5-6 ปี บนเส้นทางวงการบันเทิงของ “จอส เวอาห์” และ “กวิน แคสกี้” โอกาสที่ได้รับในฐานะนักแสดง การทำงานที่คลิ๊กกันง่ายโดยใช้ภาษาเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ และผลงานซีรีส์คู่กันครั้งแรกใน My Golden Blood เลือดนายลมหายใจฉัน ออนแอร์ทุกวันพุธ เวลา 20:30 น. ทางช่อง GMM25 และดูออนไลน์ เวลา 21:30 น. บนแอป iQIYI
FEED พาไปรู้จัก “จอส-กวิน” ให้มากขึ้น ผ่านบทสัมภาษณ์ที่ทำให้เห็นอีกหนึ่งมุมมองการใช้ชีวิตของเขาทั้งคู่ รวมถึงเส้นทางการเติบโตหลังจากนี้

จอส-กวิน: สวัสดีครับ จอส เวอาห์ ครับ ฟลุ๊ค กวิน นะครับ
ระยะเวลาปีกว่าของซีรีส์ได้เวลาออนแล้วเป็นไงบ้าง ?
จอส: ก็โล่งในแง่ที่ว่าเราได้ทำทุกอย่างที่เราควรจะทำ ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่เริ่มการที่ได้รู้จักกัน ไปแฮงค์เอาท์ด้วยกันมากขึ้น แล้วก็รอบทมาเอาไป Develop ได้ถ่ายจนจบ ตอนนี้ก็แค่เหลือแค่ว่าโพสโปรดักชั่น
กวิน: ก็รู้สึกดีใจ finally ถ่ายเสร็จแล้ว ผมก็รอดูอยู่เหมือนกันครับ รอดูเหมือนคนดูทุกคนเลยครับ อยากดูเหมือนกันออกมาเป็นยังไงครับ
ก่อนหน้านี้ในค่ายก็แทบไม่ได้ร่วมงานกันเลย ?
กวิน: ต้องบอกว่าไม่ได้ร่วมงานกันเลยครับ ผมอาจจะมีไปร้องซีรีส์ของจอสที่ตอนนั้นเล่น แต่ว่านอกนั้นก็จะเจอกันไป outing อาจจะมีเจอตอนผมไปเรียนร้องเพลง แล้วเขาเรียนกับครูคนเดียวกันเจอกันบ้าง เจอกันที่ตึก แต่ส่วนใหญ่ก็ประมาณนี้ครับ แล้วก็มีเล่นบาสก็ยังไม่เคยเล่นด้วยกัน
จอส: ไม่เคยได้มีโอกาสจะทำความรู้จักกัน
พอต้องมาทำงานร่วมกันเป็นไงบ้าง ?
จอส: เราว่าสิ่งหนี่งถ้าเราต้องเล่นซีรีส์วาย สิ่งหนึ่งที่เรารู้เลยว่าต้องเจอคือเราจะต้องออกไปทำงาน ออกไปอยู่กับเขา อยู่กับพาร์ทเนอร์ของเราเยอะมาก ในกรณีที่สมมุติว่าซีรีส์มันมีกระแสขึ้นมาแล้วเราต้องไปทำงานด้วยกัน แฟนมีตต่างๆ ถ้าเราคุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่จูนกัน หรือว่า worst case แบบไม่ชอบหน้ากัน ผมว่าแย่ ไม่แย่หรอกมันก็จะเหนื่อย
กวิน: ผมรออยากไปต่างประเทศด้วยกันครับ ก็ไปทำงานด้วยแล้วก็หาโอกาสเที่ยวต่างประเทศกันด้วยครับ
ต้องสนิทใจกันขนาดไหนพอต้องมาเป็นพาร์ทเนอร์กัน ?
กวิน: ผมก็รู้สึกว่าก็เล่าปัญหาชีวิต มีปัญหาอะไรก็คุยกันได้นะครับ
จอส: process มันเหมือนก็เป็นการทำความรู้จักกันไปเรื่อยๆ มันเหมือนกับผมก็ไม่อยากพูดว่ามันเหมือน arrange marriage ที่จับมาชนกัน มันเหมือนโดนจับ เพราะว่าคนเขาก็จิ้นกันก่อนที่เราจะมีซีรีส์อีก ซึ่งอันนี้ผมบอกตรงๆ มันเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับผมมากๆ ในช่วงแรกๆ ที่เห็นซีรีส์วายใช่ไหมครับ เพราะว่าเหมือนเราเล่นซีรีส์กับคนมันก็จบ อย่างผมกับพี่นุ่นเขาก็มีไปทำงานร่วมกันบ้าง แต่ว่าในของซีรีส์วาย community กับตัวแฟนด้อมมันใหญ่มาก ซึ่งเราก็โชคดีที่มีโอกาสได้เห็นเพื่อนๆ แล้วเราก็เรียนรู้ว่ามันเป็นอย่างนี้นะ มันก็เลยรู้สึกว่ามันก็ต้องใช้เวลาปรับตัวนิดนึงครับ
จอสเป็นซีรีส์วายเรื่องแรก กวินมีไกด์อะไรให้ไหม ?
กวิน: ผมเป็นอาจารย์จอส เป็นรุ่นพี่นะครับเนี่ย
จอส: ไม่เกี่ยวเลยพี่ผมว่ามันก็
กวิน: อยู่ที่แอคติ้งครับตอนนี้
จอส: อยู่ที่การแสดงแต่ว่าผมว่าถ้าในเซ้นต์ที่เหมือนกับถ้าเป็นรุ่นพี่เขาควรจะรู้ว่าควรจะต้องทำอะไรยังไง ผมว่ามันก็ไม่เชิงนะ เพราะว่าเขาก็เขาเป็นคนชิลๆ อยู่แล้ว แล้วเป็นเราสะมากกว่าที่แบบว่า คือผมสองคนก็ไม่ค่อยได้โพสต์อะไรเยอะอยู่แล้ว เป็นคนค่อนข้างแบบให้ความสำคัญกับเรื่องส่วนตัว แต่ก็เราต้องทำความเข้าใจว่าตัวแฟนคลับเขาก็อยากจะเห็นเราเยอะๆ เราก็ต้องหาจุดที่เราสบายใจที่จะโพสต์ด้วย มันก็ยังเป็นชาเลนจ์ของพวกเราสองคน
กวิน: ยังหากันอยู่
จอส: เพราะเราอยู่ด้วยกันบ่อยมาก แต่บางทีมันไม่ได้มีโมเมนต์อยากจะถ่ายอะพี่ ผมรู้สึกว่าแบบเราไม่ใช่คนขี้อวด มันเหมือนอวดแฟน อวดอะไรแบบนี้
กวิน: ผมว่าเราต้องไปหากล้อง จะทำอะไรต้องหากล้องไปติดตรงมุม จะเล่นบาสอะตั้งถ่ายไว้เลย หรือมีโดรนบินตาม
จอส: ถ้ามันเป็นรูปที่ออกมาที่เราโพสต์ไปคือ สำหรับส่วนตัวที่ผมโพสต์คือบางทีมันเป็นโมเมนต์ที่เรารู้สึกแฮปปี้จริงๆ แล้วเราอยากแชร์
ก่อนร่วมงานมี Deep Talk กันบ่อยไหม ?
จอส: ถามว่าต้องไหมมันไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าเราก็คุยกันบ่อย เราคุยถึงเรื่องอนาคตของพวกเรา แล้วก็โอกาสที่เราได้รับมา รวมถึงสิ่งที่เป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นกับพวกเรา ก็คุยกันเยอะพอสมควร เพราะว่ามันมีเวลานานกว่าซีรีส์ เกือบสองปีครับ มันก็ทำให้มีเวลาได้คุยเรื่องทั้ง Small Talk พอหลังๆ ก็เริ่ม Deep Talk ก็ไปเรื่อยๆ มันก็เปิดประเด็นมา
กวิน: ก็ผมรู้สึกพอคุยกัน Deep Talk พอคุยกันในเรื่อง direction เรื่องงาน เรื่องซีรีส์ว่าเราจะไปทางไหน ผมรู้สึกว่าพอมันพอคุยกันรู้เรื่องมันก็ดีครับในทางที่เราไปในทาง direction เดียวกัน มันไม่ได้ไปแบบคนละทาง มันคุยกันรู้เรื่องครับ ก็รู้สึกว่าพอมันไปทางเดียวกันมันก็สามารถที่จะเรียนรู้อะไร ว่าต้องทำอะไรในอนาคตมันก็สามารถจะเรียนรู้ไปได้เรื่อยๆ ครับ ตอนนี้เรากำลังหาเวของเราเองว่าจะเป็นยังไง
จอส: คลิ๊กกันง่ายครับ เพราะว่าหนึ่งเลยเรามีตัวบาสเกสบอล กับภาษาอังกฤษเป็นตัวเชื่อม ผมเองก็เป็นคนที่เลือกชอบที่จะพูดภาษาอังกฤษมากกว่า รู้สึกว่าชอบตัวเองที่พูดภาษาอังกฤษมากกว่า เหมือนเราอาจจะได้ personality อะไรหลายๆ อย่างมาจากหนัง หรือซีรีส์ตัวละครที่เราชอบ แต่ภาษาไทยผมอาจจะในชีวิตประจำวันถ้าอยู่คนเดียวใช้น้อยมาก หมายถึงว่าเราดู youtube เราดู social media เราดูคอนเทนต์อะไรต่างๆ ส่วนใหญ่จะเป็นภาษาอังกฤษหมดเลย เพราะว่าเราดู NBA เราดู podcast อะไรพวกนี้ครับ ก็มีของไทยบ้างแต่น้อย
ภาษาไทยเราก็แข็งแรงมากนะ ?
จอส: จริงๆ เป็นภาษาหลักครับ บางทีมันก็
กวิน: เป็นภาษาหลักแต่ก็เหมือนกันที่ผมดูอะไร ฟังเพลง ดูหนังก็ภาษาอังกฤษเหมือนกัน
จอส: ผมว่าอีกอย่างนึงคือภาษาอังกฤษ อันนี้ส่วนตัวความคิดของผมผมรู้สึกว่าภาษาอังกฤษมันจะมีความที่จะเล่นมุข ชิลได้น้อยกว่า เราอาจจะซึมซับพวกมุขต่างประเทศมาเยอะ เราชอบดู stand-up comedy เราชอบดูหนังตลกที่มันใช้คำพูด ผมรู้สึกว่าในตัวของเรื่องมุขไทยเราอาจจะไม่ค่อยเก็ทมากเท่าไหร่ คนนึงที่ชอบมากก็คือพี่โน้ส อุดม ซึ่งเขาก็เก่ง เขาเป็นคนที่เก่งเรื่อง story telling มากๆ ผมก็รู้สึกว่าชื่นชมเขา แล้วก็ชอบเขามากๆ ผมรู้สึกว่าเขาสามารถ เหมือนพี่โน้สเขาสามารถพูดเรื่องที่ ถ้าย้อนกลับไปดูพี่โน้สนะครับ ตอนที่เขาพูดถึงเรื่องที่มันตลกที่เราหัวเราะกัน ลองไปดูมันเป็นเรื่องแย่ๆ มากที่เกิดในชีวิตเขา พี่โน้สเขาผ่านอะไรมาเยอะมาก ชีวิตตั้งแต่อยู่กับคุณแม่ คุณพ่อไม่อยู่ต้องไปอยู่กับญาติ ลำบากเลยอะ แต่เขาสามารถเอามาเล่าให้เราฟัง แล้วเราหัวเราะขำกลิ้งเลยแล้วเขาก็สามารถหัวเราะกับมันได้ ผมว่ามันเป็นสิ่งที่วิเศษมากๆ แล้วถ้าเราหัวเราะกับเรื่องแย่ๆ ของเราได้ ผมว่าเราสามารถก้าวผ่านไปได้

คิดว่าเคมีอะไรไปทัชใจแฟนๆ ?
จอส: ผมไม่ทราบเหมือนกัน แต่คิดว่าเป็นเกิดจากที่ออดิชั่นมากกว่า ตอนที่เรามาออดิชั่นเรื่อง My Golden Blood ที่เรามีบทตัวของมาร์ค ซึ่งเป็นแวมไพร์ กับตองที่เป็นมนุษย์มีเลือดสีทอง ผมว่ามันเกิดจากตรงนั้นมากกว่าที่ตัวผู้กำกับ ตัวทีมงาน ได้มีโอกาสลองอะไรหลายๆ อย่าง แล้วก็เห็นพวกเราสองคนว่ามันเหมาะที่จะเป็นมาร์คกับตอง เพราะว่าตอนแรกเราก็ไม่คิดว่าเราจะคู่กัน เพราะว่ามันก็ดูไม่ ดูแปลกๆ เหมือนกัน หมายถึงว่าแปลกในเซ้นต์ที่ว่าเราก็มีความคล้าย สูง ผิวแทน
กวิน: หลายคนชอบบอกว่าไทป์คล้ายๆ กัน
จอส: ดูเป็นฝรั่งอะไรแบบนี้ อันนี้ฝรั่งจริง อันนี้ฝรั่งคนไทยที่เป็นฝรั่งเฉยๆ
กวิน: แต่ก็น่าจะจุดเริ่มมันก็คงมาจากทีเซอร์อย่างนั้นแหละครับ
จอส: พอไปถ่ายทีเซอร์เราเองก็ เราไม่รู้เราทำงานหมายถึงว่าเป็นนักแสดง ณ ซีนนั้น อีกอย่างคือตอนออดิชั่น ตอนที่เข้าซีนกันอันนั้นเรารู้สึกว่ามันมีเมจิกโมเมนต์ คำว่าเมจิกโมเมนต์สำหรับผมคือตอนนั้นเราเห็นความรู้สึกมันมา เรามี emotion ซึ่งเราก็ส่วนใหญ่คือแบบการออดิชั่น เรามาแค่บทหน้าเดียว ไม่ได้ทำการบ้านไม่ได้อะไรเลย ก็ไม่คิดว่ามันจะทำให้เรารู้สึกอะไรแบบนี้
กวิน: มันเป็นซีนที่เหมือนเราเขาจะไป แล้วเราไม่อยากให้เขาไป ผมก็ไม่รู้ผมก็อธิบายไม่ได้เหมือนกันตอนนั้นยังไง แต่พอเล่นไปแล้วมันเราก็รู้สึกครับแค่นี้เลยว่าเรารู้สึก มองตาเขา มองหน้าเขา เล่นแล้วรู้สึกก็โอเคนฌน็น้ฯวเนฌโฯนเ
ได้กลิ่นความแมสของคู่เราไหม ?
จอส: ถามว่าเราก็อยากให้มันประสบความสำเร็จแน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่าเรื่องจะประสบความสำเร็จแค่ไหน จะแมสหรือเปล่ามันนอกเหนือความสามารถของพวกเรา
กวิน: เหนือการควบคุม
จอส: แล้วแต่บุญ
กวิน: แมสก็ดีครับ
จอส: แต่ผมว่าพวกเราก็คิดว่าพวกเราก็ทำบุญนะ ผมก็คิดว่าผมเป็นคนที่มีบุญเยอะ
กวิน: ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ทำบุญด้วย
จอส: เป็นคนจิตใจดี
กวิน: ขอยืมหน่อยละกัน
จอส: เดี๋ยวให้ยืม ก็รู้สึกว่าถ้าคนเขาชอบก็คงดี
กี่ปีแล้วกับการทำงานในวงการนี้ ?
กวิน: 6-7 ปี
จอส: ถ้าการแสดงก็ประมาณ 5-6 ปีแล้วครับ
กวิน: รู้สึกว่าเราก็ค่อนข้างจะเขาเรียกว่าอะไร จำได้ว่าเรื่องแรกมาถ่ายแล้วอยู่หน้ากล้องแล้วสั่น ซีนแรกตอนนั้นต่อยพี่เตมั้ง พี่เต ตะวัน ซีนแรกที่ผมจำได้เลย แล้วก็รู้สึกว่าเราก็ถ้ามองย้อนกลับไปก็รู้สึกว่าเราพัฒนามาเยอะในด้านที่เราอยู่ในกล้องแล้วเราสามารถใจเย็นๆ เราเป็นตัวเอง เราไม่ใจเต้นตอนกล้องถ่าย ผมว่าเทียบกับตอนนั้นแล้วก็รู้สึกพอใจ ก็เห็นมันพัฒนาไปเรื่อยๆ ครับ ก็จะพยายามพัฒนาไปเรื่อยๆ อีกครับ ให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ
จอส: สำหรับคนที่ใช้คำว่าโชคดีได้มีโอกาสมาทำการแสดง โดยที่ไม่คิดมาก่อนว่าจะได้มาเป็นนักแสดง ไม่คิดมาก่อนว่าจะได้ทำงานในวงการบันเทิง แล้วก็มองตัวเองเป็นเด็กคนนึงที่ชอบเล่นกีฬา มีวินัยในการออกกำลังกาย วินัยในการทำอย่างอื่นไม่มีเลย แต่เราก็อย่างน้อยที่รู้ว่าได้รับโอกาสที่ดีจากผู้ใหญ่ เราก็ทำให้มันเต็มที่ ผมก็จะพูดช่วงแรกๆ เลยว่าผมไม่กล้าพูดว่าผมชอบ หรือรักการแสดง ก็รู้ว่ามันสนุกดีแต่ว่าเราก็ทำเต็มที่ เพราะรู้สึกว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ไม่ใช่ว่าใครก็มีได้ แต่มาตอนนี้มันผ่านมา 5 ปีแล้ว ผมรู้สึกว่าเราเริ่มเก็ทแล้ว เราเริ่มสนุกกับมัน เราเริ่มรักการแสดงจริงๆ แล้ว ซึ่งเรารู้สึกว่าที่ผ่านมาเรามัวแต่สนใจอย่างอื่น เราไม่ได้สนใจตัวเราเอง เราไม่เข้าใจตัวเองเลย คือมีความรู้สึกนู่นนี่นั่นแต่ไม่เคยมานั่งแบบ break down ว่าทำไมว่าเราถึงเป็นอย่างนี้ ตอนเด็กๆ เราเป็นยังไง เราโตมายังไง ผมว่ามันสำคัญมากๆ เลยสำหรับการแสดง แล้วก็ในฐานะมนุษย์คนนึงที่แบบได้ศึกษาตัวเอง แล้วก็คนรอบข้างอะไรแบบนี้ครับ ก็เลยรู้สึกว่าเราเริ่มเก่งขึ้นแล้ว เราเริ่มรู้สึกว่ามันยังไปได้อีกเยอะ ก็รู้สึกว่า 5 ปี เมื่อก่อนเราจะคิดว่า 5 ปีนาน แต่ผมรู้สึกว่า 5 ปีน้อยมาก กับรุ่นพี่ที่เขาผ่านอะไรกันมาเยอะ เขายังมันเป็นอะไรที่เราเรียนรู้ได้ตลอดเลยครับ มันไม่จำเป็นว่า 5 ปี ไม่ได้แปลว่าคุณเก่งแล้วแต่คน มันเป็นการเดินทางของตัวจอสเองในฐานะมนุษย์คนนึง แล้วก็ในฐานะนักแสดงด้วยที่สามารถใส่โขน ใส่หน้ากาก เพื่อไปเป็นอีกคนนึงได้ ก็รู้สึกว่ายังมีโอกาสอีกเยอะ แล้วก็ยังดีใจที่ตัวค่ายยังให้โอกาสเราอยูให้ opportunity เราในการแสดงโปรเจกต์ใหญ่ๆ แล้วก็รู้สึกว่าตอนนี้เรากล้าที่จะพูดแล้วว่าเราเป็นนักแสดงเต็มตัว รู้สึกว่าสนุกดี แล้วก็ยังมีอีกหลายบทบาทที่เราอยากจะแสดงก็ตื่นเต้นครับ ยังมีไฟอยู่ แล้วก็ไฟเยอะกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ค้นพบแล้วว่าตัวเราเองก็รักในพาร์ทของการแสดง ?
จอส: ก็รู้สึกว่าตอนแรกทำไปเพราะรู้สึกว่ามันเป็นโอกาสที่ดี แล้วก็สนุกไหมมันไม่สนุก เพราะว่าช่วงแรกๆ บอกตรงๆ ว่าไม่สนุก เพราะว่าโดนดุแล้วก็ใจสั่นอย่างที่บอก ต้องเปลี่ยนไมค์เพราะว่าใจเต้นแรงมาก แล้วเรารู้สึกว่าเราไม่ชอบเป็นตัวถ่วงกับคนอื่น แต่เราเป็นหลีดที่เล่นไม่ได้ แล้วทุกคนก็ต้องรอเราเราก็รู้สึกมีช่วงที่เหมือนเป็นเด็กไม่อยากไปโรงเรียน โทรนอยด์กับพ่อ จอสไปทำงานกับพ่อดีไหม หรือว่าไปหางานอย่างอื่นดีกว่าไหม เพราะว่าเรารู้สึกว่าเราทำได้ไม่ดีเลย เราอาจจะไม่เหมาะกับตรงนี้หรือเปล่า แต่ก็คนรอบข้างผมก็ซัพพอร์ตผมมาตลอด แล้วก็เชื่อในตัวผม ผมก็เลยรู้สึกว่าเราก็ต้องทำให้เต็มที่ก่อน จนถึงทุกวันนี้เราก็มีความมั่นใจในตัวเองระดับนึงในเรื่องการแสดง แล้วก็รวมถึงตัวเราเองด้วย ช่วงแรกๆ ในวงการเราอาจจะได้คำแนะนำจากคนนู้นคนนี้ที่เขาหวังดี ที่อาจจะเขาอาจจะมองเราเป็นแบบนึงครับ แล้วเรารู้สึกเราต้องฟีลตรงนั้น ไม่อย่างนั้นจะทำให้เขาผิดหวังเพราะเขาเชื่อในตัวเราใช่ไหมครับ แต่กลายเป็นว่าผมไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง กลายเป็นว่าผมเก็บไว้คนเดียวแล้วผมก็ทุกข์ จนเราเริ่มเข้าใจแล้วว่าเราต้องรักตัวเอง แล้วก็เป็นตัวเองของเราจริงๆ ถึงแม้ว่าในด้านไม่ดีก็ตาม เราก็ต้องยอมรับมันให้ได้ แล้วเราก็พยายามพัฒนาแก้ไขไปเรื่อยๆ แล้วก็ให้ดีกว่าเมื่อวาน ก็รู้สึกว่าผ่านช่วงนั้นมาได้ก็แฮปปี้ขึ้นเยอะ

จัดการชีวิตเก่งขึ้นไหม ?
จอส: มันก็เจอเรื่องแย่ๆ ครับ พอเรื่องแย่ๆ แล้วผมโชคดีมีคนรอบข้างที่เขาคอยซัพพอร์ตให้กำลังใจ เราก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าเราอยู่คนเดียว แล้วก็มีผู้ใหญ่คุณพ่อ คุณแม่ หรือว่าเพื่อนสนิทที่โตกว่าที่เขาผ่านชีวิตมาแล้ว เขาก็บอกบางทีปัญหาแค่นี้ยูอาจจะมองว่ามันใหญ่นะ แต่ว่าโอเคมันอาจจะใหญ่สำหรับยูในวันนี้ ในอนาคตต่อไปยูจะย้อนกลับมาแล้วก็จะบอกตัวเองว่าหัวเราะกับมันได้ เหมือนที่พี่โน้ตทำ
กวินเป็นไงบ้างกับการทำงาน ?
กวิน: ผมรู้สึกเอ็นจอยกับแอคติ้งเยอะกว่าเดิม เยอะมากเลยครับ จากเมื่อก่อนตอนเด็กๆ ผมดูหนัง ดูซีรีส์ ก็ดูเพราะความสนุก ดูเพราะว่าเราชอบอยู่แล้วแต่ดูมาอยู่แล้วครับ พอเราได้มาทำงานตรงนี้ ซีรีส์ที่เราเคยดู หนังที่เราเคยดูมันไม่เหมือนเดิมครับ พอเราไปดูแล้วเราไม่ได้ดูในฐานะคนดูที่มาดูเอา entertain เฉยๆ เราดูในฐานะของแบบนักแสดงที่อยากได้สกิล หรืออยากได้อะไรจากหนังเรื่องนี้ด้วย เพราะฉะนั้นเราก็จะค่อนข้าง เดี๋ยวนี้เริ่มเลือกเยอะครับพอจะดูหนัง ผมกลายเป็นคนแบบดูหนังยากแล้ว ต้องไปดูรีวิวว่ามันดีหรือเปล่า ดูอันนี้จะเสียเวลาไหมแต่ก็ยังชอบดูหนังเยอะอยู่ครับ แต่จะ picky มากๆ ในหนังที่เราจะดู เราดูแล้วเราต้องได้อะไรสักอย่างครับ ถ้าดูแล้วไม่มีประโยชน์เราไม่ดูครับ มันจะกลายเป็นอย่างนี้แทนแล้วครับ แต่มันก็โอเค
จอส: มีอะไรเป็นเกณฑ์ที่ยูอะไรเป็นเกณฑ์เรื่องนี้ฉันว่าดูแล้ว
กวิน: หลายอย่างเอาหลักๆ ก็ดูแอคติ้งครับ เพราะเราก็ไม่ใช่มีหน้าที่ต้องไปเซ็ตฉาก ต้องไปอะไรอยู่แล้วอันนั้นนอกเหนือนหน้าที่เรา แต่เราหลักๆ
จอส: นักแสดงที่ชอบ
กวิน: ดูแอคติ้งของนักแสดงที่เราชอบ หรือว่าแอคติ้งที่มันดีๆ อะไรอย่างนี้ที่สามารถเอามาใช้ได้ ผมก็ตอนนี้ก็มีหลายเรื่องเลยครับ หนังพวกที่ได้ออสการ์ ได้รางวัลผมมีช่วงนึงผมไปไล่ดูตั้งแต่ปีนู้น ไล่ดู Best Picture แล้วก็อาจจะมีเรื่องอื่นที่มันเป็น Best Actor , Best Actress ผมพยายามไล่ดู แม้แต่เรื่องที่ nominees ก็ดูครับ ไม่ใช่เรื่องที่ได้รางวัลอย่างเดียว
ค้นพบอะไรในความรู้สึกที่ไม่คิดว่าตัวเองจะมีความสามารถด้านนี้อยู่ ?
กวิน: ตอนเด็กๆ ผมเป็นเด็กขี้อายมากครับ อยู่บนสเตจผมไม่เอาเลย ผมเคยขึ้นไปเล่นกองบนเวทีตอนมหาลัย แล้วแบบก้มหน้าก้มตาเล่นไม่ดูคนดู รู้สึกตื่นเต้น ก้มหน้าเล่นอย่างเดียว ตีให้มันดังๆ จบแล้วก็เดินลง แต่ตอนนี้พอเข้ามาแรกๆ ก็เป็นอย่างนั้นอยู่เหมือนกันครับ แต่พอมันเราทำไปเยอะขึ้นเรื่อยๆ เราเจอคนเยอะขึ้น เราเจอสเตจเราได้มีโอกาสได้ไปร้องเพลงบนเวที ผมว่าทำไปเยอะๆ เราก็จะเริ่มเรียนรู้ที่จะเขาเรียกว่าอะไรไม่แคร์ อย่าไปแคร์เยอะในเรื่องของคนดูจะคิดอะไร ผมรู้สึกว่าตรงนั้นมันช่วยเยอะครับ พอเราเหมือนอย่าไปสนใจคนดูเยอะมาก เราเป็นเรา เราอยู่ในโมเมนต์มันก็รู้สึกตอนนี้ดีขึ้นจากเมื่อก่อนครับ เราก็เริ่มที่จะชอบมันแล้ว ดนตรีก็เหมือนหนังเลยครับ ผมก็ฟังตั้งแต่ยุค 60 50 จนมายุคนี้ครับ ก็ฟังหมดเลยก็รู้สึกว่าชอบทุกแนวเลยครับ แนวแต่ละแนวก็จะมีวงที่เราชอบอยู่
ถ้าเลือกได้ระหว่างนักแสดง กับศิลปิน ?
กวิน: ผมว่าอันดับ 1 passion จริงๆ ของผมน่าจะดนตรีอยู่แล้วครับ แต่ว่าอันดับ 2 ก็ให้การแสดงเหมือนกันครับ ผมว่ามันก็เป็นอะไรที่ไปคู่กันได้ครับ
จอส: ต้องขอบคุณ GMMTV นี่แหละครับ
กวิน: ขอบคุณครับ
จอส: ที่ทำให้รู้ว่ามันเป็นไปได้ เพราะว่าผมก็คิดว่านักร้องคือจะส่วนนักร้องเลย นักแสดงก็ส่วนนักแสดงเลย
กวิน: MC ก็ MC ก็รู้สึกว่ามันก็เป็นไปได้
ตอนนี้ถ้าขึ้นแฟนคอนก็พร้อมแล้ว ?
จอส: เห็นเพื่อนขึ้นแฟนคอนเยอะมาก เวลาของเรามันใกล้มาละ (เริ่มซึมซับจากกวินหรือยัง) ใช้คำว่าพอเรารู้ว่าเรามีโอกาสได้เล่นซีรีส์นี้ครับ แล้วเราก็รู้ว่ามันทำให้เกิดโอกาส Possibilities ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นจากที่เราเห็นจากเพื่อนๆ เราก็รู้ว่าโอเคเราจะถ่วงกวินไม่ได้ละ ไม่อยากเป็นตัวถ่วงเขาเพราะว่าผมร้องเพลงไม่ได้ เต้นได้นิดหน่อย ซึ่งเราก็เลยไปเรียนเพิ่ม
กวิน: ถ่อมตัวอยู่

จอส: เรารู้สึกว่าเราผมอาจจะไม่ใช่นักร้อง แต่ผมรู้ว่าจริงๆ แล้วเราก็มีความเป็น Entertainer เหมือนกัน ซึ่งพอย้อนกลับมาโอกาสที่จะได้ไปเป็นแฟนมีต ไปเจอแฟนคลับ ไปเจอต่างประเทศอะไรต่างๆ ผมก็รู้สึกว่าเราทำได้ เราไม่เคยคิดมาก่อนว่าเราจะมีโอกาสได้ไปยืนบนเวที ร้องเพลงให้คนอื่นฟัง เพราะว่าเราไม่ได้เราร้องเพลงคนเดียวร้องเพลงเพื่อผม ร้องในห้องน้ำ แต่ว่าเราก็รู้สึกว่าทุกอย่างมันเรียนได้หมด มันก็เหมือนการออกกำลังกายถ้าเราอยู่กับมันเยอะๆ มันก็จะดีขึ้น แล้วก็รวมถึงตัวเขาเองที่กวินเองที่ผมก็ชื่นชมอยู่แล้ว เพราะว่าเขาร้องเพลงเพราะมาก ได้มีโอกาสเข้าเห็นเขาร้องเพลง ได้เห็นโอกาสเขาอยู่บนเวที เราก็รู้สึกว่าถ้าวันนึงเรามีโอกาสได้ขึ้นไปอยู่ร้องเพลงกับเขา เราก็ไม่อยากทำให้เราไม่อยากถ่วงเขา มันเป็นนิสัยผมอยู่แล้ว ผมก็ตั้งใจไปเรียน ไปร้องเพลง Put ตัวเองเพื่อที่จะได้หนึ่งก็คือ โอเคได้พิสูจน์ตัวเอง ถ้าเราอยากจะทำอะไรสักอย่างเราทำได้แค่ต้องใช้เวลา กับสองคือตัวแฟนคลับของจอส กวิน ที่เขาตั้งหน้าตั้งตารอเรา รอเจอเราไม่ว่าจะเป็นในประเทศไทย หรือว่าต่างประเทศถ้าเขาได้เจอเราแล้วผมมีโอกาสได้ไปอยู่บนเวที เพอร์ฟอร์มให้เขาผมอยากให้เขาได้มีประสบการณ์ที่เขาจะไม่ลืม แล้วเราอย่างน้อยคือเราได้ทำเต็มที่ เราก็จะรู้สึกว่ามันคุ้มค่ากับที่เขาเสียเวลา แล้วก็เสียเงินมาหาเรา
พอตอนนี้ได้มาลองทำเกิดเป็นความชอบหรือยัง ?
จอส: อันนี้ยังพูดไม่ได้ เพราะว่ายังไม่เคยขึ้น ขึ้นไปแล้วๆ STARLYMPICS ก็สนุก
กวิน: อันนี้ยังเขาเรียกว่าน้ำจิ้ม
จอส: ก็บอกตรงๆ ตื่นเต้นมาก คิดอะไรไม่ออกมองหน้าไอนี่ไว้ก่อน มันเป็นเซฟโซนของผมไง ก็ช่วยจริงๆ ก็สนุกครับสนุกมาก แล้วรู้สึกว่าร้องเพลงยังเรียนได้อีก ยังอีกไกลแต่ก็รู้สึกเป็นน้ำจิ้มที่ตื่นเต้น แล้วก็รู้สึกว่าเราเอ็นจอยแล้วก็เราจะทำให้มันเจ๋งเลย
กวิน: ผมก็บางทีก็มีตื่นเต้นเหมือนกันครับบนเวที แต่ว่าผมเคยไปเล่นงานผมจำไม่ได้ว่างานอะไร แต่เขามีนักดนตรีอยู่ข้างหลังด้วยน่าจะมิวสิคคอนมั้ง แล้วผมรู้สึกว่าตื่นเต้นแล้วนักดนตรีข้างหลังเขาก็บอกว่า ถ้าตื่นเต้นไม่ต้องทำไรแค่หันมามองพวกนักดนตรี ฟีลเหมือนตอนที่ซ้อมด้วยกัน หันไป communicate กันมันจะช่วยครับ หันไปหาคู่ที่เราเพอร์ฟอร์มด้วยไม่ว่าจะเป็นนักดนตรี หรือว่าตอน STARLYMPICS ตอนไหนก็หันไปหาเขา เพราะว่ายังไงคนดูก็อยากเห็นอย่างนั้นอยู่แล้วด้วยใช่ไหมครับ เราทำแล้วมันก็เราก็รู้สึกว่าเชฟด้วย
จอส: แต่ว่าในอนาคตเราคงอยากจะส่วนตัวผมผมว่ากวินก็คงอยากแหละ เพราะว่าเราก็อยากที่จะคอนเนคกับแฟน หมายถึงว่าอย่างที่มองหาเขา มองข้างนอก มอง audience ผมชอบเวลาร้องเพลงชอบหลับตา ก็เลยในอนาคต เพราะว่าสำหรับผมมันคือการสื่อสารใช่ไหมครับ ร้องเพลงไปสื่อสารอะไรบางอย่างกับเขาผ่านเพลง ผ่านเสียงเพลง ผ่านคำร้อง ถ้าเราคอนเนคกับคนดูได้เหมือนครูเคยบอกว่าบางทีถ้าอินเนอร์ยูเหมือนมันว่างเปล่า ยูก็ไปร้องเพลงอย่างเดียวคนเขาก็จะสื่อไม่ได้ แต่ถ้าสมมุติว่ายูสามารถคอนเนคสิ่งที่ยูอยากจะสื่อกับคนดูได้จริงๆ ว่าอินเนอร์เมสเสจยูอยากจะส่งอะไร ผ่านสายตา ผ่านเสียงอะไรต่างๆ มันก็ผมว่าอันนั้นสิ่งที่จะ separate คนทั่วไปกับศิลปิน กับตัว entertainer จริงๆ เพราะว่าต้องการสื่อสารความรู้สึกให้เขารู้สึกร่วมไปกับเรา อันนี้ผมว่าเป็นเป้าหมายหลักของผมเลยที่จะต้องทำให้ได้ ซึ่งต่อให้ร้องเพลงเพราะแค่ไหนมันก็ไม่เกี่ยว ซึ่งอันนี้มันอาจจะต้องเป็นเรื่องของ reputation ที่เราจะต้องไปเจอประสบการณ์ แล้วก็พยายามที่จะคอนเนคกับเขา แต่ว่าต้องอยู่ในใจของเราก่อนว่าเรามาเพื่อที่จะคอนเนคกับเขานะ ไม่ใช่แค่ร้องเพลงให้เขาฟัง เพราะว่าผมว่าแฟนคลับเขาคงไม่ได้อยากมาดูเราร้องเพลงอย่างเดียว เรามาดู interact กับเขา เรามาสร้างประสบการณ์ร่วมกัน ว่าคืนนี้เรามาสนุกด้วยกันนะผ่านเสียงเพลง ผ่านการพูดคุยต่างๆ เพราะว่าผมไม่มีทางร้องเพลงเพราะได้ เป็นนักร้องแน่นอนอันนี้เรารู้เพราะว่าผมไม่อยากดูถูกคนที่เขาร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก เหมือนนี่เขาอาจจะร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก แต่เราเพิ่งมาซ้อมตอนนี้ ตอนผมเล่นบาสเราเราเพิ่งเล่นกีฬาใหม่ๆ เราจะไปเก่งโปรมันก็เป็นไปไม่ได้ ก็อาจจะต้องเป็น element อย่างอื่นมากกว่า ผมก็เลยไปเรียนเต้นเพิ่มอย่างน้อยก็ร้องไม่ได้ เต้นก็ได้วะ entertain เอาก็ได้
กวิน: ผมรู้สึกว่าการร้องเพลง จริงๆ แล้วไม่ใช่โฟกัสหลักของผมครับ ที่ชอบจริงๆ คือผมชอบดนตรีรัวๆ ผมชอบเล่นกลอง เล่นเครื่องดนตรีอะไรอย่างนี้ครับ อยากจะที่ผ่านมาก็อาจจะเห็นผมร้องเพลงอย่างเดียว แต่ว่าในอนาคตผมถ้ามีแฟนมีต คอนเสิร์ต หรือมีอะไรก็แล้วแต่ผมก็อยากจะเอาเครื่องดนตรีไปเล่นด้วยครับ ตอนนี้ก็ฝึกทรัมเป็ต เปียโน คีย์บอร์ด กีตาร์ เบส กลอง ฝึกให้หมดเลยฝึกไปให้หมดเลย เป็น one man band
จอส: ผมก็ไปเต้นแดนซ์เซอร์
อุปสรรคของการทำงานของทั้งคู่มีบ้างไหม ?
กวิน: ผมไม่ค่อยไม่ค่อยเล่นโซเชียลละกันครับ อันนี้ก็น่าจะเป็น ก็ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่เหมือนกัน ผมอาจจะเป็นปัจจุบันก็พยายามเล่นเยอะขึ้นครับแต่ว่าโดยธรรมชาติผมก็ไม่ได้โตมามาถึงมีมือถือเลย ก็อาจจะนิดนึงในการเขาเรียกว่าการ interact กับแฟนละกันครับ interact กับแฟนในประเทศไทย หรือว่าในโซเชียลมีเดียก็รู้สึกว่าควรจะเพิ่มขึ้นมานิดนึงครับ (การใช้ชีวิตยากไหม) การใช้ชีวิตก็ ผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรขนาดนั้นกับการใช้ชีวิตส่วนตัว ผมรู้สึกไม่ได้เป็นอุปสรรคในตอนนี้นะครับ ก็หวังว่าถ้าเกิดว่าเรื่องนี้มันดังขึ้นมาก็ไม่รู้ครับ แต่ตอนนี้ไม่มี ผมออกไปข้างนอกบางทีก็รู้สึกว่า มันตื่นเต้นนิดนึง ตื่นเต้นกว่าการอยู่บนเวทีนิดนึงบางที ด้วยความที่เราอาจจะบางทีเจอคนใหม่ๆ แล้วอาจจะ awkward นิดนึงอยู่แล้วครับ เวลาถ้าไปเจอคนมาทักเรา แต่ก็ดีใจนะถ้าไปข้างนอกแล้วมีคนจำเราได้ตื่นเต้น ดีใจอยู่แล้ว

ด้านจอสช่วงนึงต้องพักการแสดงมีปัญหาเรื่องตา ?
จอส: ไปใส่เลนส์ครับเพราะว่าสายตาสั้นมาก แล้วก็ไปผ่าตัดใส่เลนส์เสริมเข้าไปตอนนี้โอเคแล้วครับ มีแค่ช่วง 2 อาทิตย์แรกครับ ที่ต้องเช็ดหน้าแล้วก็ห้ามโดนน้ำ แล้วก็ให้เวลากับการปรับตัวซึ่งอาจจะมีแค่ตอนกลางคืนที่มีแฟร์เยอะหน่อย แต่เราเองไม่ได้ขับรถเองอยู่แล้วก็เลยโอเค แล้วก็อาจจะมีข้อจำกัดบางอย่างที่ไม่สามารถทำได้ เช่น ต่อยมวย หรือเล่นกีฬาก็ต้องระวังไม่ให้โดนกระแทกโดนตา เพราะถ้าโดนแล้วโอกาสที่จะเลนส์จะเคลื่อน แล้วต้องไปผ่าตัดแล้วก็จะเป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นไปอีก
การเล่นกีฬาต้องลดลงไหม ?
จอส: เลิกชกมวยหมายถึงว่าเลิกลงนวมต่อยกับเพื่อนไปเลยกำลังเก่งเลย ผมว่าเป็นช่วงแรกๆ นอยด์เหมือนกัน เพราะรู้สึกว่าเราไปต่อย 10fight10 มาแล้วเรารู้สึกว่าเรา level up อีกอย่าง อีก level นึงเราก็อาจจะอยากไปต่อแล้ว แต่ก็ต้องหยุดไปแล้วก็โชคดีครับ เพราะว่าช่วงนั้นก็เป๋ไปช่วงนึงเพราะว่าตอนนั้นผมเลิกเล่นบาสไปแล้ว เพราะว่าเรารู้สึกว่าต่อยมวยมันสนุกกว่า แล้วก็อีกอย่างมันเป็นกีฬาที่เล่นคนเดียวได้ ซ้อมคนเดียวได้ง่ายกว่า แต่เล่นบาสต้องเล่นเป็นทีมก็มีช่วงนึงที่เลิกเล่นบาสไปเลย แล้วก็รู้สึกว่าพอมาคู่กับคนนี้แล้วก็มี STARLYMPICS เข้ามาก็รู้สึกทำให้เรากลับมารักกีฬาบาสอีกรอบนึง ช่วงปีที่แล้วกว่าจะเริ่มถ่ายช่วงนั้นก็ประมาณเดือน 8 แบบ 7 เดือนแรก คือผมเคว้งเลยเพราะว่าเราไม่รู้ ไม่มีเป้าหมายไม่รู้จะทำอะไร แต่พอมีกีฬาบาสเก็ตบอลแล้วก็ที่เรามีเป้าหมาย เราจะต้องแข่งได้ไปแข่งกับเขามันก็ทำให้เราแบบ ตื่นขึ้นมาทุกวันโอเควันนี้เราไปซ้อมบาส วันนี้เราเทรนนะเรามีแข่งทุกอาทิตย์ มันก็ทำให้ผมไม่เครียดครับเพราะว่าเรามีเป้าหมายอยู่ว่าเราอยากทำอะไร
การใช้ชีวิตท่ามกลางการโฟกัสของคนอื่นไม่ปัญหา ?
จอส: มันเอฟเฟกต์เราน้อยลงครับพูดอย่างนี้ดีกว่า ก็ยังมีอยู่เพราะจริงๆ แล้วลึกๆ ผมว่าผมเป็นคนอย่างนั้น ผมว่ามนุษย์ทุกคนก็อยากให้ทุกคนรัก แล้วก็เอ็นดูเราแต่ว่ามันเรารู้สึกว่าเดี๋ยวนี้ เรากล้าที่จะสู้เรากล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง จริงๆ แล้วตัวเราไม่ต้อง ถ้าสมมุติว่ามันจะมีคอมเมนต์อะไรแปลว่าเขาก็ไม่ได้รักในตัวตนของเราจริงๆ ซึ่งเราก็ต้องยอมรับว่าไม่ใช่ทุกคนบนโลกจะมารักเรา เราแคร์แค่คนรอบข้างที่เขารักเราก็พอ อะไรที่เป็นลบๆ เราก็ปล่อยวางไปดีกว่าเพราะว่าเราไปเสียเอนเนอร์จี้กับเขามันไม่ได้อะไรกลับมาเลย มันเสียเวลามากๆ ก็ต้องพยายามมองบวกเพราะว่าจริงๆ ตัวเองเป็นคนคิดเยอะ คิดอยู่ตลอด คิดๆๆ แต่พอรู้ว่าคิดเยอะแล้วมันก็ไม่ได้อะไร บางทีมันทำให้เราเสียเวลา เราเจอแต่เรื่องดีๆ เหมือนอย่างของผมจะเป็นอาจจะมีคนรอบข้างที่ไม่ได้สนิทกับเรามากอะไรอย่างนี้ หรือบางทีก็เป็นคนสนิทนี่แหละแต่ว่าเขาก็หวังดีกับเรา เขาคิดว่าแบบนี้ก็น่าจะดีกับเรา จริงๆ ผมก็เป็นเมื่อก่อนก็คิดว่าอันนี้น่าจะดีกับคนนี้ อันนี้น่าจะดีแบบนี้นะ ซึ่งสุดท้ายแล้วมันก็ไม่ดีเพราะว่าคนเรามันจะเปลี่ยนได้จริงๆ มันต้องเกิดจากตัวเองครับ เราไปบังคับเขาไม่ได้เราทำได้อย่างเดียว ก็คือเป็นตัวอย่างให้เขาก็ทำสิ่งที่เราทำไปหวังว่ามันจะ inspi เขา
การโคจรมาคู่กันครั้งแรกในซีรีส์ My Golden Blood เลือดนายลมหายใจฉัน
จอส: My Golden Blood เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กหนุ่มผู้มีเลือดพิเศษ ซึ่งมีเลือดสีทองซึ่งเป็นที่ต้องการของแวมไพร์ เป็นเลือดที่หายากแล้วก็เป็นเรื่องของระหว่างมนุษย์ที่มีเลือดสีทอง กับตัวผู้พิทักษ์เลือดสีทอง แวมไพร์ผู้พิทักษ์เลือดสีทองก็คือตัวมาร์ค ซึ่งเส้นเรื่องจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับว่าการที่ตัวมาร์คจะต้องมาปกป้องดูแลตอง รวมถึงการที่เขาได้เข้ามาทราบว่าบนโลกนี้มันไม่ได้มีแค่มนุษย์อย่างเดียวนะ มันมีแวมไพร์แอบแฝงอยู่ด้วยแล้วก็ตัวเขากำลังตกอยู่ในอันตราย ซึ่งโดยจะมีตัวมาร์คมาดูแล จริงๆ มาร์คดูแลตองมาตั้งแต่เกิดแล้ว แต่ว่าก็ไม่ได้แสดงตัวค่อยดูแลอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ แต่มันเกิดเรื่องขึ้นอย่างที่เขาบอก คือไปเจอกันที่โรงแรมแล้วทำให้เราเกิดปัญหาที่เราเลือดเขาออก แล้วทำให้มาร์คควบคุมตัวเองไม่อยู่ แล้วก็เผลอไปชิมเลือดสีทอง ทำให้ตัวมาร์คเองซึ่งเป็นแวมไพร์ที่ไม่มีความรู้สึก ไม่มีอะไรเลย ไม่มีความหมายในชีวิต ทำแค่หน้าที่ได้รับมอบหมายอย่างเดียวกลับมาเป็ฯมนุษย์มากขึ้น เริ่มมีความรู้สึกเริ่มมีอารมณ์ เริ่มมีความรัก จนทำให้เขาต้องตัดสินใจว่าระหว่างหน้าที่ที่เขาจะต้องทำ ก็คือต้องปกป้องคนที่เขารักด้วย กับความรู้สึกตัวเองที่กำลังเป็นมนุษย์ที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน เขาจะต้องทำยังไงดีแล้วสุดท้ายจะมี conflict ที่ว่าตัวเขาเองที่ตกอยู่ในอันตราย แล้วเราเองจะต้องทำยังไง ปกป้องเขาหรือว่าทำตามหน้าที่ หรือว่าต้องฆ่าเขาอะไรแบบนี้ครับ ความรักต้องห้าม ใช่แต่สุดท้ายก็คือมันจะเป็นเรื่องเส้นระหว่างความรักของเราสองคน ซึ่งมันดูอาจจะเป็นไปไม่ได้เพราะว่าเขาเป็นเลือดที่ทรงพลังที่แวมไพร์ต้องการ เราเป็นแวมไพร์ที่ต้องปกป้องเขาแต่สุดท้ายแล้วเขาจะต้องถูกฆ่าอีกหรือเปล่า

ความยากของตัวละคร ?
จอส: คิดว่าความยากหนึ่งก็คือด้วยที่เขาอายุเยอะ แล้วก็ความต้องมีวุฒิภาวะ ความนิ่ง รวมถึงความอยาก ความกระหายต่างๆ ที่จะต้องมีเยอะมากขึ้นข้างในแต่เราต้องนิ่ง ต้องมาแสดงออกมันออกมา แล้วก็ในช่วงหลังๆ ที่มีเรื่องการได้รู้สึกอะไรใหม่ๆ อย่างเช่นเราไม่เคยได้รู้สึกอุณหภูมิมาก่อน อยู่ดีๆ หนาวอยู่ดีๆ ร้อน อยู่ดีๆ เป็นไข้ การได้ลิ้มรสอาหารครั้งแรก การที่ได้ดมกลิ่นได้กลิ่นเขา เราชอบกลิ่นเขามากชอบกลิ่นตอง
กวิน: กลิ่นอะไรกวินหรอ
จอส: แล้วก็รวมถึงอีกเรื่องความสัมพันธ์ของตัวผมกับพี่อุ๋ม อาภาศิริ ซึ่งรับบทเป็น ธาร่า เป็นบอสเป็นแวมไพร์ของคนที่เปลี่ยนเราให้เป็นแวมไพร์ แล้วก็เราก็จะเป็นเหมือนผู้พิทักษ์เป็น guardians ของเขา ผมรู้สึกว่าซีรีส์เรื่องนี้มันค่อนข้างที่จะมีแบบ ใช้คำอะไรซีนที่แบบว่าเรารักกันแล้วแฟนเซอร์วิสหรอ เป็นซีนที่แบบว่าจีบกัน
กวิน: จิ้นๆ
จอส: ซึ่งผมไม่เคยจีบต่อนหน้ากล้องเยอะขนาดนี้มาก่อน แล้วก็ในเวของที่มาร์คเขาจะต้องอ่อย หรือว่าจีบคนนี้มันก็รู้สึกว่ามันเป็นซีนที่เราไม่ทำ มันไกลตัวเรามากกูไม่ทำแน่นอนแบบนี้ มันแบบทำไมคลั่งรักจังวะ
กวิน: คนเขาเลยอยากดูเขาไม่เคยเห็นไม่เคยเห็นคุณทำ
จอส: ใช่ คุณจะเห็นผมตกหลุมรักแบบหัวปักหัวปำ แล้วก็อะไรนะ logic หรือว่าเหตุและผล ปั้ง
กวิน: โยนข้ามกำแพงไปเลยครับ
จอส: แล้วก็ใช้แบบใช้ใจอย่างเดียว
กวิน: กลายเป็นพ่อหนุ่มบ้ารัก
จอส: เป็นหนุ่มบ้ารัก
กวิน: คลั่งรักๆ
จอส: คือถ้าผมรักคือผมแสดงออกโดยการผมดูแล ผม protect ผมพาเขาไปทำนู่นที่นี่แต่ว่าเราจะไม่เป็นคนมาอ้อนอะไรแบบนี้ ไม่ได้มีความแบบว่าแล้วก็ไม่มีทางใช้พูดคำพูดอะไรที่สองแง่สองง่าม มันก็นิดนึงอะพี่เหมือนคนมันเพิ่งเคยมีความรัก แล้วก็ตัวมาร์คเพิ่งเคยมีความรักแล้วก็แบบมีเขาเรียกว่าอะไร มันก็มีด้านที่โอเคมันมีด้านที่ก็มีบ้างที่แบบว่าเวลาเราอินเลิฟ เราก็จะมีอะไรคล้ายๆ กันบ้าง
กวิน: ดมเสื้อ
จอส: แต่ที่สำคัญที่สุดเลยไม่ๆ
กวิน: หอมว่ะ
จอส: แต่มันก็จะเป็นหน้าที่เราอาจจะเขินกับกล้อง ซึ่งเวลาในตอนที่ถ่ายผมก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ เพราะว่า ณ ตอนนั้นเราโฟกัสคิดว่าไม่มีอะไรอยู่มีแค่เราสองคน แต่ว่ามันไม่เกี่ยวกับซีรีส์ แต่จะไปอยู่ตาม TIKTOK Content ที่เราจะแบบ (พอมันจบแล้ว ทำให้เราเป็นคนโรแมนติกขึ้นไหม) ผมโรแมนติกอยู่แล้ว แต่แค่มันไม่เหมือนกัน แล้วก็ไม่มีใครมีโอกาสได้เห็นนี่จะเห็นบ้าง เพื่อนคนรอบตัวก็จะเห็นบ้าง เรารู้สึกว่าโรแมนติกมันไม่ใช่พูดยาก แล้วอีกอย่างนึงคือเวลาจีบกันภาษาไทยเรารู้สึกแปลกๆ เราไม่เก่งเลยเรื่องนี้แบบจีบเป็นภาษาไทย การที่จะพูดให้คนเขินเป็นภาษาไทย เราไม่อินกับหนังรักไทย
กวิน: พูดประมาณว่าเขินตัวเองอะไรอย่างนี้หรอ
จอส: คิดถึงคุณจังเลย มีอยู่คำนึงที่ทำแบบนี้แล้วถ้าผมอดใจไม่ไหวขึ้นมาจะทำยังไง เราก็ต้องไปคุยกับเขาแบบนี้ถ้าผมอดใจไม่ไหวจะทำยังไง (ผู้ถูกคลั่งรักเป็นไงบ้าง)
กวิน: พอเล่นในซีรีส์บางทีมันพอเห็นเขาเขินในการ ผมรู้ว่าเขาไม่อยากพูดคำนั้นเขาพูดแล้วเขาจะเขิน พอเล่นในซีนผมรู้พอเขาพูดออกมา ผมจะรู้สึกว่ายังไงมันจะรู้สึกยิ้มนิดนึง
จอส: ส่วนใหญ่มันจะเป็นคัทปุ๊ปเราก็จะยิ้มกันแบบ เพราะว่าบางทีต้องพูดแบบซีเรียส แต่พอพูดปุ้ปแล้วพอคัทปุ้ป
กวิน: ซึ่งพอมันอยู่ในซีนมันทำให้รู้สึกจริงๆ ผมว่ามันโอเค
จอส: ผมไม่ค่อยปากหวานครับในชีวิตจริงนะ มีหลุดกันบ้างไหมหรอไม่มีนะ ไม่มีหลุดขำไม่มีอะไรเลย เพราะตอนเล่นก็คืออินกับคาแรคเตอร์มาก หมายถึงว่าอาจจะมีตอนที่ซีนที่กุ๊กกิ๊กกันบนเตียง หมายถึงว่าจีบๆ แซวกันบนเตียงที่รู้สึกว่า เราไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลยในชีวิตจริงไม่เคย อย่างมากมันก็นอนกอดกัน หอมแก้ม มันไม่แบบเล่นหมอน จับนู่นจับนี่อะไรแบบนี้ มันมีความละครนิดนึงอะพี่
กวิน: มันก็แปลกใหม่ด้วยความที่มันก็คนละเคมี เล่นกับแต่ละคนมันก็คนละเคมีอยู่แล้วครับ ผมรู้สึกสบายใจในการที่มองหน้าเขา ในการที่แบบเราสามารถโดนตัวกันได้ ผมรู้สึกว่ามันโชคดีที่เรามีเวลามาทำความสนิทกันก่อนที่จะเข้าฉาก อันนี้มันช่วยมากเลยผมว่านะ พอเริ่มไว้ใจกันแล้วสบายใจกันแล้วที่ไม่รู้สึก awkward
จอส: ยังก็ฝากติดตามด้วยนะครับกับซีรีส์ของพวกเรานะครับ My Golden Blood เลือดนายลมหายใจฉัน นะครับ เป็นซีรีส์ความรักระหว่างแวมไพร์กับมนุษย์นะครับยังไงก็มาให้กำลังใจพวกเรากันด้วยนะครับ ดูได้ทางช่อง GMM25 นะครับ
กวิน: ครับผมทุกวันพุธนะครับ เวลา 20.30 น. เจอกันนะครับ