เมื่อความ Therapy โคจรมาเจอกัน “มาร์ค ภาคิน คุณาอนุวิทย์” และ “โอม ฐิภากร ฐิตะฐาน” โอกาสที่ได้รับบนเส้นทางการเป็นนักแสดง และภาพการเติบโตที่ชัดเจนขึ้นกับการเป็นนักแสดงนำในซีรีส์ แฟนที่ทันตแพทย์ส่วนใหญ่แนะนำ Sweet Tooth, Good Dentist 

FEED พาไปรู้จักเขาทั้งคู่ผ่านบทสัมภาษณ์ที่จะได้เห็นตัวตนความเป็น “มาร์ค-โอม” มากขึ้น ในแง่มุมของทุกช่วงการเติบโต

มาร์ค ภาคิน - โอม ฐิภากร
มาร์ค ภาคิน – โอม ฐิภากร

มาร์ค-โอม: สวัสดีครับผม มาร์ค ภาคิน ครับ ผม โอม ฐิภากร ครับ

การทำงานช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง ?

มาร์ค: เบากว่าตอนซีรีส์ เพราะตอนซีรีส์เหมือนต้องถ่ายงานอื่นไปด้วย แล้วก็ถ่ายซีรีส์ไปด้วย ผมรู้สึกว่าพอซีรีส์จบลงมันก็เบาลงแล้ว เหลือแค่รับผิดชอบงานวันต่อวันไป

โอม: สำหรับผมงานช่วงนี้ไม่มีครับผม จริงๆ โอมช่วงนี้ถือเป็นโอกาสที่ดี เหมือนจะได้ใช้เวลาพัฒนาสกิลในด้านอื่นๆ ด้วย แล้วก็โอมเองก็ทำงานที่ไม่ใช่งานในวงการไปด้วย เป็นงานสายที่โอมเรียนมาเล็กๆ น้อยๆ ผมทำ interior ให้บ้านใหม่ของตัวเองด้วย แล้วก็มีเพื่อนของคุณแม่ แล้วก็เพื่อนของเพื่อนผมเอง สถาปนิกเป็นสิ่งที่โอมชอบแล้วโอมคิดว่าโอมก็ยัง observe อยู่จนถึงทุกวันนี้ คิดว่าในอนาคตโอมรู้สึกว่าสักวันโอมก็ต้องผันตัวไปทำงานด้านดีไซน์ อยู่แล้ว แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะละทิ้งงานตรงนี้นะ เพราะว่ามันก็เป็น 2 สิ่งที่เราชอบเหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้โอมก็อยากทำควบคู่กันไป

พอได้ทำสิ่งที่เรียนมาความรู้สึกเป็นยังไง ?

โอม: มีความรู้สึกที่ภูมิใจนะ เหมือนสิ่งที่เราคิดสิ่งที่เราทำมันมาจาก creation เราจริงๆ ที่มันเคยอยู่ในหัวมาก่อน จนวันนึงมันออกมาเป็น space จริงๆ ที่เราสามารถเดินเข้าไปดูได้ เดินเข้าไปใช้ชีวิตได้ มันเป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างฟูลฟีลนะสำหรับโอม เพราะว่าเราเรียนมานานด้วยเราชอบสิ่งนี้มาตั้งแต่เด็กด้วย โอมไม่ได้คิดว่ามันคุ้มค่าหรือไม่คุ้มค่า เพราะเป็นสิ่งที่โอมชอบวันนึงในอนาคตถ้าโอมไม่ได้ทำงานตรงนี้ โอมก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายเพราะว่าโอมก็ชอบมันอยู่ดี

การทำงานใน GMMTV  กับโอกาสที่ได้รับ ?

มาร์ค: ผมรู้สึกว่าที่นี่ให้ผมทำอะไรหลายอย่างมาก ได้ลองหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างมาก ไม่ว่าจะขึ้นคอนเสิร์ต พิธีกร ร้อง เต้น แสดง ผมว่าครบทุกอย่างในพาร์ทวงการบันเทิงที่รู้สึกว่าได้ทำนะ เกือบครบทุกอย่างละกันผมก็คิดว่ายังไม่ทั้งหมดหรอก แล้วก็ที่นี่มีอะไรใหม่ๆ ให้ทำอยู่เรื่อยๆ เลย

โอม: เหลือแค่เป็นนางเอก

มาร์ค: เหลือแค่เป็นนางเอกที่จะได้ทำ ไม่ใช่ก็หมายถึงว่าผมว่าปีนี้ก็จะได้เห็นผมในบทบาทพิธีกรมากขึ้น เป็นพิธีกรรายการจริงๆ ไปเลย ไม่ใช่อีเว้นท์พิธีกรมีรายการเป็นพิธีกรจริงๆ แล้วก็คอนเสิร์ตก็มีเพิ่งขึ้นคอนเสิร์ตไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ผมว่าเป็นการเริ่มต้นปีที่โอเคเลย ปีนี้ของผมด้วยงานถ่ายด้วยแล้วก็งานใหม่ๆ อย่างอื่นที่ได้ทำ ผมว่าลงตัวมากๆ ในการอยู่ 3 ปี (3 ปี ทำครบหมดแล้ว มันเร็วนะ) เร็วมากผมรู้สึกว่า 3 ปี ผมเร็วมากในกับวงการบันเทิง กับการที่ได้รับโอกาสเยอะขนาดนี้ต้องขอบคุณผู้ใหญ่ทุกคน แล้วก็ลูกค้าทุกคนที่เห็นศักยภาพในตัวเรา แล้วก็เลือกหยิบใช้เรามันเป็นโอกาสที่ดีที่ได้ทำ ก็รู้สึกว่ามันจะไม่จบหรอกเพราะว่าที่นี่มันจะมีอะไรให้ทำใหม่ๆ อยู่เรื่อยๆ เลย ในการที่อยู่ดีๆ ปีนี้ผมก็ได้มาเจอโอม แล้วก็มาได้เล่นซีรีส์วายอย่างเต็มตัว มันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในทุกๆ ปี ก็ดีนะ

ทำให้เจอสิ่งที่ใช่สำหรับตัวตนเราเพิ่มขึ้นไหม ?

มาร์ค: สิ่งที่ใช่สำหรับผมก่อนที่ผมจะเข้ามาคือผมชอบการเป็นนักแสดงมากที่สุด แล้วผมรู้สึกว่าทุกวันนี้มันก็ยังเป็นนักแสดงอยู่ ต่อให้จะมีงานพิธีกรหรือขึ้นคอนเสิร์ตบ้างร้องเต้นบ้าง แต่ว่าสุดท้ายสิ่งที่เราอินกับมันมากที่สุดก็พิธีกร ไม่ใช่ สิ่งที่เราอินกับมันมากสุดคือนักแสดง

โอม: หลุดนะ

มาร์ค: ไม่ใช่พิธีกรนักแสดงแต่ว่าเมื่อกี้คิดในหัว คือมันมีงานที่เรารู้สึกเริ่มชอบคือเบื้องหลัง เริ่มชอบการเขียนบท การไปนั่งดูเขาเขียนบท เห็นเขากำกับ เริ่มจะชอบชอบเห็นการเขียนบทการกำกับ เริ่มเห็นงานเบื้องหลัง รู้สึกว่าน่าสนใจเหมือนกันนะเนี่ย ซึ่งเราไม่ได้เรียนมาทางนี้เราก็รู้สึกว่าพออยู่แต่เบื้องหน้า แล้วมาเห็นเบื้องหลังจริงๆ เบื้องหลังมันก็น่าสนใจมันมีอะไรให้ทำเยอะเหมือนกัน

มาร์ค ภาคิน
มาร์ค ภาคิน

มาร์คเคยเป็นนักกีฬา แล้วอะไรที่ทำให้เกิดความชอบการเป็นนักแสดง ?

มาร์ค: ผมชอบดูหนังมาก เป็นคนไดรฟ์ชีวิตด้วยหนังพอสมควรเลย หนังเรื่องนี้ดี ช่วงนี้เราอินเรื่องนี้ เราก็จะไดรฟ์ชีวิตด้วยหนังเรื่องนี้ ด้วยความคิดแบบหนังเรื่องนี้ มาถึงเราอินเรื่องนี้เราก็จะไดรฟ์แบบหนังเรื่องนี้ที่เราอินอยู่ ณ ปัจจุบัน ก็เลยดีจังเลยที่เรามีแรงบันดาลใจแบบนั้น ถ้าวันนึงเรามีโอกาสได้เป็นคนๆ นั้นล่ะ เป็นคนที่สมมุติเราอยู่นี่ใช่ไหมแล้วมองนี่ แล้วถ้าเราเป็นคนนี้ล่ะแล้วมีคนมองเราอยู่ มันคงจะดีมากในการเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คนได้ รู้สึกว่าถ้ามันมีโอกาสได้ทำก็อยากลอง ไม่รู้ว่าจะทำได้ดีไหม ไม่รู้จะชอบมันมากขนาดไหนแต่ถ้ามีโอกาสก็อยากลองทำ พอได้ลองทำก็รู้สึกชอบ (แล้วการเป็นนักกีฬาล่ะ) นักกีฬาจริงๆ พูดไปป๊าน้อยใจแน่เลย คือจริงๆ ผมไม่ได้เคยอยากเป็นนักกีฬาตั้งแต่เด็กๆ นะ แต่ว่าด้วยฐานะทางบ้านแล้วก็สิ่งที่เราทำ เราดันทำมันได้ดี แล้วมันดันเป็นอาชีพที่หล่อเลี้ยงเราได้ พ่อก็เลยทำต่อไปเพราะด้วยจะออกมาเรียนก็ไม่ทัน เพราะตอนที่เป็นนักกีฬาเราทิ้งการเรียนทั้งหมดเลย เขาก็งั้นเป็นนักกีฬาให้สุดไปเลย ผมรู้สึกว่าถ้าเราไม่ได้ให้ค่ากับมันร้อยเปอร์เซ็นต์ มันไม่มีทางตอบแทนเรา ถ้าเราไม่จริงใจกับมัน จริงจังกับมัน มันไม่มีทางตอบแทนเราแน่นอน

โอม: แต่ผมรู้สึกว่าตั้งแต่ทำงานกับพี่มาร์คมา รู้จักพี่มาร์คมาเขาเป็นคนที่ความเป็นนักกีฬามันชัดนะในตัวพี่ นิสัยนี้มันถูก develop ในการทำงานทุกอย่างเลย เขาเป็นคนที่ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อย เป็นคนที่มันมีความเป็นทีมเวิร์คที่เรารู้สึกว่าเราทำงานกับคนแบบนี้เราสบายใจ เพราะว่าถ้าเรารู้ว่าเขาจะทำไปแล้วเขาจะไปสุดแน่นอน แล้วโอมชอบเอนเนอร์จี้แบบนี้

การเป็นนักกีฬาให้อะไรกับมาร์ค สิ่งนั้นสามารถเอามาใช้ได้ในปัจจุบัน ?

มาร์ค: ตอนที่เริ่มมาคิดว่านักกีฬาคงทิ้งไปทั้งหมดแล้ว แต่จริงๆ คำว่านักกีฬามันคือสำหรับผมนะ มันคือชีวิตมันให้เยอะมาก ถ้าผมไม่ได้เป็นนักกีฬามา 15 ปี ผมจะไม่เป็นมาร์ค ภาคิน แบบวันนี้ ผมอาจจะไม่ได้แบบเห็นใจผู้อื่นเท่านี้ หมายถึงว่าเราทำงานนักกีฬาเราทำงานเป็นทีม โค้ชกับนักกีฬาต้องไปด้วยกัน นักกีฬากับนักวิทยาศาสตร์การกีฬาต้องไปด้วยกัน แล้วผมเป็นนักกีฬาแบดมินตันชายคู่ คู่ผสม ซึ่งผมเล่นคู่ไม่ได้เล่นเดี่ยวด้วยซ้ำ ผมทำงานเป็นทีมมาโดยตลอด ก็เลยแบบสิ่งที่ติดมาเลยคือมากกว่าการทำงาน การทำงานสำหรับผมเป็นเรื่องเล็กมันคือการใช้ชีวิต คือการมีวินัยการเผื่อแผ่ผู้อื่น การสังเกตผู้อื่นว่าเขารู้สึกอะไรอยู่ การไม่หาคนผิดในสิ่งที่ปัญหากำลังจะเกิด แต่ถ้าปัญหาเกิดแล้วเราต้องดูว่าทำยังไงเรามีโอกาสในการแก้ไขมันไหม แล้วอะไรคือทำให้เกิดปัญหา โอเคเราแก้ปัญหาตรงนั้นไม่ใช่ไปหาว่าใครเป็นคนทำให้เกิดปัญหา เพราะสุดท้ายหาไปเจอแล้วก็เท่านั้นเพราะปัญหามันเกิดแล้ว สุดท้ายก็ต้องรีบแก้ปัญหาเหมือนเกมการแข่งขันที่เราประสบปัญหามันเกิดมึงตีไม่ดี เท่านั้นอะมันเสียเวลามากๆ ทำไมพลาดแบบนี้ลองเพราะตีลูกนี้ก่อนเลยพลาดแบบนี้ โอเคงั้นมาแก้ที่ลูกนี้นะ ไม่ใช่มึงผิดๆ มันก็ทำงานไม่ได้ (เหมือนใช้เหตุและผลมากกว่า) มันเสียเวลามันยิ่งทำให้ปัญหามันบานปลาย เพราะว่าสุดท้ายแล้วท้ายสุดเราก็ต้องทำงานด้วยกันต่ออยู่ดี มันลงเรือลำเดียวกันแล้วมันก็ต้องอย่ามองปัญหาให้มัน มองให้มันไกลๆ แล้วรู้สึกว่าช่วยกันได้ ยังไง 2 คน ก็ดีกว่าคนเดียวอยู่แล้ว

โอม: ผมว่าเขาเป็นคนที่มองที่ผลลัพธ์ดีกว่า อยากได้แบบไหน คือถ้าอะไรมาทำให้ผลลัพธ์มันช้าลง ให้ออกมาไม่ดีเขาก็ไม่เสี่ยง เขาจะไม่โฟกัสเขาจะให้ทำทุกอย่างให้มันออกมาเร็วที่สุด แล้วก็ดีที่สุด (ความเข้าอกเข้าใจสำคัญไหม)

มาร์ค: สำคัญนะ

โอม: empathy สำคัญมากผมว่า

มาร์ค: ผมรู้สึกว่ายิ่งการทำงานตอนนี้มันเป็นการทำงานของคู่ แล้วก็จริงๆ การออกกองสักหนึ่งครั้งมันคือการเป็นทีม ไม่ว่าจะเป็นผมผู้กำกับ แอคติ้งโค้ช คู่แสดงเรา ช่างแต่งหน้า ทำผม ทุกคนคือทีมหมด ทุกคนต้องช่วยกันหมด ไม่มีใครเหนื่อยน้อยไปกว่าใครทุกคนเหนื่อยเหมือนกันหมด บางทีเราเหนื่อยกว่าเขาด้วยซ้ำถ้าคิดจริงๆ แล้ว เขามาก่อนกลับหลัง

โอม: ใช่

มาร์ค: ตอนที่เราหยุดเขายังทำงานอยู่เลย ตอนที่เรานอนไปทำงานอื่น ไปอีเว้นท์ เขายังทำงานกับบท เขายังทำงานกับสิ่งที่ถ่ายมา ต้องแก้อะไรไหม ต้องปรับอะไรไหมเขายังทำงานอยู่ ซึ่งจริงๆ เราเราทำงานน้อยกว่าคนเบื้องหลังมากเลยนะ

โอม: ใช่ ของเขาอาจจะเขาเรียกว่าไง โอมกับพี่มาร์คเราสองคนจะมีความคิดที่ว่าอยากให้มันเสร็จออกมาดีที่สุด เร็วที่สุด เพื่อที่จะไม่ให้เป็นภาระของคนอื่นด้วย เพราะว่าเหมือนเราคำนึงไว้ตลอดว่าสมมุติเราเลทนิดนึง เราเล่นไม่ดีมันต้องใช้เวลามากขึ้น เบรคก็ต้องเริ่มขยับแล้ว เดี๋ยวคนอื่นก็ต้องวุ่นวาย ช่างไฟกลับบ้านดึก คนทำเบรคก็ต้องย้ายวันเบรคหาโลเคชั่นจ่ายเพิ่ม โอมรู้สึกว่ามันก็ต้องคิด โอมเป็นคนที่กลัวความรู้สึกว่าโอมไม่ชอบเป็นตัวถ่วงของคนอื่นด้วย ไม่ชอบให้ใครมองว่าเราเป็นภาระ

โอม ฐิภากร
โอม ฐิภากร

2 ปีของโอมกับการทำงาน ?

โอม: ของโอมในวงการนี้ โอมรู้สึกว่าถ้าพูดในเรื่องของการเป็นนักแสดง โอมรู้สึกว่าที่ผ่านมามันเป็นเหมือนการชิมลางมากกว่า เพราะว่าหนึ่งคือโอมไม่ได้ทำงานตรงนี้เต็มตัว เพราะว่ามันมีงานหลักของโอมคือการเรียนหนังสือช่วงที่ผ่านมา ซึ่งซีรีส์เรื่องนี้หรือตั้งแต่ถ่ายเริ่มโปรเจกต์นี้มา มันคือช่วงที่โอมเรียนจบพอดี ซึ่งโอมรู้สึกว่าเป็นจังหวะที่ค่อนข้างพอดีนะ เพราะว่าก่อนหน้านี้โอมไม่ได้มีโปรเจกต์ใหญ่ที่ต้องใช้เวลากับมันให้เต็มที่ โอมเลยมีเวลาให้กับการเรียนอย่างเต็มที่ แล้วผลมันออกมาค่อนข้างที่จะน่าพอใจเลยทีเดียว ซึ่งพอเรียนจบแล้วแล้วก็มีงานนี้ทำต่อเลย ถามว่ามันเป็นยังไงโอมรู้สึกตั้งแต่เริ่มทำงานมามากกว่า มันทำให้โอมโตขึ้นอยู่แล้วมากกว่าคนอื่น เพราะโอมมี 2 จ็อบ ทั้งเรียนกับนักแสดง แต่ว่าตอนนี้โอมเป็นนักแสดงอย่างเดียว คือมันถึงเวลาที่เราจะต้อง take it serious ได้แล้ว แล้วโอมรู้สึกว่าโอมยังไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นนักแสดงที่ดี โอมก็ได้เจออะไรหลายๆ คน อะไรหลายๆ อย่าง รู้สึกว่าโอมเองก็ต้องพัฒนาตลอดไม่ว่าด้านไหนๆ ก็ตาม

ยังมองภาพตัวเองโตได้กว่านี้ ?

โอม: โอมรู้สึกว่ามันไม่มีใครที่จะหยุดโตได้นะ โอมรู้สึกว่ายูเป็นคนที่เก่งที่สุด ถ้ายูหยุดอยู่ตรงนั้นมันก็มีคนเก่งกว่ายูอยู่แล้ว แล้วมันมีประโยคนึงที่เหมือนโอมเคย struggle กับการที่อยากเป็นคนที่เก่งที่สุด จนวันนึงพี่มาร์คบอกว่าแค่เป็นมึงในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดก็พอแล้ว โอมรู้สึกว่าอันนั้นมันทำให้โอมเอ็นจอยกับการทำงานในทุกๆ วัน ได้มากขึ้น แล้วก็ไม่ได้ขวนขวายที่จะแบบเป็นคนอื่นจนทำให้ตัวเองไม่มีความสุข เพราะเหมือนเขาบอกว่าทุกงาน ทุกอาชีพ ทุก industry มีคนที่เก่งที่สุดอยู่ พี่มาร์คเขาก็ยกตัวอย่างตัวเองให้ดูบอกว่ากูไม่ได้อยากเหมือนใครเลย จำได้ปะตอนนั้น กูก็เป็นของกูแบบนี้ทำไปเรื่อยๆ สุดท้ายมันก็เวิร์คในแบบของกูเอง โอมรู้สึกว่ามันแฮปปี้นะทำอะไรแบบนี้ ซึ่งโอมก็ยังไม่รู้หรอกอะไรคือตัวตนของโอมที่มันน่าหยิบมาใช้ แค่โอมรู้สึกว่ามันก็ต้อง explore ไปเรื่อยๆ พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ มากกว่า ถ้าถามว่านี่มันคือชีวิตจริง โอมรู้สึกว่ามันต้องกดดันมากขึ้นแหละ แต่ว่ามันก็จะเป็นอีกพาร์ทที่ทำให้โอมโตขึ้น ทำยังไงให้มีความคาดหวังแต่ว่าไม่เครียด ไม่ได้กดดันเพราะว่าความกดดันโอมเคย experience มาตอนเรียนแล้วว่ามันทำให้โอมไม่มีแรงเรียนหนังสือ ทำให้คิดงานไม่ออก ทำให้สุขภาพจิตไม่ดี อะไรรอบตัวมันก็แย่ไปหมดจากการกดดันตัวเอง ซึ่งนั่นแหละมันก็เป็นอีกทางที่โอมต้องปลดล็อกตัวเองให้ได้นะ โอมคิดว่ามันถึงจะมีความสุขมันเป็นการใช้ชีวิตที่ประสบความสำเร็จมากกว่า ไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ตาม มันใช่งานตรงนี้ของโอม

ตั้งแต่ทำงานตรงนี้มามีอะไรหล่นหายไปบ้าง ?

มาร์ค: เยอะเลยนะ ผมว่าได้อย่างมันเสียอย่างทุกอย่าง ไม่เกี่ยวกับอาชีพนี้นะ หมายถึงว่าทุกอาชีพมันได้อย่างเสียอย่างหมด เวลาได้อะไรมาเราจะเสียอะไรบางอย่างอยู่แล้ว สมมุติว่าสิ่งที่ผมเสียคือเวลาที่ให้กับครอบครัว คือผมจริงๆ ผมเป็นคนติดครอบครัวมาก อยู่กับบ้าน อยู่กับหมา อยู่กับหลาน อยู่กับป๊า แม่ เล่นกับแกบ่อย แต่พอมาทำงานผมรู้สึกว่าผมออกไปอยู่คนเดียวแล้วผมต้องรับผิดชอบตัวเองเพียงคนเดียว ณ ที่แห่งนี้ มันเหมือนเรากำลังออกมาหาความสำเร็จเพื่อไปฝากเขา ผมว่าสิ่งเหล่านั้นมันหล่นหายไปคือการเอาใจใส่กับครอบครัวของเราเอง ซึ่งที่บ้านเข้าใจมากป๊าเข้าใจมากนี่คือสิ่งที่มันต้องแลก ณ ช่วงชีวิตนึงที่มันต้องสูญเสียไป เป็นสิ่งที่มันก็แอบเศร้านะพอต้องไปอยู่คนเดียว แต่มันไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยวนะ คือผมรู้สึกว่าที่บ้านผมมันอบอุ่นมาก แล้วผมจะกลับไปเมื่อไหร่ก็ได้ ผมจะโทรเมื่อไหร่ก็ได้ เหนื่อยแค่ไหนเขาก็จะรับ เหนื่อยแค่ไหนกลับบ้านไปทำตัวเป็นมาร์ค 9 ขวบ 10 ขวบ ที่อยู่บ้านไม่ทำอะไร ผมรู้สึกว่าผมหายแล้ว ก็เลยไม่รู้สึกโดดเดี่ยวแต่รู้สึกเด็ดเดี่ยวขึ้นในการไปอยู่คนเดียว รู้สึกต้องเด็ดขาด รู้สึกว่าสิ่งที่เราต้องตัดสินใจและจะเอาต้องเอาให้จริง ต้องทำทำให้จริงเพราะว่าถอยไม่ได้ เลือกแล้วมันแบบเราแลกมาเยอะแล้ว เราจะเล่นๆ มันก็ไม่ตอบแทนเรา ไม่เอาจริงเอาจังกับมันมันไม่มีทางให้อะไรกลับมาเราแน่นอน

มาร์ค ภาคิน - โอม ฐิภากร
มาร์ค ภาคิน – โอม ฐิภากร

รู้สึกโหยหาไหม ?

มาร์ค: สิ่งที่มันไม่เคยขาดเลย จริงๆ อย่างที่บอกเราห่างกันก็จริงแต่เราไม่เคยโดดเดี่ยว เราไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะฉะนั้นมันเหมือนเป็น มันเหมือนมีอะไรเชื่อมเราอยู่ ทุกครั้งที่กลับบ้านไปไม่เคยรู้สึกว่าเป็นคนแปลกหน้าเลย เหมือนรู้สึกว่าเดินออกไปจากบ้านเมื่อวานด้วยซ้ำ การกลับบ้านเหมือนเดิม มันอาจจะมีบางเรื่องบ้างที่เราหล่นหายไป เห้ยพี่สาว น้องสาว จะเล่าให้เราฟังตลอดนู่นนี่นั่น เล่าให้เราฟังตลอดว่าอาทิตย์นี้แม่ทำอย่างนี้ตลกนะ แม่ไปเจอสิ่งนี้มาตลกดีนะ เราอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ต้องรับรู้เรื่องนี้ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเราต้องรับรู้พร้อมกัน แต่มันเป็นแบบเราเป็นคนสุดท้ายสินะที่รับรู้เรื่องนี้ แต่เขาไม่เคยเมินเฉยให้เราไม่รับรู้เขาพยายามอัปเดตกับเราตลอด ซึ่งก็ไม่เคยรู้สึกว่าเป็นคนนอกเมื่อออกไป มีคิดถึงบ้าง แต่ว่าไม่ถึงกับนอยด์ รู้สึกว่านี่มันคือชีวิตมันจะเอา มันใช้คำว่าจะกินเนื้อเขาต้องเอาเนื้อเราแลกมันเป็นแบบนั้น หมายถึงว่าถ้าคุณไม่แลกคุณก็ไม่ได้มันต้องแลก (การตัดสินใจครั้งนั้น มาร์ครู้ใช่ไหมว่าสิ่งนี้มันต้องเกิดขึ้น) คือไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นไหม เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเราจะประสบความสำเร็จถึงขั้นไหน แต่ถ้ามันแลกมาด้วยสิ่งที่ทำให้ป๊า แม่ สุขสบายมากขึ้น การเป็นอยู่ของทุกคนสบายมากขึ้น ไม่ถึงกับต้องรวยขนาดเป็นพันล้าน แค่สุขสบายมากขึ้นกว่าเดิม แล้วก็ไม่ต้องเครียดในการถ้าป่วยแล้วทำยังไง จะเอาเงินที่ไหนรักษาแค่นี้ผมพอแล้ว รู้สึกว่าแลกมามันคุ้มมากๆ (พูดได้ไหมว่าตอนนี้เป็นเสาหลักของครอบครัว) จริงๆ ผมเป็นมาปีนึงแล้วนะ หมายถึงการเป็นหัวหน้าครอบครัว ค่าใช้จ่ายยังไง เงินเดือนแม่ยังไงทุกเดือน ประกันป๊า แม่ แต่ละปียังไง เปิดบริษัทแล้วนะนู่นนี่นั่นทุกวันนี้ผมหยิบจ่ายให้ครอบครัวหมดเลย

โอม: เพิ่งซื้อรถให้พ่อไป

มาร์ค: ก็เพิ่งซื้อรถให้ป๊าไป

ในวัย 26 ปี กับสิ่งที่ทำรู้สึกภูมิใจกับตัวเองขนาดไหน ?

มาร์ค: จริงๆ ในความรู้สึกผมนะ ผมเป็นคนกดดันตัวเองสูง ผมรู้สึกว่าแม่งช้าไปด้วย จริงๆ ผมเคยความภูมิใจแรกเลยนะ คือตอนผมตีแบดได้เงินก้อนนึงประมาณกี่แสนไม่รู้ ผมก็ให้ป๊าหมดเลยเพื่อเอาไปรีโนเวทบ้าน เพื่อให้การเป็นอยู่เราดีขึ้น คือตอนนั้นอายุ 18 แล้วรู้สึกว่าได้เงินแสนให้หมดเลยอะ เอาไปสร้างบ้านไปติดแอร์ไหม จริงๆ ไม่แอร์ ติดแอร์ไหมเอาแบบว่าซื้อรถอีกคันเพิ่มไหม บ้านเราจะได้มีรถ 2 คน เผื่อมีป๊าไปทำงานแล้วถ้าใครเป็นอะไรขึ้นมาทำไง ก็รู้สึกว่าความภูมิใจมันเล็กๆ น้อยๆ มาตลอด แต่ว่าตอนที่ซื้อรถให้ผมรู้สึกว่ามันก็ดีใจที่ได้เห็นเขามีความสุข ไม่ได้ภูมิใจในตัวเองในการดูแลเขาได้แล้วเว้ย ซื้อรถให้เลยนะเว้ย ไม่ มันแค่รู้สึกว่าได้เห็นป๊ายิ้ม ได้เห็นป๊าเช็ดรถนู่นนี่นั่นอินกับสิ่งที่เราให้ ผมว่านั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกว่าดีใจมากกว่าในการภูมิใจตัวเอง ไม่ได้รู้สึกภูมิใจตัวเองขนาดนั้นผมก็รู้สึกมนุษย์คนนึงที่ก็ดิ้นรน ก็เหมือนทุกๆ คน ทุกๆ คนก็ต้องดิ้นรนเหมือนกัน มันไม่ได้ภูมิใจมากกว่าทุกคนเลยก็เด็กคนนึงที่ดิ้นรนทุกอย่างเพื่อครอบครัวหลายๆ คนก็ทำ

โอม: สำหรับโอมเองโอมไม่ได้มองว่าหล่นหายไป เพราะว่าทุกชอยส์ที่โอมเลือกมันคือ decision ของโอม โอมรู้อยู่แล้วว่าโอมอยากทำอะไร โอมไม่อยากทำอะไร แล้วถามว่ามันต้องแลกอะไรไหมมันต้องแลกอยู่แล้ว อย่างเช่นเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยมันเหนื่อยคูณสองอยู่แล้ว แต่ว่าถามว่าก็อยากทำก็แค่อยากทำ แค่รู้สึกว่าถ้าอยากทำอะไรแล้วต้องทำให้มันดีที่สุดก็พอ เหมือนตอนแรกที่บอกแม่ว่าจะมาเซ็นสัญญาแม่ก็บอกผมแค่คำเดียวลูกคิดดีแล้วใช่ไหม การเรียนลูกจะไม่เสียใช่ไหม เพราะว่าแม่เป็นคนที่ค่อนข้างซีเรียสมากเรื่องการเรียน เขาก็อยากให้ลูกเรียนจบก่อน โอมก็แค่รู้สึกว่ามันก็ต้องทำให้ดีให้ได้ ตอนนั้นโอมไม่รู้หรอกว่ามันต้องทำยังไงงานจะยุ่งแค่ไหน แค่บอกตัวเองว่าก็ทำได้แน่นอนอยู่แล้ว แม่โอมเลี้ยงแบบถ้าลูกอยากทำไรลูกทำเลย แค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็พอแม่ไม่ได้ขออะไรเยอะเลย แค่ดูแลตัวเองให้ได้อย่าให้แม่เป็นห่วง อย่างเอาสิ่งที่ตัวเองเลือกมาเป็นข้ออ้างในการใช้ชีวิต โอมโชคดีที่พ่อแม่โอมสอนให้ใช้ความคิดแบบ logic ตั้งแต่เด็กตั้งแต่โอมเกิดมา 23 ปี วันเกิดโอมสักปีโอมยังไม่เคยได้ของขวัญวันเกิดเลยเพราะว่า เขาก็ไม่ได้อยากให้ลูกยึดติดวัตถุ เขาให้ได้อยู่แล้วก็แค่ไม่ซื้อให้ ถ้าลูกอยากได้อะไรลูกเก็บตังค์ซื้อเอง มีครั้งนึงที่โอมอยู่ ม.4 แล้วโอมอยากได้ไอแพดไปเรียนหนังสือมาก เพราะว่าโอมขี้เกียจแบกสมุด โอมขอแม่อยู่ประมาณ 2 เดือน แม่ถึงจะซื้อให้ต้องออกเงินตัวเองครึ่งนึงด้วยแม่ถึงจะโอเคที่จะซื้อให้ เหมือนเขาโตมาในครอบครัวที่ไม่ได้สบาย เหมือนพ่อแม่เขาไม่ได้ฐานะไม่ได้ดีเท่าพ่อแม่ผม เขาบอกผมตลอดว่าชีวิตเราต้องใช้ให้เป็นนะ ทุกอย่างโอกาสมีอะไรให้รีบคว้า แล้วก็ต้องใช้ชีวิตยังไงก็ได้ให้มันแบบอย่างน้อยมันเกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งกับตัวเองทั้งความสุขของตัวเองและคนรอบข้าง ซึ่งโอมก็เลยไม่เคยรู้สึก struggle กับการใช้ชีวิตในอะไรสักอย่าง โอมไม่เคยเหมือนสิ่งที่เขาสอนมันทำให้โอมไม่เคยรู้สึกขาด โอมมีน้อยกว่าคนอื่น โอมมีเยอะกว่าคนอื่น หรือว่าชีวิตนี้โอมต้องการอะไร แค่โอมเป็นของโอมแบบนี้โอมเกิดมาในครอบครัวแบบนี้ที่หน้าตาแบบนี้ ฐานะแบบนี้ มีอะไรบ้าง มันทำให้โอมเชฟโอมให้เป็นคนที่สามารถมองเห็นความสุขได้จากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มองเห็นจุดดีได้จากจุดที่ตัวเองยืนอยู่ ซึ่งโอมรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ดีนะที่แบบไม่ได้ทำให้เราหมดไฟในการใช้ชีวิตจากการดูถูกตัวเอง หรือว่าการมองคนอื่นเยอะเกินไป เป็นการโฟกัสที่แบบตัวเองว่าแบบอยากได้อะไรเราก็ต้องทำนะ แม่ผมเขาจะสอนเวนี้ตลอดเพราะว่าเหมือนทุกอย่างที่เขาดิ้นรนมาทั้งชีวิต เขารู้สึกว่าการดิ้นรนนั้นทำให้เขาเป็นเขาในวันนี้ เขาไม่อยากให้ลูกของเขาเองพลาดจุดนี้ไป เพราะว่าเกิดจากการตามใจของเขาเขาเลยกลัว เหมือนตั้งแต่เด็กตั้งแต่โอมเล็กๆ เลย เวลาโอมถามอะไรแม่แม่จะตอบออย่างเดียวว่าแบบสมมุติถาม แม่ทำไมต้นไม้ต้นนี้ถึงออกดอกเป็นสีม่วง แม่โอมจะไม่ได้บอกเพราะมันเป็นต้นแบบนี้นะ แม่โอมจะบอกว่าลูกอยากรู้อะไรต้องหาข้อมูลเอง เหมือนแม่ผมเขาจะอยากให้ลูกคิดเป็น อยากให้ลูกโตเร็วตั้งแต่โอมยังเป็นเด็กมากๆ มันก็ไม่แปลกที่โอมจะมาอะไรที่ logic มากๆ คิดเป็นเหตุกับผลมากๆ ทั้งเวลาทะเลาะอะไรกัน กับที่บ้านเองกับเพื่อนเอง โอมไม่ได้ใช้ emotional โอมคุยกับด้วยเหตุผลตลอด ซึ่งหลายครั้งเองมันก็ทำให้คนรอบข้างรู้สึกว่าเป็นคนที่แข็งทื่อไป คิดเป็นเหตุและผลเกินไป ความรู้สึกเองมันไม่ได้ใช้เหตุผลด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ ในขณะเดียวกันเองมันไม่ได้ใช้หัวใจร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกัน

มาร์ค ภาคิน - โอม ฐิภากร
มาร์ค ภาคิน – โอม ฐิภากร

นิยามความเป็นตัวตนของทั้งคู่เป็นแบบไหน ?

มาร์ค: ผมเป็นคนจริงจังนะ ผมว่าหลายๆ แฟนคลับของผมที่แบบติดตามผมมาสักพักนึง น่าจะพอรับรู้ได้ว่าผมเป็นคนจริงจัง แล้วก็จริงๆ มันก็มีพาร์ทที่ผมเล่นไปเลย แต่เล่นในที่นี้หมายถึงว่าผมชอบเห็นคนรอบตัวผมมีความสุข เสพติดเสียงหัวเราะจากผู้อื่น แล้วก็รอยยิ้มจากผู้อื่น มันรู้สึกเรามีคุณค่าบางอย่างไม่รู้เหมือนกัน เพราะว่าสิ่งเหล่านี้มันเหมือนตอนเด็กๆ ผมชอบดูตลกคาเฟ่ แล้วมันมีความสุขจังเลยได้ดูพวกเขา ทำไมพวกเขาสร้างเสียงหัวเราะให้คนอีกหลายๆ โต๊ะที่นั่งดูด้วยกัน เขาดูมีคุณค่าจังเลย เขาดูมีคุณค่าในการมีอยู่มีชีวิตอยู่ เพราะว่าเขาสร้างความสุขให้กับทุกคนได้ รู้สึกว่านั่นคืออาจจะอีกมุมนึงที่ผมอาจจะไม่ใช่คนตลกขนาดนั้นนะ เป็นคนจริงจังแล้วก็อีกคนนึงเลยจะเป็นแบบนั้นเลย แต่ก็ไม่ได้เรียกว่าคนตลกเสพติดความสุขของผู้อื่นจากตัวเอง (อยากให้คนรอบตัวมีความสุข) ไม่อยากให้เครียด เป็นคนแบบไม่อยากให้ทุกคนรอบตัวเครียด หรือคิดมากกับชีวิตอะไรมาก

โอม: โอมคิดว่าคล้ายกันนะ เพราะว่าถ้าจะให้นิยาม โอมจะให้นิยามตัวเองว่าดูไม่ออก เพราะว่าโอมไม่ใช่คนที่จะโชว์ความคิด หรือโชว์ personality หรือไอเดียของตัวเองให้คนขนาดนั้น ภายนอกเองไม่ว่ากับเพื่อน หรือว่ากับเพื่อนร่วมงานโอมจะดูเป็นคนชิลๆ เป็นคนที่ไม่ค่อยคิดอะไร หรือว่าเป็นคนที่ตลกในกลุ่มเพื่อนโอมรู้สึกโอมเป็นคนที่ตลกมาก เป็นคนเรียกเสียงหัวเราะ เป็นคนที่ grab attention ได้ตลอดเวลา แต่จริงๆ เพื่อนโอมหลายคนจะไม่ค่อยชินกับโอมในมุมที่เป็นคนจริงจัง ไม่ได้ชินในมุมเป็นคนที่ตั้งใจทำงานมากๆ หรือว่าเป็นคนที่ใช้เหตุผลมากๆ เป็นคนที่ซีเรียสมากๆ เป็นคนคิดมากๆ โอมรู้สึกมันเป็นอะไรที่คนดูไม่ออก เพราะว่าส่วนลึกๆ แล้ว โอมเป็นคนที่ไม่ได้อยากให้คนอื่นมาต้องมานั่งคิดกับเราว่าเราเป็นคนยังไง เศร้าอยู่นะ ดีใจอยู่นะ หรือว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เพราะรู้สึกว่าโอมเป็นคนที่จัดการความรู้สึกตัวเองได้ ความคิดตัวเองได้ โอมก็เลยสร้างกรอบอันนั้นขึ้นมา ฉาบตัวเองอีกทีว่าเราไม่ใช่เราดูแลตัวเองได้ เวลาโอมเครียดหรือเวลาโอมเศร้า โอมแค่พูดกับตัวเองว่าแบบช่างแม่ง มันเป็นอะไรที่มันดูง่ายๆ แต่มันใช้ได้จริง ช่างแม่งปัญหาไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป จนวันไหนมีความสุขมีสิ่งดีๆ เข้ามามันก็มีวันจบลงเหมือนกัน แล้ววันไหนเจอเรื่องไม่ดีเรื่องแย่ๆ มันมีจุดดีอยู่แล้ว สมมุติโอมเล่นซีรีส์แล้วโดนด่า มันก็เป็นจุดดีสะอีกโอมจะได้รู้ว่าโอมผิดตรงไหน โอมควรพัฒนาตรงไหน โอมไม่ควรหยุดตรงไหน

การทำงานร่วมงานกันเป็นยังไงบ้าง ?

มาร์ค: การทำงานร่วมกับโอม จริงๆ เป็นอีกอารมณ์นึงเลยนะ ก็อย่างที่โอมบอกมันดูไม่ออกตั้งแต่แรกจริงๆ คิดว่าเขาน่าจะเป็นเด็กสดใสร่าเริงจริงๆ ก็มีมุมนั้นอยู่ที่เราเห็น

โอม: มีเยอะมีตลอดผมชอบ

มาร์ค: ในการสดใสร่าเริงแต่อีกมุมที่เรามารู้ตอนหลังเขาเป็นคนจริงจัง แล้วเป็นคนแบบคิดมากแล้วก็เป็นคนแคร์มากๆ คนรอบตัวจะคิดยังไงกับตัวเขา แคร์เรื่องว่าจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนเพราะเรา ก็จริงๆ เป็นสิ่งนึงที่ผมรู้สึกว่าดีนะ ถ้ารู้ว่าตัวเองผิดหรือไม่ผิดไม่รู้ แต่การแสดงตัวออกมาว่าแบบเรารู้สึกไม่โอเคมันเป็นเพราะเราหรือเปล่า มันเป็นสิ่งที่ใจดีอะ การทำงานกับผมง่ายมาก แค่ให้ใจพอตรงๆ ไม่ต้องแบบเรากำลังสร้างงานกัน ถ้าเราไม่รู้จักมากพองานที่สร้างไปมันจะไม่ดีแน่นอน หมายถึงเราก็ต้องเปิดใจให้กันแล้วก็มีอะไรก็พูดกันตรงๆ อะไรอย่างนี้ แล้วก็หาจุดตรงกลางว่า สมมุติพี่ทำอย่างนี้ไม่โอเคนะ ผมทำอย่างนี้ก็บอกกันตรงๆ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าคุณไม่โอเคแล้ว แล้วเราต้องปรับให้คุณเลยนะ แล้วยังไงถึงโอเค แต่ถ้ามันปรับมากไปงั้นตรงนี้ไหม ผมเชื่อว่าแต่อันนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันนะแต่ผมเชื่อว่าถ้าวันนึง

โอม: เดี๋ยวคิดว่าทะเลาะกัน

มาร์ค: เดี๋ยวคนคิดว่ามีปัญหา ถ้าวันนึงเรามีปัญหากันขึ้นมาจริงๆ ผมรู้สึกว่าเราจะคุยกันในเชิงนี้ คือการทำงานร่วมกันผมรู้สึกว่าวันนึงมันอาจจะมีปัญหาก็ได้ไม่แน่ชัดหรอก แต่ว่า ณ วันที่เกิดปัญหาแล้วนั่นคือสิ่งที่สำคัญมากกว่าเราสองคนแก้ไขปัญหาสิ่งนั้นยังไง เพราะว่าการทำงานพี่น้องยังทะเลาะกันได้เลยเกิดมาด้วยกัน การทำงานร่วมกันมันแบบ

โอม: สามีภรรยายังทะเลาะกันได้

มาร์ค: ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติมากๆ (โอมทำงานกับพี่มาร์คเป็นไงบ้าง)

โอม: โอมรู้สึกว่าเขาเป็นคนไม่หยุมหยิมซึ่งโอมชอบนะ โอมรู้สึกว่าภายนอกถึงโอมจะดูเป็นคนลั้ลลา ดูไปเรื่อย แต่โอมรู้สึกว่าพาร์ทของการทำงานเป็นคนที่ใจๆ แล้วก็แมนๆ เหมือนกัน มันคุยกันง่ายมากกว่ามันไม่ได้มีเหมือนหลายครั้งที่เราผ่านการทำงานมา มันจะมีคนที่แบบพูดไม่หมดพูดไม่จริงเม็ดเยอะ ซึ่งโอมรู้สึกว่าทั้งโอมและพี่มาร์คไม่เป็น ถ้าถามว่าจะทะเลาะกันเคยมีคนถามว่าคิดว่าทำงานกับพี่มาร์คจะทะเลาะกันไหม โอมก็ตอบไปอย่างเต็มปาเลยว่าไม่มี ไม่คิดว่ามีเหตุผลที่จะทะเลาะกันได้เลยนึกออกปะ เรื่องผิดใจมันอาจจะมีอยู่แล้ว แต่คิดว่าคุยได้แน่นอนโอมเชื่อว่าอย่างนั้น

มาร์ค ภาคิน - โอม ฐิภากร
มาร์ค ภาคิน – โอม ฐิภากร

อะไรที่ทำให้รู้สึกว่าคลิ๊กกัน ?

มาร์ค: เราไม่มีอีโก้ซึ่งกันและกันผมว่านี่คือสิ่งสำคัญเลย เราไม่มีอีโก้ซึ่งกันและกันแล้วเราไม่รู้สึกว่าเราต้องชิงดีชิงเด่นกันและกัน ผมว่าแค่นั้นก็พอแล้วนะการทำงานคู่ แล้วเรามีเป้าหมายเดียวกันว่าเราจะเอาอะไรจากงานนี้ ว่าเราจะเอาอะไรจากสิ่งนี้มันก็เลยรู้สึกว่า ถ้าเป้าหมายเดียวกัน ถ้าเป้าหมายมันยังอยู่ที่เดียวกันอยู่เสมอไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่เราจะปรับเข้าหากันเอง ถ้าเรายังมีเป้าหมายนั้นอยู่

โอม: ในฐานะพาร์ทเนอร์มันไม่มีเหตุผลที่เราจะต้องอิจฉาเขา กดหัวเขาหรือว่าหนึ่งคือมันทำให้เราเองไม่มีความสุขด้วยทั้งที่เขาอาจจะไม่อะไรกับเราเลย สองคือมันไม่ใช่บรรยากาศการทำงานที่ดีสำหรับผมนะ แล้วผมรู้สึกว่าโอมโต โอมกับพี่มาร์คโตเกินกว่าจะตีกับเรื่องไร้สาระเรื่อง emotional อะไรแบบนั้นแล้ว

มาร์ค: ถ้าในเรื่องจริงจังเราพยายามคุยว่า สมมุติว่าเหตุการณ์นี้เรา 2 คนคิดเห็นยังไง ถ้าสมมุติว่าโอมคิดยังไง พี่คิดยังไง ยกตัวอย่างสักหนึ่งเหตุการณ์สมมุติว่าเหตุการณ์บ้านเมืองสักหนึ่งเหตุการณ์คิดเห็นฝั่งไหน คิดเห็นแบบไหน ซึ่งจริงๆ เราจะไปในทางเดียวกันซะมากกว่า ซะมากเลย แทบทั้งหมดเลยเพราะว่าเราจะมองเป็นกลางมากๆ หมายถึงว่าเข้าใจในความมนุษย์ของแต่ละอย่างที่มันจะเกิดขึ้น มันก็เลยเป็นอะไรที่มันก็ทำให้การทำงานมันเลยง่ายด้วย ไม่คิดเล็กคิดน้อยเรา 2 คน ไม่คิดเล็กคิดน้อยใส่กันและกัน  

ผลงานที่ต้องรับบทนำสร้างความกดดันไหม ?

มาร์ค: เป็นสิ่งที่กดดันมาก แล้วก็หลายคนผมเชื่อว่าคาดหวังแน่นอนจะบอกว่าไม่คาดหวังเป็นไปไม่ได้ ตัวผมเองทำงานผมก็คาดหวังในผลงานของผม คือมันคิดฟุ้งซ่านเลยช่วงแรกที่แบบ การที่เราโผล่มาแว๊บๆ แล้วคนชอบบอกว่าการที่มาร์คออกมานิดนึง มันเหมือนทำให้เราจดจำเขาจังเลย มาร์ค ภาคิน เราจดจำเขาจังเลย ไม่ว่าตัวเขาจะอยู่ในตัวละครไหนก็แล้วแต่ แต่พอมันไปเป็นนักแสดงนำ กลัวมันแค่กลัวว่าเขาจะอยากดูเราไหมนะ หรือเขาแค่อยากดูเราโผล่ๆ ออก โผล่ๆ ออกๆ ในซีนแค่นั้น ถ้าเราต้องอยู่ทุกๆ ซีน อยู่ทุกๆ อีพีล่ะ เขาจะอยากดูเราอยู่ไหม มันก็คิดได้หลายแง่มุมมากๆ เลย มันฟุ้งไปหมดเลยสุดท้ายก็กลับมาที่ว่าเราก็ทำเหมือนเดิม ทำเหมือนที่เราทำมาทั้งหมด ต่อให้คนจะไม่อยากดูมันก็คือสิทธิ์ที่เขาจะตัดสินใจไม่ดูเรา เราก็ทำเต็มที่เหมือนเดิมที่ผ่านมาในพาร์ทของเราที่เราต้องรับผิดชอบในการแสดงของเรา เราก็ทำมันให้เต็มที่เหมือนเดิมแค่นั้น (ไม่เอามากดดันตัวเอง) ช่วงแรกเอามากดดันตัวเอง แต่พอรู้สึกว่าจริงๆ เราเคยสนุกแล้วฟีลกับมันมากนิการแสดงที่เราชอบมัน อย่าทำให้มันหายไป อย่าทำเพื่อคาดหวังจะเอาอะไร อย่างทำเพื่อให้คนอื่นสมดังปรารถนาที่เขาหวัง ไม่ได้ทำตามความหวังคนอื่น เราทำตามความสนุกที่เราได้แสดงของเราเหมือนเดิม เขาจะชอบไม่ชอบเรื่องของเขาแล้วทำอะไรไม่ได้ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่ถูกใจก็คือไม่ถูกใจ ยังไงเราทำอะไรไปเขาก็ไม่ถูกใจถ้าเขาจะไม่ถูกใจเรา (น้องโอมล่ะ)

โอม: ถามว่ากดดันไหมตอบว่าไม่ใช่เลยก็ไม่ถูก เพราะว่าถ้าเราจะไม่จริงจังกับมัน มันคือการดูถูกโอกาสที่ได้มา เหมือนเราฉีกหน้าผู้ใหญ่ด้วยที่เขาให้โอกาสเรามาแล้ว ถามว่ากดดันไหมกดดันแต่ว่าความกดดันนั้นเองมันก็ช่วยผลักดันให้เราพยายามให้เต็มที่ที่สุด เหมือนที่บอกไปสัมภาษณ์หลายๆ ที่ว่าโอมไม่รู้หรอกว่าทำได้ดีแค่ไหน ที่เล่นออกไปแต่ว่าไม่มีคิวไหนเลยที่กลับมาแล้ว รู้สึกว่าอยากกลับไปถ่ายไหมจังไม่มีสักคิวเลย

มาร์ค ภาคิน - โอม ฐิภากร
มาร์ค ภาคิน – โอม ฐิภากร

ภาพของ “มาร์ค-โอม” ชัดเจนขึ้นไหม ?

มาร์ค: ผมคิดว่ามันชัดขึ้นนะ ผมรู้สึกว่าผมมองเป็นอะไรที่มันแบบเป็นก้อนกลมๆ ที่มีเป็นรอยยิ้มในความเป็นเราทั้งคู่ เวลาคนอื่นน่าจะมองเห็นในแบบนั้น มันเป็น 2 คนที่เอ็นจอยในความสุข ในแบบสิ่งที่ตัวเองจะรู้สึกว่ามีความสุข ไม่จำเป็นต้องเห็นเราคู่กันตลอดนะ หมายถึงว่าเราสามารถจอยกับทุกสิ่งที่เราจะมีความสุขได้ อยากให้มาร์คโอมเป็นตัวแทนของรอยยิ้ม นึกถึงเรามีแต่รอยยิ้ม ความสดใส ความเสียงหัวเราะ หรือความน่ารักอะไรก็ได้ผมรู้สึกว่าผมอยากแทนตัวเองเป็นสิ่งนี้ของคู่เรา

โอม: แทนด้วยความสุขนึกออกปะ โอมรู้สึกว่าเสน่ห์ของมาร์ค โอม มันไม่ได้อยู่ที่ visual ไม่ได้อยู่ที่ปัจจัยภายนอก มันคือความเป็นมาร์คกับโอม ที่โอมรู้สึกว่าคนแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ แล้วบังเอิญที่เรา 2 คน ที่เป็นคนเหมือนๆ กันมาอยู่ด้วยกัน โอมรู้สึกว่าคนที่ติดตามเราหรือว่าคนที่ชื่นชอบพวกเราจะได้เอนเนอร์จี้ที่ดีไป ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเพราะว่ารู้สึกว่ามันมีแบบ personal , perfusion อะไรสักอย่างที่เป็นความมาร์ค โอม ที่แบบดี จะเป็นเอนเนอร์จี้ที่ทุกคนอยู่ด้วยแล้วไม่รู้สึกว่า

มาร์ค: จะทุกข์ ไม่ได้อยากให้รู้สึกทุกข์ มันเหมือนซีรีส์เรื่องนี้ที่เรารู้สึกว่าเรา represent ความเป็น romantic therapy ก็อยากให้มาร์คโอมเป็นความ therapy ของทุกคน ไม่ว่าจะบุคลิกของพวกเรา 2 คน หรือ mindset ของพวกเราทั้ง 2 คน ที่อยากให้ฮีลใจทุกคนจริงๆ อยากให้เราเป็นตัวแทนในการเหนื่อยจังไปหามาร์คโอมดีกว่า เครียดจังดูมาร์คโอมดีกว่า อยากให้เป็นแค่นั้นเลย ไม่ต้องรักพวกเราก็ได้ไม่ต้องติดตามพวกเราอะไรก็ได้ แต่ว่าถ้าคุณเหนื่อยให้นึกถึงเราก็ได้เราจะ therapy พวกคน (พื้นที่ความสบายใจ) อยากเป็นพื้นที่ความสบายใจให้ทุกคนแค่นั้นเลย

โอม: เหมือนทุกอย่างที่เราทำ งานที่เราทำ เราไม่ได้คาดหวังจะ ไม่ได้คาดหวังอะไรจากคนดูว่าต้องขึ้นเทรนด์ทวิตอันดับ 1 ของโลก ไม่ได้จะต้อง engagement ดีมาก ขึ้นอันดับ 1 แค่เราในฐานะนักแสดง อยากให้คนดูมีความสุขกับการทำการแสดงของเรา

เป้าหมายของทั้งคู่หลังจากนี้ ?

มาร์ค: ถ้าในการทำงานร่วมกันผมคิดว่าในพาร์ทการแสดงก็คงอยากได้ซีรีส์ที่มันเป็นอีกชองค์นึง

โอม: ดราม่า

มาร์ค: เป็นดราม่าอาจจะเป็นการชาเลนจ์ในการแสดงของพวกเราทั้ง 2 คน อีกรอบนึง แล้วก็ถ้าในพาร์ทอื่นๆ ก็จริงๆ ก็มีด้านร้องเพลง หรือด้านเพลง ด้านเต้น มันมีหลายอย่างที่ที่เรา 2 คน ถ้าอย่างเดียวที่เราทำคือการแสดงที่เราได้ร่วมงานกัน แต่หลายๆ อย่างอย่างอื่นยังไม่ได้ลองทำอะไรด้วยกันเลย มันมีอีกหลายอย่างมากที่ไม่ได้ทำด้วยกัน ผมว่าเยอะมากเราไม่รู้ว่าเรา 2 คน จะชอบสิ่งไหนเหมือนกันด้วยหรือเปล่า

โอม: รู้สึกว่าเราต้อง explore ไปเรื่อยๆ เพราะว่าเหมือนวิธีการดำเนินชีวิตของพวกเรา 2 คน มันค่อนข้างต่างกันโอมดำเนินด้วย logic เขาดำเนินด้วย sense ก็ต้องมาดูว่า 2 สิ่งนี้มันจะมา merge กันจุดไหนแล้วก็ยังไง มันก็เหมือนเราก็ต้องคอยเรียนรู้กับทุกคนไปด้วย เหมือนที่ทุกคนเรียนรู้เราเราก็ต้องเรียนรู้กันเอง เรียนรู้ไปพร้อมกับทุกคนใน journey นี้

มาร์ค ภาคิน - โอม ฐิภากร
มาร์ค ภาคิน – โอม ฐิภากร

เดินมาถึงตรงนี้แล้วอยากขอบคุณอะไรตัวเองบ้าง ?

มาร์ค: ผมเป็นคนที่ผมท้อนะ ผมท้อบ่อยมาก ร้องไห้บ่อยมากรู้สึกว่าล้มเหลวก็บ่อยนะ ในสิ่งที่เราลองทำอะไรก็แล้วแต่ แต่ผมแบบขอบคุณที่ไม่ยอมแพ้เลย คือท้อผมก็พัก ร้องไห้ผมก็พัก พักก่อน แต่อย่ายอมแพ้ ขอบคุณที่ตัวเองสู้มาจนถึงทุกวันนี้แล้วสิ่งที่เราทำมามันเริ่มกำลังจะตอบแทนเราแล้วนะ ทุกวันนี้มันก็โอเคแล้ว แล้วก็ทุกๆ วันนี้มันก็เหนื่อยน้อยลงแล้ว อยากขอบคุณตัวเอง ณ วันนั้นที่ไม่รู้ผ่านมาได้ไงเหมือนกันนะ ช่วงแรกๆ ที่เข้ามาที่นี่เหนื่อยมาก ทำหลายๆ อย่างมาก แล้วก็แต่มันไม่มีคำว่ายอมแพ้ในหัวเลยนะ ดีเหมือนกันขอบคุณตัวเองที่ไม่คิดถึงคำว่ายอมแพ้เลยที่สู้กับอะไรก็ไม่รู้ ที่สู้กับในสิ่งที่ไม่รู้ว่าทุกคนจะชอบในความเป็นเราหรือเปล่า ที่คนเห็นว่าเป็นมาร์ค ภาคิน ที่ทุกคนเห็นทั้งหมดเราทำไปด้วยที่ไม่รู้ว่าทุกคนจะเอ็นดูไอคนนี้ป่าววะ

โอม: ก็มีคนไม่ชอบอยู่นะ

มาร์ค: ข้างๆ นี่หรอ จะมีคนที่ไม่เข้าใจเราป่าววะ ทุกวันนี้มันก็มันตอบแล้วว่ามันก็มีคนชอบแหละ แต่มันมีคนไม่ชอบก็มีแหละผมเชื่ออย่างนั้น แต่ก็ขอบคุณทั้งตัวเอง แล้วก็คนที่รับในความเป็นมาร์ค ภาคิน ได้ละกัน ขอบคุณมากๆ ครับ มันไม่มีคำว่ายอมแพ้ในหัวผมเลย แต่มันก็ไม่รู้ว่าเราทำไปเพื่ออะไรด้วย มันแค่ต้องทำต้องทำ มันถอยไม่ได้ต้องทำไป ทำๆ ไม่รู้ ทำไปด้วยความไม่รู้เลย ไม่รู้ใดๆ ทั้งสิ้นว่าแบบ ณ วันนี้ทุกคนจะรู้จักมาร์ค ภาคิน ในเวอร์ชั่นแบบนี้ แล้วจะชื่นชอบเราในแบบนี้ได้

โอม: ถ้าจะขอบคุณสักหนึ่งอย่างก็ขอบคุณที่อย่างน้อยเป็นคนที่เห็น เป็นคนที่มองโลกในแง่ดีละก็เห็น possibility กับทุกอย่างในชีวิตตัวเองได้ เพราะโอมรู้สึกว่าสิ่งนี้มันดูเป็นสิ่งที่เบสิค แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเก็ทความรู้สึกนี้มันเป็นแบบไหน ซึ่งมันทำให้โอมเป็นคนที่มีพลังในการใช้ชีวิต เป็นคนที่มีความสุขกับทุกคนทั้งตัวเอง และคนรอบข้าง แต่ในขณะเดียวกันไม่ได้อยากหยุดพัฒนาตัวเองได้เหมือนกัน ซึ่งโอมก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่ต้องขอบคุณตัวเองที่อดทนได้เพราะว่าชีวิตนี้โอมไม่ได้ achieve เยอะอะไรขนาดนั้นนึกออกปะ ก็ยังพูดไม่ได้ แต่ไม่แน่ในอีก 3-5 ปี โอมจะมาพูดใหม่ก็ได้ใครจะไปรู้

ฝากติดตามซีรีส์ของเราทั้งคู่หน่อย ?

มาร์ค/โอม: ฝากซีรีส์เรื่องแฟนที่ทันตแพทย์ส่วนใหญ่แนะนำ Sweet Tooth, Good Dentist ด้วยนะครับผม ทุกวันศุกร์ เวลา 20.30 น. ทางช่อง GMM25 ครับ และรับชมออนไลน์นะครับเวลา 21.30 น. ที่แอป iQIYI หรือ iQ.com ที่เดียวเท่านั้นนะครับ

สั่งชาเขียวหวานน้อย ทำไมได้น้ำเปล่ากลับมา

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ (Strictly Necessary Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้มีความสำคัญต่อการปฏิบัติการของเว็บไซต์ feedforfuture.co ซึ่งจะช่วยให้ท่านสามารถเข้าถึงข้อมูลและเนื้อหาต่างๆ ของเว็บไซต์เราได้ทุกส่วน โดยเฉพาะส่วนสมาชิกผู้ใช้งานของเว็บไซต์ ตลอดจนการตรวจสอบจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา

  • คุกกี้ด้านประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลทางสถิติเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน เพื่อวิเคราะห์ และช่วยให้เราทราบถึงพฤติกรรมการใช้งาน ซึ่งจะช่วยปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการใช้งานบนเว็บไซต์ของเรา

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาเข้ากับกลุ่มเป้าหมาย (Targeting Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้ในการบันทึก และจดจำคุณลักษณะต่างๆ ที่ท่านได้เลือกขณะเข้าชมเว็บไซต์ของเรา เช่น หมวดหมู่ และเนื้อหาที่ท่านชอบอ่านมากที่สุด เราจะบันทึกข้อมูลเหล่านี้ และนำกลับมาใช้เมื่อท่านกลับเข้ามาที่เว็บไซต์ของเราอีกครั้ง เพื่อปรับให้ท่านได้รับชมเนื้อหาได้ตรงกับความชอบของท่านให้มากที่สุด

  • คุกกี้เพื่อนำเสนอโฆษณาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย (Advertising Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้เพื่อจดจำพฤติกรรมการอ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์ของท่าน รวมถึงรายละเอียดของอุปกรณ์ที่ท่านใช้ เพื่อนำไปใช้วิเคราะห์การนำเสนอโฆษณาที่เหมาะสมกับท่านมากที่สุด และช่วยวัดความมีประสิทธิผลของโฆษณาที่เรานำเสนอด้วย ตลอดจนช่วยป้องกัน หรือจำกัดจำนวนครั้งที่ท่านจะเห็นโฆษณาเดิมซ้ำๆ

บันทึก