวเป็นขอทานไปขอข้าว ไปขอข้าวกิน
เติ๊ด: ไม่ขอเงิน ก็ไปบอกตามร้านข้าว
เหว่ง: เสียงจะประมาณนี้ๆ เสียงประมาณไหนครับ ขอข้าวกินหน่อยได้ไหมครับ
เติ๊ด: ผมหิว ผมหิวครับ ผมหิวผมขอข้าวกินหน่อยได้ไหมครับ เพื่อดูว่าร้านอาหารต่างๆ เขาจะเอาข้าวให้เรากินไหม ซึ่งก็มีทั้งคนให้คนไม่ให้ ซึ่งคนไม่ให้ก็ไม่ได้ผิดอะไรนะครับ เพียงแต่ว่าเราอยากสื่อสาร อยากให้หลายๆ คนรู้ว่ามันมีร้านที่เขา
เหว่ง: เขาใจดี
เติ๊ด: เราแค่เดินไปขอข้าวกินเขาก็เอาให้เลยฟรีๆ โดยไม่คิดเงิน
เหว่ง: ถามพี่เติ๊ดว่าที่บ้านอยู่กันยังไง
เติ๊ด: ใช่ๆ น่ารักมากเลยคลิปนี้น่ารักมาก ไปขอเขาให้ของเราเสร็จเขาถามว่าที่บ้านมีใครอยู่บ้าง
เหว่ง: พี่คนนั้นเขาขายขนมจีนแถวสาย 2 ใช่ เราไปแถวสาย 2 เราไปใกล้ๆ
เติ๊ด: ก็คือคลิปนี้พอเราถ่ายเสร็จแล้ว เสร็จแล้วเราก็เฉลยเขาเขาก็เหมา
เหว่ง: เหมาที่เขาให้เรา เหมาเพิ่ม แล้วไปแจกคนอื่นอีกที พี่ว่ามันเป็นการทดสอบสังคมแบบได้ลองทำบางอย่างจริงๆ แล้วโปรดักชันถ้าเธอเห็นตกใจ
เติ๊ด: ใช้มือถือ
เหว่ง: ใช้มือถือเก่าๆ ซัมซุงมือสองถ่ายจากระยะ ถ่ายไกลๆ เพราะต้องแอบถ่าย พี่ก็แอบอยู่ในรถพี่แล้วพี่ก็กดซูมถ่าย ซูมขยายอย่างนี้ เครื่องเดียว ส่วนพี่เติ๊ดก็เดินขอทาน
เติ๊ด: สบาย อยู่ในรถ
เหว่ง: ไม่สบายนะ
เติ๊ด: เย็นผมอะออกไปออกไป
เหว่ง: ไม่ใช่ๆ คือลุคกูมันไม่ได้จริงๆ ลุค ถ้ากูออกไปก็ไปเป็นขอทานแก่ คือไม่ดูขอทานเด็ก
เติ๊ด: แล้วผมก็เครียดใช่ไหมครับอยู่ๆ เดินออกไปแล้วไปขอข้าว ผมก็เครียดว่ามันต้องทำยังไง
เหว่ง: กูเครียด ห่วงมึง
เติ๊ด: แล้วพี่เหว่งไล่ตลอดออกไป ไปเร็วๆ จะถ่ายแล้วไปเร็วๆ ไล่ให้ลงจากรถ
เหว่ง: ไม่ได้ไล่อย่าพูดอย่างนี้ไม่ดี ต้องแอบถ่ายตรงกระจกรถไม่ให้เขาเห็นหัวเรา
เติ๊ด: เขาไม่เห็นหรอกฟิล์มหนาขนาดนั้น พี่ถ่ายดีจริงๆ เธอลองเข้าไปดูสิพี่ถ่ายดีนะ (ตอนนั้นทีมงานมีกี่คน) มี 2 คน
เหว่ง: ทีมงานอะไรไม่มีทีมงาน ตังค์กินข้าวยังไม่มีเลยเธอ

10 ปี บนเส้นทางครีเอเตอร์ ?
เหว่ง: พี่ไม่ได้คิดว่าเราแข่งอะไรกับใคร พี่ว่าปัญหาคือแพลตฟอร์มที่เพิ่มขึ้นทำให้เราต้องขยายบางอย่างเพิ่มขึ้น จากลองฟอร์ม มาช็อตฟอร์ม จากแนวนอน มาแนวตั้ง แนวตั้งไปแนวนอน
เติร์ด: จริงๆ ต้องยอมรับว่า ณ ปัจจุบันเป็นช่วงที่โลกเปลี่ยนเร็วมากที่สุด แล้วเราก็ต้องปรับตัว จริงๆ ถ้าเกิดทำมารู้สึกช่วงนี้ต้องปรับตัวเยอะที่สุด อย่างก่อนหน้านี้ครับ เราแค่ทำคอนเทนต์ให้ดี แล้วเดี๋ยวลูกค้าก็จะพุ่งมาหาเราเอง แต่ว่าปัจจุบันมันไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว มันเริ่มมีแพลตฟอร์มมากขึ้น คนทำคอนเทนต์มากขึ้น แล้วมีทางเลือกมากขึ้น เพราะฉะนั้นแทนที่เราจะตั้งรับอย่างเดียวเราต้องออกไปเหมือนกัน เพื่อหาลูกค้า สร้างรายได้มากขึ้น เราต้องทำท่างัดท่ามากขึ้น
เหว่ง: ต้องทำให้มีคนดูเราอย่างสม่ำเสมอ
เติ๊ด: ด้วยอันนั้นก็ต้องคงที่
เหว่ง: เพราะฉะนั้นคำว่าแข่งกับอะไรไม่รู้แต่ว่าเราต้องทำของเราให้ดีสม่ำเสมอในทุกแพลตฟอร์ม สมมุติถ้าเธอดูในออนไลน์ เธอไม่ได้ดูคนเดียวตลอดหรือช่องเดียวตลอด ทั้งวันทั้งคืน ดูแต่อันนี้จะรอแต่คนนี้ลงไม่ใช่ เธอแค่ไถไปเรื่อยอันไหนมันติดตาหรือมันตรงกับความต้องการของเธอตามอัลกอริทึมเธอก็จะดูตรงนั้น จริงๆ เธอมีสิทธิลือกคนทำมีสิทธิเลือกทำ กลุ่มตลาดมันกว้างมันใหญ่ขึ้น พี่ก็เลยคิดว่าการเป็นคู่แข่งไม่ได้จริงในรูปแบบนั้น
เติ๊ด: การทำร่วมกันมากกว่าครับ ซึ่งพอทำมาสักพักจากเทพลีลาสู่ยกกำลัง ตอนแรกตอนเทพลีลาเราไม่รู้จักใครเลยในวงการเดียวกัน จนมาทำยกกำลังเราเริ่มเจอคนมากขึ้นจนมันกลายเป็นคอมมูนิตี้ แล้วเราไม่เคยมีมุมมองของการแข่งขันกันเลย เรามีแต่คุยกันว่าเราจะทำอะไรด้วยกันได้บ้าง
เหว่ง: ใช่ซัพพอร์ตกัน
เติ๊ด: ใช่ มีลูกค้าอันนี้เหมาะกับของมึงมากกว่าให้ไปเลย โยนไปเลย ใช่ครับ

ปัจจุบันทำคอนเทนต์ให้โดนใจลูกค้าหรือผู้บริโภค ?
เหว่ง: หลักๆ คือคนที่ดูเราเราเซิร์ฟคนกลุ่มนี้ เขามาดูเราเพราะเราเป็นแบบนี้ ถ้าลูกค้าวิ่งเข้ามาบอกจะเอาแบบเขาร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วเราไม่ใช่เราก็แคนเซิล มันต้องเบรนด์เราต้องเป็นคนที่เบรนด์แล้วระหว่างลูกค้า ตัวเรา และคนดู ถ้าปริมาณไหนมากจนเกินไปเราคิดว่ามันยัดเยียดเราเกินไป เราก็จำเป็นต้องแคนเซิล ลูกค้าไม่ได้ผิด แต่เราทำให้คนเขาต้องการให้คนที่ดูเราเหมือนลูกค้านะ ต้องการให้แฟนที่ดูช่องเราดูไม่ใช่หรอถึงจ้างเรา เขาจะเอามุมมองที่เขาคิดคนเดียว 100 เปอร์เซ็นต์มาใส่เราไม่ได้
เติ๊ด: แต่จริงๆ หลักๆ ถ้าเกิดว่าเป็นลูกค้าที่ดูเราอยู่แล้ว มันก็จะง่ายจะง่ายกว่า เพราะว่าเราก็จะหาตรงกลางเจอได้ง่ายใช่ไหมครับ แต่ถ้าเกิดว่าเป็นลูกค้าที่ไม่รู้จักเรามาก่อน แต่อาจจะได้การแนะนำให้มาใช้เซอร์วิสพวกเรา อาจจะต้องคุยกันเยอะนิดนึงแต่สุดท้ายถ้าเกิดสิ่งที่เขาต้องการดันเป็นสิ่งที่เราทำไม่ได้ เพราะถ้าเกิดเราทำเราก็จะทำร้ายตัวเราเองด้วย มันอาจจะต้องแยกย้ายครับ ส่วนใหญ่ก็คือต้องหาตรงกลางให้เจอ
เหว่ง: มีบ่อยนะครับ ในหลายๆ ครั้งเราก็ไม่ได้การันตีนะ ว่ามันจะสำเร็จตามที่เราคิด 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะออนไลน์มันกำหนดแบบนั้นเป๊ะๆ ไม่ได้หรอก แต่ว่าโดยส่วนมากเรามักจะมองถูกมากกว่าผิดในมุมมองของเรา
เติ๊ด: ความจริงมัน ความจริงมันยากเหมือนกันนะครับ เวลาสื่อสารกับลูกค้าไล่มาถึงที่เรา เพราะว่าความจริงแล้วถ้าเกิดเราทำไม่ดีน่าจะรู้สึกกันทุกคน มันผ่านมาเยอะเนอะ
เหว่ง: ใช่ๆ
เติ๊ด: บอกต่อกันมาเรื่อยๆ
เหว่ง: บางทีสารมันหายไป
เติ๊ด: มันเพี้ยน แล้วก็กลายเป็นปัญหาซึ่งหลายๆ ครั้ง ถ้าเราได้คุยตรงเอง มันก็จะสื่อสารกันตรงมากขึ้นครับ
ความรู้สึกเปลี่ยนไปไหมจากที่เมื่อก่อนเราเป็นฝ่ายวิ่งเข้าหาลูกค้า ?
เติ๊ด: กลับกันจริงนะ
เหว่ง: ตอนแรกไม่มีใคร เราพยายามเอาอาชีพไปให้เขา
เติ๊ด: ดูคลิปนี้หน่อยได้ไหมครับ ถ้าเกิดว่าชอบโปรโมทได้ ถ้าเกิดไม่ชอบก็ไม่เป็นไรครับแต่ก่อนจะเป็นอย่างนี้
เหว่ง: เดี๋ยวนี้มันจะเป็นอันนี้มากกว่าว่าเราเองด้วยสล็อตเวลาหรือเวลางาน เราก็ต้องกรองที่มันแมชท์กับช่องเราเหมือนกัน มันจะวิ่งมาทุกๆ ทางเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าทุกอย่างเราต้องรับทั้งหมด เพราะเราทำไม่ได้ด้วยเหตุผลของเวลา หรือว่าความไม่ตรงกันเราแค่ต้องกรอง แล้วพี่ก็อยากจะบอกหลายๆ คนที่มา ไม่ใช่ว่ามาลงที่ช่องเรา หรือมาออกรายการกับเราแล้วมันจะเวิร์คตลอดไป มันก็ไม่ได้เกี่ยวกัน
เติ๊ด: คือเวลาคนปัจจุบันคนติดต่อมาให้โปรโมทเยอะพอสมควรครับ แล้วก็ส่วนใหญ่ก็คือทำได้หมดแหละ เพราะเราก็รู้จักกันอยู่แล้วเป็นพี่เป็นน้องกันอยู่แล้วครับ แต่ว่าบางทีหลายๆ ครั้ง หลายครั้งจะมีเรื่องนักแสดงหน้าใหม่ หรือว่าศิลปินหน้าใหม่มาโปรโมท
เหว่ง: ก็อย่าว่าพวกเราถ้าเราไม่รู้จักเขาอย่างนี้ใช่ปะ จะพูดอย่างนี้ปะ ไม่ๆ เราจำใครไม่ค่อยได้เราเจอคนเยอะ ใช่ไหมแล้วเราก็จะถามคุยกับทุกคนเหล่านี้ อะถามแหม่มพี่ก็รู้จักแหม่มเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนใช่ปะ วันนี้เราคุยกันน้องก็จำได้ว่าวันนี้คุยกันนะ ผ่านไปสักพักนึงเราอาจจะเอ๊ะคุ้นๆ เพราะวันนี้เพิ่มอีก 5 พรุ่งนี้เพิ่มอีก 10 ปีนึงเพิ่มอีกสัก 3-4 พัน 2 ปี 8 พัน 3 ปี 2 หมื่น จำไม่ได้หรอกเธอ
เติ๊ด: ไม่มีพ้อยท์ไรเลยนอกจากจะบอกว่าจำไม่ได้
เหว่ง: อย่าโกรธนะครับถ้าเราเจอกันแล้ว บังเอิญว่าเราจำไม่ได้หลายครั้งก็จำไม่ได้
เติ๊ด: หลายครั้งจำไม่ได้จริงๆ บางทีถ่ายด้วยกันข้างๆ เลย แล้วไปเจอข้างนอกจำไม่ได้ จริงๆ มีหลายเคส
เหว่ง: พี่เล่าของพี่ก่อนก็ได้ไม่ต้องพูดชื่อ พี่เจอหลายครั้ง
เติ๊ด: เป็นนักร้องหรือยังไง
เหว่ง: เป็น AR เป็นผู้ช่วย มากับพวกอินฟลูเอนเซอร์หรือนักร้อง
เติ๊ด: เอาตัวศิลปินมาเลยเอาตัวศิลปินมาเลย แหมเอาทีมงานทีมงานเขาเข้าใจได้ จะจำได้ทุกคนเยอะ
เหว่ง: ไอเติ๊ดเคยพูดว่าอิ้งค์ วราภรณ์ อิ้งค์ขายซาลาเปาแล้ว
เติ๊ด: ไม่ๆ ผมท่องตลอดอิ้งค์ วรันธร ตอนก่อนถ่ายคำต้องห้าม
เหว่ง: แล้วล่าสุดโบกอมเป็นกอมโบ
เติ๊ด: อันนั้นพี่เดี๋ยวเห็นคลิปเลย ผมท่องตลอดเลยอิ้งค์ วรันธร อิ้งค์ วรันธร แล้วพี่เหว่งชอบเล่นมุขอิ้งค์ วราภรณ์ หรือเปล่าอย่างเนี่ยมันอัดใส่หัว พอเปิดคลิปและนี่คือคำต้องห้ามกับอิ้งค์ วราภรณ์ อย่างเนี่ย
เหว่ง: หมูแดง หมูเค็ม ไม่ๆ ก็ประมาณนี้คือถ้าเป็นศิลปินดารา เราไม่ค่อย พี่เอาจริงๆ พี่ไม่ค่อยดูอะไรเยอะ พี่ก็จะทำแต่งานใช่ไหม ช่องตัวเองบางครั้งยังไม่ดูเลยทำให้เราไม่ค่อยรู้จักแล้วโดนแซวบ่อยมาก แต่ถ้าเป็นน้องๆ ทีมงานที่มาด้วยกันเราคุยกับเขาเยอะ เพราะมาเราคุยหมดคุยทุกคนไม่แปลกที่เราจะลืม เพราะฉะนั้นก็แค่อย่าโกรธกันเลย
เติ๊ด: ชอบลืม แต่ว่าถ้าคนไม่ชอบไม่เคยเห็นหน้ากัน คนที่ไม่เคยเห็นหน้ากันก็ชอบทักเขาว่าหน้าคุ้นนะ
เหว่ง: คุ้นจริง รู้สึกคุ้นแต่ว่าแต่ไม่เคยเจอเขาเท่านั้นเอง
เติ๊ด: คุ้นๆ นะ เขาต้องบอกว่าไม่เคยเจอกันตลอด วันนี้ก็มีแล้วมีๆ
เหว่ง: เกิดบ่อย ไม่ได้แกล้งนะครับเรื่องจริงๆ

เป้าหมายสูงสุดของช่องเทพลีลา ?
เติ๊ด: ถ้าเอาของช่องเทพลีลาคือตอนนี้ทำหลายอย่าง แต่ว่าถ้าเอาของช่องเทพลีลาเองเลย ผมก่อนละกันเป้าหมายสูงสุด ผมอยากให้มันเป็นช่องที่มันไม่ได้พึ่งลูกค้าขนาดนั้น ผมอยากให้เป็นช่องที่เป็นพื้นที่ที่เราอยากทำอะไรก็ได้ สื่อที่เราอยากทำเราอยากพูดอะไรเราก็ใช้สื่อตรงนี้ แปลงจากความที่เป็นงานเพราะเราเริ่มเทพลีลาจากงานครับ เราอยากให้เทพลีลาจากงานกลายเป็น Passion ผมชอบทำพอดแคสต์ตอนนี้ผมก็อยากจะให้ช่องนี้กลายเป็น สมมุติทำพอดแคสต์ไปเลยไหมพูดสิ่งที่เราอยากพูด พี่เหว่งมีสิ่งที่อยากพูดเรื่องจิตวิทยาที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น ก็ทำในช่องนี้ไปเลยอะไรแบบนี้ นี่คือสิ่งที่เราอยากให้เป็นครับ เราเชื่อว่าคนที่เขาดูเราตั้งแต่ต้นเขาก็จะ เขาโตมากับเราเขาน่าจะอยากดูแบบนี้มากกว่า
เหว่ง: หรือไม่อยากดูก็ได้ ถ้าพูดง่ายๆ นะ แปลว่า ณ วันนั้นไม่ต้องการปริมาณคนที่ดูเราเยอะก็ได้ ถ้าเขาดูเรา 100 คน 200 คน แล้วมีประโยชน์ต่อเขาจริงๆ แล้วเราสื่อสารกันได้เหมือนเพื่อนน่าจะโอเคกว่าคนดูเราล้านคนแล้วไม่เข้าใจเรา อาจจะ toxic ใส่กันพี่ว่าถ้าถึงจุดนั้นไม่จำเป็นเลย
เติ๊ด: ผมว่าพอเราถอดเรื่องานออกไปได้แล้ว ถ้าเทพลีลาถอดเรื่องงาน ช่องเทพลีลาถ้ามันกลายเป็นช่องที่ passion ล้วน ความสำคัญของการยอดวิวสูงไม่สูงมันไม่จำเป็น แต่เราอยากทำแบบนั้น นี่คือเรื่องที่ฉันอยากจะพูด
เหว่ง: ซึ่งมันจะเกิดได้ต่อเมื่อเรามีระบบอื่นที่แข็งแรงแล้วด้วยการหาเงินเลี้ยงตัวเรา น้องๆ หรือครอบครัวแล้วเรียบร้อยก็กำลังทำอยู่ครับ
ความเปลี่ยนแปลงของวงการสื่อในมุมมอง ?
เติ๊ด: มันเปลี่ยนเร็วมากจริงๆ ครับ ผมว่าใครที่ทำสื่ออยู่ทั้ง Ai หรือใดๆ ใครที่ทำสื่ออยู่แล้วสิ่งใหม่ๆ เทคโนโลยีมันขึ้นมาแล้วมันเริ่ม disrupt เรา มันเริ่มทำให้รู้สึกว่าไอเทคโนโลยีมันเริ่มแย่งงานเรา ผมรู้สึกว่าแทนที่จะไปต่อต้านมันต้องอ้าแขนยอมรับมันได้แล้ว ฉันจะใช้มันยังไงนะเพื่อทำให้ศักยภาพสกิลความสมารถเรามันมากขึ้น แทนที่จะไปแบบไม่เอานี่คนใช้ไม่ดี ผมว่าโลกมันเปลี่ยนเร็วเลเวลที่เราต้องโอบรับมันแล้ว
เหว่ง: สุดท้ายมันต่อต้านยาก
เติ๊ด: ต่อต้านไม่ได้ มันก็เหมือนเทคโลยีที่เราใช้อยู่ปัจจุบัน ทุกครั้งที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามามันจะมีคนที่ถูก disrupt แล้วเขาจะต่อต้านกัน
เหว่ง: พี่เคยต่อต้านโทรศัพท์มือถือโมบายโฟนอยู่พักนึง พี่แบกโทรศัพท์บ้านไป (อันนี้จริงไหม) พูดเล่น
เติ๊ด: เวลาพูดเล่นอย่าทำหน้าซีเรียสยิ้มหน่อย
เหว่ง: อันนี้ไม่เท่หรอนึกว่าเท่ นั่นแหละพี่ว่าสื่อมันเปลี่ยนตลอด ถ้าเราไม่ปรับตัวเราจะยาก ใช่ครับ ออนไลน์เปลี่ยนตลอด ใช่ คลิปลองฟอร์ม ช็อตฟอร์ม แนวตั้ง เดี๋ยวกลับไปอีกแล้ว
เติ๊ด: ความจริงก่อนหน้านี้มันก็มีสมมุติช็อตฟอร์มโผล่มา เราก็จะเห็นคนที่ต่อต้านมัน Shorts ต้องทำคนทำสื่อต้องทำอะไรแบบยาวๆ มาใช้มือถือถ่ายมันก็เห็น แล้วมันก็เปลี่ยนเร็วเลเวลนี้ เราต้องปรับตัวให้ทันเท่านั้นครับ