กฤษดา สุโกศล แคลปป์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ น้อย วงพรู นักแสดงและนักร้องที่มีผลงานโดดเด่น ได้มาประทับรอยมือรอยเท้าเป็นดาวดวงที่ 206 ณ ลานดารา หอภาพยนตร์ พร้อมให้สัมภาษณ์เล่าถึงชีวิตส่วนตัว และเบื้องหลังการเล่นภาพยนตร์เรื่องต่างๆ
น้อย วงพรู ปัจจุบันอายุ 55 ปี เกิดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 1970 ลูกครึ่งไทย-อเมริกัน เป็นลูกชายคนเล็กของคุณกมลา สุโกศล นักร้องและประธานกรรมการบริหารกลุ่มโรงแรมและบริษัทในเครือสุโกศล และมิสเตอร์เทอร์เรนซ์ เอช แคลปป์ มีพี่น้อง 4 คน ได้แก่ มาริสา สุโกศล แคลปป์, ดารณี สุโกศล แคลปป์ และ สุกี้ กมล สุโกศล แคลปป์ ผู้ก่อตั้งค่ายเพลงเบเกอรี่ มิวสิค, ค่ายเลิฟอีส และวงพรู

น้อย เล่าว่าตัวเองเป็นคนโชคดีคนหนึ่ง ครอบครัวทำธุรกิจโรงแรมก็เลยไปเรียนด้านโรงแรมที่สหรัฐอเมริกา แต่ตัวเองเป็นคนชอบดูหนังมาก จึงเปลี่ยนมาเลือกเรียนวิชาเอกด้านมานุษยวิทยา และวิชาโทด้านการแสดงแทน เพื่อศึกษาวัฒนธรรมของคนทั่วโลกจากประวัติศาสตร์ และเริ่มสนใจหาวิธีปลดปล่อยอารมณ์จึงสนใจการแสดง เมื่อเรียนจบประมาณปี 1993 น้อยตัดสินใจใช้ชีวิตเป็นนักแสดงทั่วไปที่นิวยอร์ก กลางวันตระเวนไปคัดตัวแสดงละครเวทีควบคู่ไปกับการทำงานตามร้านอาหารเพื่อหารายได้ในช่วงกลางคืน ใช้เวลาประมาณ 3-4 ปี ได้แสดงบ้างแต่ก็ไม่เยอะ แม้จะไม่ได้ประสบความสำเร็จ แต่น้อยบอกว่ามันเป็นประสบการณ์ที่มหัศจรรย์มากที่ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสรวมตัวกับคนที่อยากทำมาหากินในฐานะนักแสดงและมีแพสชันเดียวกัน
ประมาณปี 1994 -1995 น้อยตัดสินใจกลับมาเริ่มต้นใหม่ที่เมืองไทย ประกอบกับช่วงนั้น สุกี้ กมล พี่ชาย ก็ได้เปิดค่ายเพลงเบเกอรี่มิวสิก จึงได้มีการพูดคุยกัน และน้อยเองก็อยากมาลองปลดปล่อยอารมณ์ในอีกรูปแบบหนึ่งคือการร้องเพลง
หนังเรื่องแรก คนกราบหมา

ปี 1996 หลังจากกลับมาจากสหรัฐอเมริกา น้อยได้ร่วมแสดงหนังคนกราบหมา เป็นเรื่องแรก ซึ่งเป็นผลงานหนังอิสระของ อิ๋ง สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ (หนังที่ถูกห้ามฉายในปี 1998 แต่ปัจจุบันผ่านการตรวจพิจารณาและออกฉายโรงทั่วไปครั้งแรกเมื่อปี 2024) เขาเล่าว่าการแสดงตอนนั้นเรียกว่าแสดงได้ห่วยมากก็ได้ แต่เป็นการมาช่วยกันได้ทำอะไรที่แปลกๆ จากนั้นก็ได้ทำงานเบื้องหลังกับเบเกอรี่มิวสิกให้กับวงโมเดิร์นด็อก โจอี้บอย โดยพักเรื่องการแสดงไว้ก่อน
จุดเริ่มต้นวงพรู PRU
ปี 2001 สุกี้ กมล พี่ชาย ก็ได้มาชวนทำวงดนตรี จึงได้ร่วมกับเพื่อนอีก 2 คน คือ ยอดเถา ยอดยิ่ง และคณิณญาณ จันทรสมา ฟอร์มวงดนตรีชื่อ พรู PRU โดยมี น้อยเป็นนักร้องนำ จากนั้นก็ได้เริ่มเขียนเพลง และโชว์บนเวทีด้วยลีลาการเต้นไม่ว่าจะเป็นแจ๊สหรือบัลเลต์ ทำให้การแสดงเป็นเอกลักษณ์และเป็นที่ชื่นชอบของแฟนเพลง
เมื่อประสบความสำเร็จในฐานะนักร้อง น้อยก็ยังคงคิดถึงการแสดง และคิดว่าน่าจะมีโอกาสได้แสดงหนังแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครมาชวนอย่างที่เขาคิด ทำให้นึกย้อนกลับไปสมัยเป็นนักแสดงที่นิวยอร์กว่าเราจะต้องส่งพอร์ต ประวัติการแสดงต่างๆ ให้กับผู้กำกับที่เราอยากแสดงด้วย เขาจึงเขียนผลงานแล้วส่งให้ผู้กำกับในเมืองไทย ทั้ง ต้อม เป็นเอก รัตนเรือง , วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง และเจ้ย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ซึ่งภายหลัง เจ้ย อภิชาติพงศ์ โทรติดต่อมาว่าให้มีส่วนร่วมในหนังเรื่องหัวใจทรนง หรือ The Adventure of Iron Pussy (หนังที่ได้ฉายในหลายเทศกาลทั่วโลก) ต่อมายังได้แสดงในหนังกระแสหลักเรื่องแรกคือ ทวารยังหวานอยู่ ในปี 2004 และได้ร้องเพลงประกอบหนังด้วย
หนังสร้างชื่อ13 เกมสยอง

ปี 2006 น้อย กลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมากขึ้น ในฐานะนักแสดงที่มีผลงานยอดเยี่ยม กับบทบาทของภูชิต ในเรื่อง 13 เกมสยอง หนังระทึกขวัญที่ได้รับเสียงชื่นชมมากมาย พร้อมคว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมมาครอง จากเวทีรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ และชมรมวิจารณ์บันเทิง
น้อย เล่าว่าตอนนั้น มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ได้โทรศัพท์มาหาและชักชวนมาเล่นบทภูชิต แต่เมื่อเวลาผ่านไปกว่า 20 ปี พอได้มาดูหนังเรื่องนี้อีกครั้งก็มีความเข้าใจในตัวหนังมากขึ้นว่ามีข้อความที่ต้องการสื่อสารเยอะ ตอนที่เราเป็นนักแสดงเราอาจจะไม่ได้คิดถึงตรงนั้น หรือทำการบ้านไม่มากพอ และไม่รู้ว่าเรื่องจริงไหม แต่ได้ยินว่าผู้กำกับสควิดเกมก็เคยพูดถึงหนังเรื่อง 13 เกมสยองด้วย ก็ต้องขอขอบคุณมะเดี่ยว และ 13 เกมสยอง ถือเป็นหนังเรื่องแรกที่เราเริ่มกลายเป็นนักแสดงและคนยอมรับเราในฐานะแสดง
ประสบการณ์ใหม่ใน หลวงพี่เท่ง 3

ปี 2010 น้อย ได้รับประสบการณ์ใหม่ในบทบาทของพระน้อย เรื่องหลวงพี่เท่ง 3 ซึ่งน้อย รู้สึกว่าหนังไทยโดยเฉพาะหนังตลก รวมไปถึงเพลงลูกทุ่ง มีวัฒนธรรมความเป็นไทยบรรจุอยู่ในนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่ผ่านมาน้อยเคยพยายามร้องเพลงลูกทุ่งแล้วแต่ไม่สำเร็จ เมื่อได้โอกาสเล่นหนังตลกบางครั้งก็เล่นไม่ทันพี่ๆ ตลกมืออาชีพอย่างพี่ โน๊ต เชิญยิ้ม หรือ เด๋อ ดอกสะเดา
อิทธิพลของหนัง กับบทบาท จ๊อด เฮาดี้

ปี 2012 น้อย ได้รับบทสร้างชื่อเสียงอีกบทบาทหนึ่งในหนังเรื่องอันธพาล กับบท จ๊อด เฮาดี้ ผลงานกำกับของ โขม ก้องเกียรติ โขมศิริ หนังแนวแอ็คชั่น-ดราม่า ซึ่งเรื่องนี้น้อยเล่าว่าจริงๆ แล้วตัวเองจะได้รับบทเป็นแดง ไบเล่ แต่พออ่านบทแล้วอยากเล่นเป็นจ๊อด เฮาดี้ มาก ก็เลยไปปรึกษาผู้กำกับก่อนได้โอกาสเล่นบทนี้ ซึ่งเป็นบทที่ยากมาก และจ๊อด เฮาดี้ ตัวจริงในตอนนั้นเหมือนจะยังมีชีวิตอยู่และย้ายกลับมาอยู่ไทย ทำให้เราเลือกได้ว่าเราจะหาแรงบันดาลใจจากตัวจริง หรือหาแรงบันดาลใจของตัวเอง แต่เมื่อดูบทมันไม่ได้สะท้อนชีวิตจริงทั้งหมดมันเป็นหนัง และน้อยก็รู้ตัวดีว่าน้อยไม่มีทางแสดงได้เหมือน จ๊อด เฮาดี้ ตัวจริง จึงเลือกหาแนวทางของตัวเองโดยให้เกียรติตัว จ๊อด เฮาดี้ ด้วย
เมื่อหนังเข้าฉายในโรงก็มีคนไปสัมภาษณ์ลูกสาวของจ๊อด เฮาดี้ ว่าเราแสดงเป็นอย่างไรเหมือนพ่อของเขาไหม เขาก็ตอบว่าไม่เหมือนเลย แต่เขาน่าจะแคปเชอร์วิญญาณของพ่อได้ น้อยก็รู้สึกขอบคุณจ๊อด เฮาดี้ และผู้กำกับอย่างมาก เพราะว่าเวลาไปไหนหลายคนยังบอกพี่จ๊อดมาแล้ว มันคือพลังของหนังจริงๆ และพลังของหนังมันยังช่วยชีวิตคนได้ และมันได้ช่วยชีวิตของน้อยด้วย
เบื้องหลังฉากขุนพันธ์

ส่วนเทคนิคการแสดงหรือการบิวต์อารมณ์ก่อนที่จะเล่นหนังแต่เรื่อง น้อยเล่าย้อนไปถึงสมัยที่เขาเรียนอยู่ที่นิวยอร์กว่าตอนเรียนการแสดงเขารู้สึกไม่เห็นด้วยและไม่ชอบบางอย่างที่ครูสอน เช่นการให้นักเรียนเล่นบทเศร้า โดยครูจะคอยถามถึงเรื่องราวความเศร้าในอดีตของคนๆ นั้น ว่าจำได้ไหมวันที่เศร้าเป็นอย่างไร กลิ่นของมันเป็นอย่างไร วอลเปเปอร์มีสีอะไร นักเรียนก็จะเริ่มเล่าสิ่งที่มันลึกซึ้งมากๆ ต่อหน้าพวกเขา เราก็มองแล้วก็คิดว่าเราจะไม่ทำแบบนั้น ดังนั้นเทคนิคมันขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละคน
ยกตัวอย่างฉากที่หลายคนชอบดูในหนังเรื่องขุนพันธ์ เมื่อปี 2016 มี อนันดา เอเวอร์ริงแฮม รับบทขุนพันธ์ นายตำรวจ และ น้อย ในบทมหาโจรอัลฮาวียะลู เผชิญหน้ากัน ฉากนั้นน้อยบิวต์อารมณ์เยอะมาก ด้วยการขับรถยนต์ไปเรื่อยๆ เปิดเพลง และบิวต์ว่าเราเกลียดตำรวจๆ พอฉากทุกอย่างพร้อมเราก็ขับรถมาเข้าฉากเลย และมันเป็นหนึ่งในฉากที่น้อยรู้สึกว่าเราอิน และเราไปถึงจุดนั้นแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่ดีเหลือเกิน

รับชมคลิปสัมภาษณ์ฉบับเต็มที่ YouTube : Feed Retro