FEED ชวนทุกคนไปรู้จัก “ต้าห์อู๋ พิทยา แซ่ฉั่ว” และ “ออฟโรด กันตภณ จินดาทวีผล” ให้มากขึ้น ผ่านบทสัมภาษณ์ที่ได้เห็นมุมมองความคิด ทัศนคติของการทำงานในวงการบันเทิง รวมถึงการใช้ชีวิตของทั้งคู่ และผลงานล่าสุดในฐานะนักแสดงนำจาก “CENTURY OF LOVE ปาฏิหาริย์รักร้อยปี”
ต้าห์อู๋-ออฟโรด: สวัสดีครับ ต้าห์อู๋นะครับ ออฟโรดนะครับ พวกเรามาจากซีรีส์ CENTURY OF LOVE ครับ
การทํางานในรอบปีที่ผ่านมาเป็นไงบ้าง ?
ออฟโรด: ก็ในรอบปีที่ผ่านมารู้สึกว่าเราได้ก้าวผ่านสิ่งที่เราโตขึ้น เราได้เรียนรู้บทชีวิตใหม่เราได้เดินทางในเส้นทางที่มันเข้มข้นครับ ได้เจอกับคนใหม่ๆ ได้เจอกับผู้ใหญ่ได้เจอกับเพื่อนร่วมงานใหม่ๆ อะไรอย่างนี้ มันทําให้เราโตขึ้นเยอะมากๆ เลย
ต้าห์อู๋: สนุกครับ ชีวิตปีนี้ช่วงชีวิตปีนี้ก็ค่อนข้างวุ่นวาย ดี แต่ว่าก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทํางาน การใช้ชีวิต แนวคิดวิธีคิด ได้เจออะไรใหม่ๆ ค่อนข้างเยอะด้วยครับ
ความสุขในวันนี้ ของเราสองคนคืออะไร ?
ต้าห์อู๋: ผมว่าการที่เราได้เห็นของผมละกันนะ การได้เห็นแฟนคลับค่อยๆ ได้เห็นผลงานที่ผมทํามันออกมาในปีนี้ ได้เห็นเขาได้พูดถึงเราได้ได้รีแอคชั่นไปจากเราได้เห็นเขา อุ๊ยสนุกจังเอ้ยแบบนี้เหรอ เอ้ยอย่างงั้นเอ้ยอย่างนี้ ได้เห็นเราได้โตไปพร้อมกับแฟนคลับมัน แต่ว่าโปรเซสในในรอบนี้จะไม่เหมือนกันกับปีที่แล้วตรงที่ว่า ปีที่แล้วแล้วมันจะเห็นเหมือนพร้อมกัน แต่นี่จะเป็นเราเดินเขาเห็นเราเดินเขามาเราเดินเขาเห็น มันจะมีระยะเวลาการรอของมัน
ออฟโรด: ความสุขของผมเหรอครับ ความสุขของผมช่วงนี้ก็เราได้เห็นอย่างที่พี่อู๋บอกคือได้เห็นว่าแฟนคลับรอติดตามผลงานของพวกเรา แล้วก็ได้เห็นเราเติบโตขึ้นแล้วเราไม่ใช่แค่เขาเห็นเรานะ เราก็เห็นเขาเหมือนกันเติบโตบางคนก็แบบ พี่หนูจบแล้วนะบางคนเขาติดตามเรามาตั้งแต่แรกๆ ตั้งแต่เขายังเรียนอยู่ถึงตอนนี้เขาแบบเออเขาจบแล้วเขา หรือว่าเขาทํางานใหม่ เราได้มีก้าวหน้าไปด้วยกัน เราเติบโตไปด้วยกัน ผมรู้สึกว่านี่เป็นอีกแบบความสุขหนึ่งที่แบบเออว่ะ มันคือการความสุขของการให้กันและกันครับ
กว่าจะเป็น “ต้าห์อู๋-ออฟโรด” ในเวอร์ชั่นนี้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง ?
ออฟโรด: จริงๆ กรูมมิ่งของผมใน 3ปี ที่เริ่มทํางานเนี่ยครับก็ถือว่ากรูมมิ่งเยอะเลยครับ เพราะว่าสายงานที่ผมทําอยู่เนี่ยค่อนข้างที่จะคอนทราสกับสิ่งที่ผมเจอมาเลย ก็เป็นสิ่งใหม่เป็นน่านฟ้าใหม่ของผม เออผมแบบรู้สึกว่ามันเป็นความท้าทายแล้วก็ทําให้เราได้เติบโตกล้าที่จะเอ็กซ์โปรสิ่งใหม่ๆ แล้วก็ได้เข้าใจอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้นเรียนรู้กับกับคนได้ทํางานกับคนได้เรียนรู้โปรเซสการทํางานในด้านนี้ แล้วก็ที่สําคัญคือได้ได้เห็นความสุขของการแบบเราได้ให้กันและกัน มากๆ เลยมันมันเห็นเห็นได้ชัดเลยครับ
ต้าห์อู๋: ก็จริงๆผมว่าเราสองคนถูกกรูมมิ่งมาหลายอย่างเนอะ เราเริ่มจากรายการ LAZ iCON เลย เราถูกกรูมมิ่งมาด้วยเพื่อน แล้วก็รูปแบบของรายการจนกระทั่งเราได้ออกมาเป็นศิลปินเราก็จะถูกกรูมมิ่งด้วยการทํางาน โดยการเป็นนักร้อง วงการบันเทิงขั้นแรก แล้วก็วงการของการเป็นชีวิตศิลปินเนอะ ก็จะมีแฟนคลับที่คอยกรูมมิ่งเรามีโซเชียลมีสังคม สุดท้ายแล้วเรามาเป็นในด้านของนักแสดง มาปีนึงตรงนี้นะครับก็จะถูกกรูมมิ่งด้วยหลายๆ อย่างอีก ก็จะถูกกรูมมิ่งด้วยชีวิตของการเป็นนักแสดงในตึก วิธีการทํางานการเข้ามาเป็นศิลปินอย่างเต็มตัว ทั้งนักแสดงนักร้อง การใช้ชีวิตในสังคมการเป็นคนที่อยู่ในแสง ทุกอย่างการที่มาเป็นต้าห์อู๋ ออฟโรด วันนี้ แม้แต่ตัวพวกเราเองอ่ะครับ เราก็ผมว่ากว่าจําเป็นต้าห์อู๋ ออฟโรด มันผ่านการกรูมมิ่งมาอย่างหนัก ออฟโรดเองก็ต้องกรูมมิ่งตัวเองไม่ใช่แค่ภายนอก ส่วนใหญ่จะเป็นอินไซด์มากกว่ากับการที่จะต้องมาปรับตัวยังไงไม่ว่าจะเป็นทักษะต่างๆ หรือว่าระบบวิธีการคิด ตัวผมเองก็เหมือนกันสกิลในการทํางานมันก็ต้องถูกฝึกฝนมาเรื่อยๆ อยู่แล้ว แต่ที่มากกว่านั้นคือการการปรับมายเซ็ทการจูนกับมันอยู่กับมันในจุดที่แสงทุกแสงมันส่องมาถึงเรา ความเป็นต้าห์อู๋ ออฟโรด คนก็จะมองว่าเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ มันก็จะต้องผ่านมาในหลายกระบวนโปรเซสที่เราจะใช้ชีวิตยังไง ในการเป็นศิลปินกับคําว่าต้าห์อู๋ ออฟโรด ในสังคมในบริบทแบบนี้ มันก็จะต้องกรูมมิ่งทั้งความคิด ชุดความคิดวิธีการคิดมายเซ็ทอะไรต่างๆ ค่อนข้างเยอะมากๆ ครับ รวมถึงจริงๆ มันมีมุมมองอันนี้คือมุมมองสังคมต่อต้าห์อู๋ ออฟโรดใช่ไหม แต่มันก็มีมุมมองของอย่างช่องที่มองต่อต้าห์อู๋ ออฟโรด ณ วันหนึ่ง เขามองว่าเราเป็นศิลปิน ณ วันนี้เขาต้องการมองให้เราเป็นนักแสดง เพราะฉะนั้นก็จะมีหลายๆ คนหลายๆ expectation ที่ส่งตรงมาถึงเราสองคนแล้ว วันนี้ยูต้องเปลี่ยน ยูไม่ใช่ศิลปินแล้ว ยูเป็นนักแสดง และก็จะมี expectation มามันก็จะถูกตีมาด้วยทักษะที่ต้องเพิ่มขึ้น ชุดระเบียบความคิดวิธีการคิดนักแสดงก็จะมีวิธีการคิดที่ไม่เหมือนกับศิลปิน การที่จะบล็อกกิ้งตัวเองว่าจะทําไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันก็จะถูกกรูมมิ่งมาเยอะมากตลอดระยะเวลา 3-4 ปีนี้
ออฟโรด: ก่อนหน้านี้คือผมอาจจะแบบมาในอีกเส้นทางหนึ่งในเส้นทางของวิชาการมากๆ แล้วก็มาทําในสิ่งที่เราไม่ถนัดเลย ในเรื่องของการร้อง การเต้น การแสดง หรือว่างานในวงการ แล้วพอเราได้มาทางตรงนี้เรารู้สึกว่าเราได้กรูมมิ่งกับการเข้าสังคม ได้เจอผู้คนใหม่ๆ ได้เรียนรู้วิธีการพูด หรือว่าวิธีการที่แบบคิดในอีกฟีลหนึ่งอีกรูปแบบนึงนะครับ ก็ทําให้เราเติบโตขึ้นด้วย แล้วก็แรงกดดันแรงกดดันทําให้มันรู้สึกว่าเรารับแรงกดดันได้เยอะขึ้น เพราะเรามาในทําในสิ่งที่เราไม่เคยทําแล้วเรารู้สึกว่า เราจะต้องเจออะไรบ้างสุดท้ายแล้วเราสามารถขจัดความกดดันออกไปได้อาจจะไม่ได้ทั้งหมด แต่เรารู้สึกว่าเราจัดการได้ดีขึ้น เมเนจได้ดีขึ้นแล้วก็ทํางานกับคนอื่นได้ง่ายขึ้นครับ
ในมุมของ ‘ต้าห์อู๋’ มอง ‘ออฟโรด’ จากจุดเริ่มต้นวันแรก จนมาถึงตอนนี้เป็นยังไง ?
ต้าห์อู๋: คนละคน คนละแบบเลยดีกว่า ออฟโรดได้ใช้ชีวิตที่ดีขึ้นมาก ผมว่าไม่ใช่เรื่องของความมั่งคั่งหรือวิธีคิด สิ่งที่ผมดีใจกับน้องมากที่สุดคือวันแรกที่เจอกับวันนี้ที่เป็น วิธีคิดน้องเปลี่ยนไปเยอะ น้องมีวิธีคิดที่ค่อนข้างไม่เหมือนใคร ในวิธีการคิดระบบมายเซ็ท ผมรู้ว่าออฟโรดผ่านอะไรมา ทําไมต้องเป็นวิธีคิดแบบนั้นอันนี้เข้าใจได้ แต่ว่าก็จะเข้าใจอีกว่ามันเป็นชีวิตที่ไม่มีความสุขหาความสุขให้ตัวเองค่อนข้างยาก แม้แต่กับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็หาความสุขตัวเองไม่ได้ ได้แต่กับสิ่งใหญ่ๆ ทั้งนั้นและเขาเป็นคนที่ความสุขของเขาไม่ใช่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เลย ความสุขของเขาคือเป็นเรื่องใหญ่ทั้งนั้น มันเลยยากจริงๆ แล้วมันยากมากๆ ผมเคยเขาบอกว่าความสุขเล็กๆ ของเขาก็คือการอยู่ห้องเฉยๆ ไม่ใช่หรอก เพราะเขายังไม่เคยรู้เลยว่าจริงๆ ความสุขมันคืออะไรนะ ณ วันนั้น จริงๆ เห็นมาตั้งแต่เขาไม่มีตังค์ซื้อเกมอ่ะ จนตอนนี้เขาอยากจะซื้ออะไรเขาก็ซื้อได้ เขาจะซื้อนาฬิกาเป็นล้านเขาก็ซื้อได้ เขาจะซื้อกองทุนเล่นหุ้นเป็นล้านเขาก็ทําได้ ผมก็ได้เห็นเขามีความสุขมากขึ้นเยอะเลย ผมเองก็ได้เก็บเกี่ยวความสุขตรงนั้นจากเขามาเยอะเหมือนกัน ทุกวันนี้กินข้าวผมก็ให้เขาจ่ายตังค์ (หัวเราะ) มันก็มีความสุขเล็กน้อยของผมมาก ซึ่งมันกลายเป็นจริงๆ ผมตั้งใจทําอย่างนั้นแหละ มันเป็นเรื่องตลกเล็กๆ ในชีวิตที่ผมว่ามันทําให้เขามีความสุขได้
มันเป็นที่เราเคยคิดไหมว่าวันนึงจะเห็นภาพ ‘ออฟโรด’ ในเวอร์ชั่นนี้ ?
ต้าห์อู๋: ก็คิดแต่เหมือนหินที่ห่อไข่เอาไว้กระทุ้งไม่ออกต้องปาให้แตกอะไรอย่างนี้ ก็ค่อนข้างที่จะดีใจอ่ะวันนึงก็เห็นแหละ เคยคิดแหละว่าวันนึงจะต้องเขาคงจะต้องมีความสุข ถ้าเขาถึงไปถึงจุดนั้นได้
‘ออฟโรด’ บ้างจากวันนั้นถึงวันนี้ภาพ ‘ต้าห์อู๋’ เปลี่ยนไปยังไงบ้าง ?
ออฟโรด: ผมว่าเขาโตขึ้นเยอะในหลายๆ เรื่อง แล้วก็เขาสามารถคอนโทรลหมายถึงว่าสิ่งปัจจัยบางสิ่งที่แบบเขารู้สึกว่ามันไม่เป็นดั่งใจเขา หรือว่าอะไรเขาสามารถปล่อยวาง รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่เก่งอยู่แล้วรอบด้านแล้วเขาเก่งขึ้นไปอีก เขาเป็นคนที่ยังไงอ่ะ เขาเรียกว่ามีชุดความคิดที่โอเคเข้าใจเข้าใจสิ่งต่างๆ มากขึ้น คือเขาเป็น Perfectionist คนหนึ่ง แต่เขาสามารถที่จะโอเคเข้าใจ แล้วก็ปล่อยในสิ่งที่ให้มันเป็นไปควรจะเป็น คือทุกอย่างมันเพอร์เฟคอยู่แล้ว ยิ่งมีตรงนี้ไปอีกเขาก็ไปได้ไกลขึ้นอีกเยอะครับ
การใช้ชีวิตอยู่บนความคาดหวังของหลายๆ ส่วน เหนื่อยบ้างไหม ?
ออฟโรด: ผมกล้าพูดเลยว่า ผมว่าผมคาดหวังกับตัวเองมากๆ ผมไม่ได้โฟกัสความคาดหวังของคนอื่นเลย เข้าเข้าใจเข้าใจผมใช่ไหม ผมก็จะมีความคาดหวังของผม เขาให้อะไรผมมาผมอยากจะทําให้เต็มที่ ซึ่งผมก็จะมี Standard ของผมที่อยากทําให้ได้ แล้วเราก็จะรู้สึกว่าถ้าเราทําได้เรารู้สึกเราดีใจแล้ว เราไม่เอาความคาดหวังของคนอื่นมาว่าแบบจะต้องอย่างงู้นอย่างงี้อย่างงั้น แต่เรารู้สึกว่าเรามีความคาดหวังของผม พอเรามันไม่ได้อ่ะ เออมันก็จะมีความเฟลๆ ของเราเองบางทีเราอาจจะตั้งต่ำกว่าของเขา หรือเราอาจจะตั้งสูงกว่า ใช่ครับเป็นเรื่องๆ ไป
ต้าห์อู๋: มันไม่เหนื่อยหรอกครับ เพราะว่าทุกวันนี้ที่ทําอ่ะมันเป็นสิ่งที่เราต้องทําเรายังเลือกอะไรมากไม่ได้ เราเข้าใจว่าเวลาทําอะไรมันไม่มีใครมาทํางานกันฟรีๆ หรือว่าอะไรทุกๆ อย่าง มันมีหน้าที่ที่ส่วนตัวที่ต้องมารับผิดชอบ เพราะฉะนั้นเวลาเขายื่นอะไรมาให้เราเขาก็มีหน้าที่รับผิดชอบเรา เขาก็ต้องมีความคาดหวังกับเราเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจริงๆ ผมค่อนข้างที่ถ้าเป็นคนที่ร่วมงานกัน ผมจะเปลี่ยนแรงคาดหวัง แล้วมาเป็นกําลังกําลังของผมแล้วก็ จริงๆ ผมเองก็บอกว่าเป็นคนที่คาดหวังกับตัวเองสูงอยู่แล้ว ผมมีบรรทัดฐานแล้วก็มีสิ่งที่เอาไว้ทําให้ตัวเองพัฒนาค่อนข้างบาร์มันสูงมากๆ ในการจัสต์ตัวเอง แต่ว่าทุกวันนี้มันมันได้เรียนรู้ในการการปล่อยวางมากขึ้น เพราะว่าจริงๆ มันคาดหวังให้ดีได้แต่ว่าผมจะสโคปหลายๆ อย่าง เช่นยังมีเวลามากพอหรือเปล่า ปัจจัยภายนอกมันซัพพอร์ตหรือเปล่า มันก็เลยต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจความคาดหวังนั้นด้วย เพราะว่าเราเองเราก็ยังเคยคาดหวังกับหลายๆ สิ่ง แม้แต่เรายังคาดหวังกับตัวเอง เรายังคาดหวังกับคนอื่นอ่ะ เขายังทําให้เราได้ไม่ดีเลย เราคาดหวังกับโลกนี้กับหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง เรายังทําได้ไม่ดีเลยเพราะฉะนั้นผมก็ไม่ได้เคยไปตั้งความคาดหวังกับคนอื่น แต่เราเข้าใจในความคาดหวังที่มันตั้งเข้ามา และสิ่งที่ผมทําได้ดีที่สุดคือคาดหวังกับตัวเอง เราแค่รู้สึกว่าเราวางไว้สูงก่อนแหละ ทําได้แค่ไหนแค่นั้น ผมว่าหลังจากคาดหวังแล้วมันอยู่วิธีการรับมือนะว่า เวลาเราเจอกับความคาดหวังที่มันมาก ผลจะออกมาเป็นดีเป็นร้ายหรือว่าจะผิดหวังหรือจะเสียใจ มันอยู่ที่ว่าเราจะมองผลลัพธ์มันยังไง สมมติเราตั้งความคาดหวังไว้แล้วเราผิดหวัง เราจัดการกับมันยังไง ความผิดหวังนั้นมันอาจจะเป็นความประสบความสําเร็จของเราก็ได้ ถ้าเราคาดหวังไว้สูงเราก็ทํามันได้ดีพอ
การตั้งเป้าความสําเร็จในชีวิตของทั้งสองคนเป็นแบบไหน ?
ออฟโรด: จริงๆ เราก็ต้องเราต้องมีเป้าหมายอยู่แล้ว เป้าหมายหลักว่าเราอยากจะทําสิ่งนี้แต่ในระหว่างทางเราต้องมีเป้าหมายอื่นๆ ที่ต้องไปให้ถึง มันเหมือนเป็น subset อีกทีหนึ่งอยู่ข้างใน ซึ่งแต่ละอย่างคือผมเต็มที่กับมันหมดผมรู้สึกว่าผมโฟกัสที่ที่งานครับ คือเป้าหมายใหญ่อ่ะเข้าใจว่ามันมันคืออะไรเรารู้อยู่แล้ว แต่เป้าหมายสิ่งที่ทํามาเราเต็มที่กับมันแล้วมันจะนําพาไปสู่เป้าหมายใหญ่ตรงนั้นเอง ไม่ต้องคิดอะไรเยอะมากไปกว่านี้ ถ้าเรามีเป้าหมายใหญ่ที่แน่นอยู่แล้ว
ใช้ชีวิตเพื่อมุ่งหาความสําเร็จอย่างเดียวไหม ?
ออฟโรด: เมื่อก่อนใช่ครับ เมื่อก่อนใช่ แต่ทุกวันนี้พอมานั่งคิดกับตัวเองรู้สึกว่าผมแวะข้างทางเยอะขึ้น เออเดี๋ยวลองไปทํานู้นหน่อยอะไรที่เรามียังไม่เคยทํา หรือว่าเราอยากไปใช้ชีวิตเพื่อคนอื่นให้เยอะขึ้น เอาจริงๆ ผมรู้สึกว่าในความสําคัญต่างๆ ผมกล้าที่จะใช้เพื่อความสุขของเขา เมื่อก่อนนี่ไม่ได้เลยจะซื้อของอะไรคิดแล้วอุ้ยแพงว่ะ ไม่ แต่ตอนนี้เรารู้สึกว่ามันมากกว่านั้นมากกว่าตัวเงินคือความสุขที่เราได้ทํา นี่คือการเรียนรู้จากที่ได้จากพี่อู๋มาด้วย แล้วก็ได้จากหลายๆ คนมา นี่คือผมว่ามันเป็นความสุขที่เราเริ่มเจอจากการให้ด้วยครับระหว่างทาง
ต้าห์อู๋: ผมว่าผมไม่ได้ใช้ชีวิตมุ่งสู่ประสบความสําเร็จหรอก ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ผมทํามันจะประสบความสําเร็จหรือเปล่า บางทีเรามีความคิดเหมือนกันนะว่าเราจะทํามันได้ไหมวะ โอกาสเข้ามา อย่างเช่นเราทําซีรีส์มันจะประสบความสําเร็จไหม หรือความประสบความสําเร็จมันวัดด้วยอะไร สุดท้ายแล้วมันหลายอย่างมาก บางทีมันทําให้เราเป็นทุกข์ ถ้าเราประสบความสําเร็จไปแล้วขั้นกว่าของการประสบความสําเร็จคืออะไร เราจะต้องไปตรงไหนมันถึงจะพอ ผมเลยรู้สึกว่าอย่างนี้มันไม่ที่สิ้นสุด แล้วกว่าจะถึงวันนั้นระหว่างทางเราเสียโมเมนต์อะไรไปบ้างก็ไม่รู้ ทุกวันนี้ผมเลยตั้งแต่แสดงมาแต่ก่อนเป็นแหละ ต้องดี ต้องได้ สเตจนี้ต้องปัง ต้องสนุก ทุกวันนี้ก็ยังเป็นยังมีมาตรฐานของตัวเองอยู่แต่ว่าผมจะค่อนข้างดื่มด่ำกับระหว่างทางมากกว่า ส่วนจะสําเร็จไหมประสบความสําเร็จไหมผมไม่รู้หรอก แต่ถ้าผมได้ทํางานสักชิ้นนึงแล้วผมจะทําให้ดี ประสบความสําเร็จของผมคือผมกลับมาดูแล้วผมต้องย้อนมาดูบ่อยๆ แล้วอุ้ยสุดยอดเลยว่ะ นี่แหละที่เราลงทุนทําไป แล้วผมเป็นบ่อยๆ มากกับการทําสเตจโชว์ของตัวเอง ผมรู้สึกว่าเนี่ยคือการประสบความสําเร็จของผมกับการที่แบบมึงเอาไปให้เพื่อนดูมาดูมึงดูกูนี่ตรงนี้ นี่ ซึ่งมันอาจจะไม่ได้ดังเลยก็ได้ หรือมันอาจจะไม่ได้มีคนสนใจเลยก็ได้ แต่เราภูมิใจอ่ะ ผมว่าเนี่ยมันคือประสบความสําเร็จในด้านของการเป็นอาร์ตติสของผม กับซีรีส์อันนี้เหมือนกัน ผมอยากจะรู้สึกว่าวันหนึ่งผมออนไปแล้วอ่ะ ย้อนกลับมาดูเอ้ย โอ้โหตรงนี้เลยที่ทําให้กูรู้จักการแสดงอะไรอย่างนี้ ผมรู้สึกว่า ผมวางความประสบความสําเร็จตรงนี้มากกว่า เพราะสุดท้ายแล้วถ้าเรื่องนี้ดัง เรามองมาจากอะไรดีกว่าเราได้เล่นซีรีส์เรื่องนี้ ถ้ามันดังมันประสบความสําเร็จเรื่องดัง แต่ถ้าเรามองว่ามันเราได้ประสบการณ์การแสดงจากมัน เราก็ประสบความสําเร็จเหมือนกันที่ได้เล่นซีรีส์เรื่องนี้ ถึงแม้มันจะไม่ได้ดังระเบิดระเบ้อ แต่อย่างน้อยมัน มันมีถ้าเราตั้งไว้ถูกทิศถูกทาง เราจะรู้เลยว่าเอ้ยในขอบเขตความเป็นไปได้ เราไม่รู้เลยปัจจัยอะไรจะทําให้มันดังบ้าง ถ้าเราหวังจะดัง ยูก็ผิดหวัง อย่างที่ผมบอก ไม่ประสบความสําเร็จ แต่ ณ วันนี้เราตั้งความคาดหวังไว้ที่ตอนเราทํางานแล้ว ออกมาแล้วเราไปย้อนดูอ่ะ เล่นได้ประสบความสําเร็จแล้ว ส่วนที่มันจะไปต่อผมว่ามันเป็นผลพลอยได้ หลังๆ นี้มาพอมันมีโอกาสมา ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตาม ผมต้องทําของผมให้ดีแล้วย้อนกลับไปดูว่ามันต้องแบบต้องอย่างงี้สิวะ แล้วเวลาคนชมแล้วมันสะใจ
ตอนนี้จังหวะชีวิตของเราสองคนอยู่ในท่อนไหนของเพลง ?
ออฟโรด: ผมว่าผมอยู่เวิร์ส ผมผ่านอินโทรของเส้นทางมาแล้ว ผมว่ามันๆ เกริ่นมาแล้วเราเราเริ่มต้นจากอะไร ตอนนี้กําลังจะเวิร์สกําลังจะนําไปสู่เรื่องอะไร แล้วก็มีเรื่องเมนที่ตอบไปให้มันเติบโตไปเรื่อยๆ ผมว่าเวิร์สครับ
ต้าห์อู๋: ส่วนผมเป็นปลายพรีฮุคกําลังเข้าฮุคแล้ว มันไม่เกี่ยวกับว่านําหน้าหรือว่าอะไร จริงๆ เราใช้ชีวิตคนละแบบ ถ้าเป็นเรื่องการเงินเรื่องชีวิตเขาอาจจะไปถึงฮุคแล้วก็ได้ ถ้าเป็นเรื่องการเงินการใช้ชีวิตผมอาจจะอยู่แค่อินโทรอยู่เลยอ่ะ ผมยังไม่ได้สร้างเนื้อสร้างตัวสร้างวางรากฐานเลย แต่หมายถึงว่าถ้าเป็นเรื่องของงานที่เราทํากันอยู่ มันน่าจะวัดกันไม่ได้สําหรับผมที่ผมวางไว้ว่า มันอยู่ท่อนพรีปลายพรีฮุคจะเข้าฮุค เพราะว่ามันเริ่มได้ทำมันเริ่มได้สํารวจตัวเองละ วันหนึ่งถ้าเราจะฮุคเราจะรู้แล้วว่า อะไรชีวิตเราอะไรคือคอร์ที่เราจะใช้ชีวิตต่อ แล้วเมื่อถึงท่อนฮุคอะไรที่เราจะดันไปให้สุดเพื่อไปเป็นท่านบีส และจุดสูงสุดของชีวิตเรามันจะเป็นยังไง ณ ตรงนั้นเลย
ชีวิตเราสองคนต้องแบกรับอะไรไปบ้าง กับการใช้ชีวิตในทุกวันนี้ ?
ออฟโรด: แบกตัวเองมาทำงาน (หัวเราะ) เราทํางานกันหนักมากเลยนะครับ แล้วก็รู้สึกว่าร่างกายก็เป็นสิ่งสําคัญแบบ ถ้าแบกจริงๆ เลย มันก็มีเรื่องของครอบครัว เพราะว่าเรารู้สึกว่าสิ่งที่ผมต้องทํามันก็ต้องใช้ใช้เงินอยู่ แล้วก็เราพยายามจะทําตรงนั้นอยู่ มันก็ค่อนข้างปลดล็อกไปทีละนิดครับ นี่ คือสิ่งที่ผมรู้สึกว่าแบกรับแต่ค่อยๆ เบาลง เข้าใจใช่ไหมครับ มันมันค่อยค่อยเบาลง แต่ถ้าแบกรับหลักๆ ก็น่าจะครอบครัว แล้วก็เรื่องสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เข้ามานิดนึงครับ เราต้องแบกรับประมาณพวกแบบสิ่งที่เราคาดไม่ถึงใช้คํานี้สิ่งที่เราคาดไม่ถึงมากกว่าครับ
ต้าห์อู๋: อย่างผมหลักๆ ช่วงนี้ก็น่าจะเป็นครอบครัวเพราะว่าป๊าผมพึ่งเสีย หม่าม๊าผมก็แก่แล้ว ทุกวันนี้ยังโทรศัพท์คอลหากันก็ยังบ่นอยู่เลยหม่าม๊าก็ชอบบ่น อาหารกินไม่ค่อยได้เลยต้องออกไปทําซื้อนู่นซื้อนี่ไปกิน ก็เลยบอกเนี่ยหาเรื่องใส่ตัวบอกว่าให้อยู่บ้านเฉยไม่ชอบ ไปทํางานน่ะไปเที่ยวถึงมาเลเซียอะไรอย่างนี้ แต่เราก็บ่นเขาเขาบอกว่าเดี๋ยวปีหน้าอยู่บ้านแล้ว เราก็ไหนเราจะมีอาม่าอีก แล้วก็ญาติพี่น้องเราแก่มากแล้วอาอี๊อะไรต่างๆ เรารู้สึกว่าเราเตรียมรับแรงกระแทกสุดๆ แล้วก็ไหนจะหลานอีก แล้วก็อย่างที่บอกแหละมันก็มีปัญหาเล็กๆ ยิบๆ ย่อยๆ แล้วก็มีปัญหากวนใจอื่นมากมายที่ต้องแบกรับ จริงๆ เราอย่างผมเองผมก็มีความคาดหวังทางสังคม เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่แสงส่องถึง ผมเข้าใจว่าวันนึงที่ผมไม่ค่อยมีแสง ผมเคยอยู่ในจุดที่แบบมึงทําแบบนี้สิมึงทําแบบนี้สิ คาดหวังให้คนที่เราชอบคนที่เรารักหรือแม้แต่คนที่เราไม่ได้ชอบเราไม่ได้รัก มึงต้องเป็นคนดีสิมึงต้องเป็นอย่างนั้น เรารู้อยู่แล้วมันมีความคาดหวัง เพราะเราอาจจะเป็นความหวังใครซักคนนึงก็ได้ แต่เราก็ต้องเข้าใจว่าเราก็ต้องย้อนกลับมาเข้าใจตัวเองว่าเราก็มนุษย์คนนึง เราไม่ใช่หุ่นยนต์ เราไม่ใช่เอไอ เราเป็นคนถึงแม้แสงมันจะส่องถึงจะเป็นคนที่มีจิตใจ และมีระบบความคิดของเรา เราก็ต้องยอมรับให้ได้ว่าเมื่อมันเกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นดี หรือไม่ดี เราก็ต้องรับและเข้าใจด้วย เข้าใจคนที่เข้าใจเราแล้วก็เข้าใจคนที่ไม่ได้เข้าใจเรา มันก็จะมีหลายอย่างที่ต้องจัดการกับระบบความคิดตัวเองอะไรอย่างนี้ ในหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง แม้กระทั่งเรามีแฟนคลับเองแฟนคลับก็ไม่ได้มีความคิดเหมือนกันทั้งหมด บางคนทุกคนหวังดีกับเราทุกคนรักเรา แต่มีวิธีการแสดงออกที่ไม่เหมือนกัน เราเองก็เหมือนกันที่ก็รักแฟนคลับทุกคนซึ่งบางทีเราก็ทําถูกใจบ้างไม่ถูกใจบ้าง แต่สิ่งที่แน่นอนคือเรารับรู้แล้วเรารู้สึกกับมันด้วยนะ เสียใจเขาบอกว่าเขาผิดหวังเราก็เสียใจ แต่เราก็ต้องเข้าใจแล้วเราก็ต้องรู้ว่าเอ้ยเราทําอะไรได้บ้างไม่ได้บ้าง บางทีเราเข้าใจเขา เขาอาจจะไม่มีวันเข้าใจเราเลยก็ได้ แต่เขารักเราเขาก็ไม่ผิดที่เขาจะไม่เข้าใจเรา แต่เราเองก็ไม่สามารถอธิบายให้ทุกคนบนโลกนี้ฟังได้ว่าเหตุผลที่เราทําคืออะไร ไม่งั้นเราจะไม่ได้ใช้ชีวิตเราต่อไปเลยอะไรอย่างนี้ครับ
คิดถึงเดย์วันไหม ?
ต้าห์อู๋: เดย์วันคิดถึงอยู่แล้วครับ เราใช้ความพยายามมาก วันนั้นว่างเราก็ทําทุกอย่างเพื่อที่จะcommunicate หรือทํายังไงก็ได้ให้เรามีความสุข แต่จริงๆ นะ ผมไม่เคยหาแสงเลยนะพี่เชื่อป่ะ ผมผมไม่เคยเล่น TIKTOK อย่างเนี่ย ไม่เคยรู้สึกว่าต้องดังอยากดัง สนุก ทําแล้วสนุก ทําเพราะตลก TIKTOK ที่เล่นทุกวันนี้ที่คนดูเยอะ คือเราแค่รู้สึกว่าเออแกล้งแฟนคลับดีกว่าเซ็กซี่หน่อยอะไรอย่างนี้
ออฟโรด: วันที่เราเริ่มมาในตรงนี้เลย ผมว่าผมคิดอยู่ครับคิดอยู่ตลอด แบบในในความความมายเซ็ตลึกๆ ของผม ผมรู้สึกว่ากว่าจะมาถึงวันนี้ เราต้องผ่านอะไรมาเยอะมากๆ ในตอนนั้น รู้สึกว่าทําไมตอนนั้นเราสู้มากเลยนะ เราสู้มากเลยแล้วเรารู้สึกว่ากว่าจะมาวันนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แล้วเราก็จะพยายามเตือนตัวเองตลอดมันก็จะลิ้งค์กับการพยายามไม่เปลี่ยนตัวเอง เรารู้สึกว่าเราอยากเป็นคนที่เมื่อก่อนเราเป็นยังไง ก็เราอยากเป็นคนที่เมื่อก่อนเราเป็นยังไง ทุกวันนี้เราก็ยังเป็นเหมือนเดิมเหมือนเวลาเราเจอเพื่อนนานๆ ที 4-5 ปี เจอกันที เพื่อนบอกเห้ยกูนึกว่ามึงจะหยิ่งมึงยังเป็นเหมือนเดิมเลยยังเป็นแบบเดิมนี่คือสิ่งที่ผมรู้สึกว่า ผมมีความสุขมากแล้วผมก็ย้อนกลับไปว่าเออผมยังเป็นแบบเดิมอยู่ แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้วครับ ผมรู้สึกว่าเราเริ่มต้นมาจากอะไร วันนี้เรายังจํามันได้แล้วเราก็ยังใช้ชีวิตต่อไปแบบนั้น
แฮชแท็ก #ต้าห์อู๋ออฟโรด ในความรู้สึกของเรา ?
ต้าห์อู๋: มันมีความหมายกับผมนะ แฮชแท็กนี้ผมเห็นครั้งแรกตั้งแต่รายการยังไม่จบเลย เขาใช้แฮชแท็กนี้แล้วมันทําให้เราได้ไปออก EFM คู่กันแฟนด้อมครั้งแรก แล้วเราเห็นมันมาแล้วเรารู้สึกว่ามันมีอะไร Memory ในนั้นเยอะมากๆ มันแทบจะโตมากับเราสองคนเลยด้วยซ้ำ #ต้าห์อู๋ออฟโรด ชื่อนี้มันมันโตมากับความสัมพันธ์เราสองคน มันเลยรู้สึกว่า นั่นคือแหล่งรวมความทรงจําและพลังงานดีๆ ข้างใน มันก็ไม่ใช่แค่เราเลยมันก็มีคนที่มาชื่นชมความสัมพันธ์ของเราสองคน ที่เขาได้มีความสุขจากการที่เราอยู่ด้วยกันแบบของเรา มันก็จะเป็นอะไรที่ก็มองไปก็มีความสุขอีกอย่างนึงสุดท้ายแล้วมันคือชื่อของผมกับออฟโรดอะ มันคือเราสองคนอ่ะมันก็เลยแบบ มันชื่อเราเลยนะเว้ย
ออฟโรด: แล้วก็ผมรู้สึกว่า วันไหนที่เรารู้สึกว่าเราอยากกลับไปดู ก็แค่เปิดแท็กนี้เนอะ
ต้าห์อู๋: ซึ่งไม่เห็นแล้วเพราะมันลบไปแล้ว
ออฟโรด: มันจะเห็นฟีลแบบว่าครบรสผ่านอะไรมาเยอะมากๆ กว่าจะมาเป็นต้าห์อู๋ ออฟโรด ทุกวันนี้ เราผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะจริงๆ ต่อให้แบบบางคนอาจจะแบบรู้สึกว่า 3 ปีกว่า มันมันนิดเดียว แต่ผมรู้สึกว่าผมได้ทําครั้งแรกด้วยกันของเรามันเยอะมากใน 3 ปีนี้ คือครั้งแรกของเรา ทํานู่นทํานี่ทํานั่นแบบพี่ไปที่นี่ด้วยกันครั้งแรก ไปกินข้าวที่นี่ด้วยกันครั้งแรก ได้ทํางานแบบนี้ครั้งแรก เติบโตไปด้วยกันในเส้นทางนี้ด้วยกันครั้งแรก มันมีแต่คําว่าครั้งแรกเต็มไปหมดเลย รู้สึกว่าดีนะมันเป็นความทรงจําที่จําได้ ถ้าทํางานในวงการมาแค่เข้ามาในรายการก็เจอเขาแล้วอ่ะ แล้วยิ่งมีชื่อนี้โคตรมีความสุขแล้ว
เป็นไงบ้างกับแฟนคลับที่เติบโตมาพร้อมกับเรา ?
ต้าห์อู๋: คือแฟนคลับเรามีตั้งแต่ตามมาตั้งแต่แรกๆ จนถึงเพิ่งมาเจอเราก็อยากจะเรียกรวมว่าแฟนคลับทุกคนที่สนับสนุน แต่ว่าเราจะเรียกว่ากลุ่มแฟนคลับเลยละกัน เราจะไม่มีต้าห์อู๋ ออฟโรดเลยถ้าไม่มีแฟนคลับ จะไม่มีแฟนคลับกลุ่มใหม่ถ้าไม่มีแฟนคลับกลุ่มแรก แล้วก็จะไม่มีแฟนคลับกลุ่มแรกเหมือนกันถ้าไม่มีต้าห์อู๋ ออฟโรด ผมรู้สึกว่ามันโตขึ้นมาพร้อมๆ กันเลยกับการแบบเส้นทางที่ปูมาถึงปัจจุบันมัน 3 ปีแล้วนะ ซึ่งเราแทบจะรีเลทไปกับเค้าอ่ะ ผมเคยพูดในหลายๆ อย่าง พี่เชื่อป้ะ ผมอ่ะเคยคิดนะว่าการเป็นศิลปิน แล้วมีแฟนคลับไปกรี๊ดๆ เห็นเพื่อนไปกรี๊ดก็คงแค่นั้นแหละ แต่ใครจะไปรู้ว่ามันคือความรักจริงๆ ผมอยู่ตรงนี้ผมไม่ใช่มาทําสิ่งที่ผมรักอย่างเดียว ทุกวันนี้ผมเคยบอกเลยว่าแฟนคลับคือคนที่ผมรัก และแคร์มาก ผมถึงบอกว่าเวลามีอะไรก็ตามทุกอย่างมันกระทบจิตใจผมมาก ถึงแม้ว่าผมจะพูดหรืออธิบายไปทั้งหมดไม่ได้ แต่ว่าวันนึงผมได้รู้ว่ามันเป็นเพราะความรักว่ะ ถ้าเราไม่ได้รักเขาเขาจะพูดเลยเรื่องของเขา กูอยากทําอย่างนี้ถูกป่ะ แต่มันกลายเป็นจริงๆ แล้วเราแคร์เราแคร์มาก เราแคร์ทุกคนด้วยซ้ำเพราะทุกคนที่ซัพพอร์ตเราทําให้เราได้ได้ยืนร้องเพลงอยู่ ทุกคนที่ซัพพอร์ตเราทําให้เราได้ทําตามความฝันของเราทั้งคู่อยู่ มันเลยเพิ่งได้สัมผัสว่าเนี่ยหรอคนที่เขารักเราจริงๆ ซึ่งมันไม่ใช่แบบคนอื่นฟังอ่ะไม่เข้าใจอาจจะคิดว่า โห น้ำเน่าอะไรวะ มึงก็พูดเอาใจแฟนคลับไม่ใช่นะ ผมได้ทําตามความฝันได้ยืนร้องเพลง ได้เต้นได้มีรายได้เลี้ยงตัวเองเลี้ยงครอบครัว เพราะแฟนคลับที่ผมรักซัพพอร์ตเรา และเช่นเดียวกันคุณอาจจะไม่เข้าใจว่าทําไมเขาต้องมาซัพพอร์ตเรา เพราะผมเชื่อว่าทุกวันนี้ที่ผมมีความสุข ผมเองก็เป็นหนึ่งในความสุขของชีวิตเขาเหมือนกัน มันเลยเป็นเลยเข้าใจว่านี่แหละแรงซัพพอร์ตกันระหว่างศิลปินกับแฟนคลับต้าห์อู๋ ออฟโรด แล้วก็แฟนคลับ มันเลยเป็นเรื่องที่บางคนอาจจะไม่ได้มีความสุขในชีวิตเลย แต่เขาเจอศิลปินที่มอบความรักให้เขา เพราะฉะนั้นมันเลยกลายเป็นว่านั่นก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คอยย้ำเตือนให้เราใช้ชีวิตศิลปินของเราให้ดี เราไม่อยากไปทําให้เขาผิดหวังหรือเสียใจ ในเส้นทางนี้ ไม่อยากไปทรยศเขาด้วยการทําให้เราเราไปออกนอกลู่นอกทางแล้ว คือเขาจะกลายเป็นเขาผิดหวังคือได้เลยจริงๆ ถึงแม้เขาจะรักเรามากแล้วซัพพอร์ตเรามากแค่ไหนแต่เชื่อเลยว่าถ้าเราทําผิดเราทำไม่ดีอ่ะลึกๆ เขาต้องผิดหวัง ซึ่งเราก็จะผิดหวังในตัวเองเหมือนกัน ถ้าเราไปทําอย่างนั้นเหมือนเรารักแม่อ่ะ ถ้าเรารักแม่มากๆ เราจะไปทําอะไรที่มันไม่ดีไหมล่ะ บางคนอาจจะทํา แต่ถ้าแม่คุณเสียใจขึ้นมาคุณจะรู้สึกยังไง มันก็จะเป็นฟีลประมาณนั้นในเมื่อรู้ว่าเขารักเรา และเราเองก็รักเขา ได้ทําในสิ่งที่เรารักด้วยอยู่ตรงนี้ มันเลยกลายเป็นแรงซัพพอร์ตที่ดีมากๆ ระหว่างกลุ่มแฟนคลับกับพวกเราทั้งสองคน มันก็เลยดันๆ beyond ขึ้นไปเรื่อยๆ
ออฟโรด: ก็จริงๆ ผมเข้าใจคําว่าการให้ การให้มันมีความสุขจริงๆ นะ การให้ที่แบบว่าเราได้ทําอะไรสักอย่างแล้วเขามีความสุขในสิ่งที่เราได้ทํา แล้วเราก็มีความสุขเหมือนกันที่เขามาหาเรา มันเหมือนเป็นการแชร์กันบางคนบางทีชีวิตเรามันขับเคลื่อนผมเชื่ออย่างงี้มันมีเป้าหมาย แต่มันถูกดําเนินชีวิตด้วยความสุข คนเรามันจะไปด้วยความทุกข์อย่างเดียวมันก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นแล้วระหว่างทางที่เวลาเราเจอเรื่องเครียดๆ มา หรือว่าเราการได้มาเจอกันรวมพลกันมีแต่การให้มีการแชร์กัน คือการส่งมอบความรักมีการความสุข และสิ่งนี้มันคือสิ่งที่ทําให้เรามีแรงไปทําสิ่งต่างๆ ต่อไปเรื่อยๆ แล้วมันเป็นพลังที่มหาศาลมากเลยครับ บางคนที่แบบว่าอาจจะไม่เข้าใจว่าอย่างที่พี่อู๋บอก มันคือเหมือนเรามาอวยมาอะไรไม่ใช่ แต่ความสุขของทุกคนมันก็ไม่เหมือนกัน เราไม่สามารถไปจัสต์เขาได้ว่าสิ่งนี้มันไม่ใช่ ความสุขของบางคนอาจจะแบบไปได้ไปเตะบอล ไปเล่นเกม หรือไปทําตามความฝัน แต่บางทีความสุขของเนี่ยคือการได้มาเจอกัน แล้วมันทําให้ชีวิตเขาเดินต่อไปได้ แล้วไม่ใช่แค่เขาเราด้วยครับ
Century of Love ปาฏิหาริย์รักร้อยปี เป็นไงบ้างกับเรื่องนี้ ?
ออฟโรด: เรื่องนี้เป็นอีกมุมมองหนึ่ง ประสบการณ์ที่รู้สึกว่าเราได้เรียนรู้อะไรที่มันโตขึ้น คือเรื่องที่แล้วมันก็เป็นประสบการณ์ที่เราได้ทํา ได้ลองทํามันก็เป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่ทําให้เราเติบโต แต่ไอ้เนี่ยมันคือการที่ก้าวขามาเต็มตัวมีเวลามากขึ้น อันเรื่องแรกอาจจะเวลาอาจจะมีแต่ว่าอาจจะไม่ได้มากเท่านั้น แต่ว่าเรื่องนี้มันรู้สึกว่าทําให้เราแบบมีเวลาเตรียมตัวได้เวลาอยู่กับการแสดงเยอะขึ้น มีซัพพอร์ตจากหลายๆ ฝ่าย แล้วก็ได้เจอกับทีมงานที่มีประสบการณ์ที่เขาทํางานตรงนี้เป็น 10 ปี มันก็เลยทําให้เรารู้สึกว่าเราได้ซึมซับอะไรหลายๆ อย่างจากเขา ได้มีวิธีการที่โอเค มันเป็นอย่างงี้ 1 2 3 4 มันไปยังไง มันก็เลยทําให้เราเนี่ยได้แบบโอเคเติบโตขึ้นในการทํางานในเรื่องนี้มากๆ เป็นพิเศษบวกกับเนื้อเรื่องผมชอบเนื้อเรื่องนะ ผมรู้สึกว่ามันคาดเดายากอ่ะ มันคาดเดายากแล้วเราขนาดในมุมของเราที่เป็นคนดูแล้วรู้สึกว่า คือถ้าผมชอบอะไรมากๆ ผมจะรู้สึกว่าเราอยากไปเข้าไปในเรื่องแล้วเราอยากบอกตัวละครนี้ว่าเป็นแบบนี้อย่าทําแบบนี้นะ ผมผมอ่านแล้วผมรู้สึกชอบมากเลยครับ ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นอะไรที่บียอนด์ทุกๆ ด้านสําหรับผมเลย
ต้าห์อู๋: ผมว่าเรื่องนี้มันเป็นซีรีส์ที่เข้มข้น เราเคยคิดว่ารักไม่รู้ภาษาชองคืออะไร โรแมนติกคอมเมดี้ คอมเมดี้ยังไง โรแมนติกยังไง เหมือนมานั่งหาว่าแล้วดราม่าตรงไหน มันจะมีความคิดที่เป็นอย่างนี้ใช่ไหม แต่ว่าพอมาอยู่ในในซีรีส์ของในซีรีส์ของปาฏิหาริย์รักร้อยปีนะครับ มันจะตอบได้เลยดราม่าตรงไหน ตรงไหนโรแมนติก ตรงไหนแอ็คชั่น แล้วตรงไหนที่เรียกว่าแฟนตาซี มันชัดแล้วรสชาติมันชัดมาก คือคุณเคี้ยวเข้าไปเถอะคุณรู้เลยว่าตรงไหนดราม่า คุณเคี้ยวเข้าไปเหอะคุณรู้แล้วตรงนี้โรแมนติก คุณเคี้ยวไปเหอะคุณไม่ต้องพยายามอะไรเลย นี่เเม่งแฟนตาซี แล้วคุณเคี้ยวไปเหอะคุณเนี่ยไม่แอคชั่นจริงๆ ผมเลยรู้สึกว่าซีรีส์เรื่องนี้มันมันไม่ได้แบบลอยๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยโพรเซตั้งแต่คนเขียนบท ผู้กํากับ มีประสบการณ์มากๆ ทีมไลท์ติ้งช่องวันอีก ทุกสิ่งทุกอย่างคือไว้ใจได้แน่นอน ใช่มันเลยรู้สึกว่าซีรีส์เรื่องนี้มันน่าสนใจ น่าสนใจที่จะต้องลองดูเอาแค่ลองดูก่อนละกัน เสน่ห์ของละครคือ มันจะทุกอย่างมันจะมากกว่าปกติแต่ข้างในทุกอย่างมันต้องธรรมชาติ เนี่ยมันเป็นเสน่ห์ที่ช่องวันมี ความเป็นละครที่อุ้ยละครละครแต่แสดงละครละครยังไงให้มันจริง มันคือความสนุก มันเลยเป็นอีกหนึ่งความสนุกที่มันถูกมันถูกพัฒนามาด้วยตัวบทเองตัววิธีการกํากับเอง ผ่านแนวคิดของตัวละคร ทํายังไงให้มันดราม่าวะ ทําไงให้เส้นมันโรแมนติก มันเลยมันเลยเป็นเสน่ห์ของมันที่มันอาจจะไม่ได้ดู เรียลชีวิตจริงเพราะมันคือแฟนตาซี มันเลยรสชาติมันเลยจัดจ้านแล้วสนุก ทุกคนจะลืมอะไรหลายๆ อย่างไปเลย แล้วจะไปแค่เหมือนไปแค่สนุกกับมันซีรีส์เรื่องนี้ครับ
การทํางานของทั้งสองคนง่ายขึ้นไหม หลังจากที่ผ่านเรื่องแรกมาแล้ว ?
ต้าห์อู๋: ระหว่างกันน่ะง่ายครับ แต่ว่าในกองอะยาก เพราะว่าวิธีการทํางานมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ พี่หวอจะเป็นงานคราฟมากๆ คืออย่างตอน รักไม่รู้ภาษา เราจะมีคําถามเสมอว่าได้หรือยังพี่ ซึ่งมันจะผ่านไปไวมากแต่ละซีนแต่อันนี้ก็คือ ทุกอย่างมันเป๊ะมากทุกอย่างพี่หวอจะไม่ปล่อยผ่านเลยแม้แต่นิดเดียวรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แม้แต่ควันธูป ซึ่งเขามีภาพในหัวของเขาอยู่แล้ว มันเลยกลายเป็นว่าเออ เราเองเป็นหนึ่งในปัจจัยของซีนเนอะ มันก็เลยไม่ได้ง่ายเลยในการทํางานในกองนี้
สิ่งที่ยากที่สุดในเรื่องนี้สําหรับเรา ?
ออฟโรด: สิ่งที่ยากที่สุดสําหรับเรื่องนี้ คือการต้องรีเซ็ตทุกอย่างไม่รู้ เหมือนบางทีเราเล่นคัทแรกเราผ่านแล้ว แต่กล้องไม่ได้รับหน้าเรา หรือกล้องอาจจะรับคนอื่นเราต้องทํายังไงก็ได้ให้มันทุกอย่างมันคือศูนย์นั่นแหละครับคือความยาก บางทีเราต้องปล่อยวางแล้วก็ความมีสติด้วย บางทีมันมีปัจจัยในกองเยอะมาก คือถ้าเราหลุดแค่นิดเดียวแป๊บเดียวเราก็หลุด เพราะฉะนั้นแล้วสมาธิสําคัญมากสําหรับเรื่องนี้ มันก็เลยเป็นความยากตรงที่ว่าเราจะต้องเข้าไปโฟกัสผิดที่ สําหรับผมนะก็เลยนี่แหละคือความยากของผมในเรื่องนี้
ต้าห์อู๋: สำหรับซีนผมว่ามันไม่มีซีนไหนยาก เพราะเราไม่ได้ไปเอ็กซ์สเปคกับมัน ปล่อยมันไปธรรมชาติได้ก็ได้ไม่ได้ก็ไม่ได้อยู่ที่ผู้กํากับบอก พอเขาให้ผ่านแล้วคือผ่าน แต่ว่าสิ่งที่ยากที่สุดคือการหาเวลาพักผ่อน เพราะว่าระหว่างถ่ายซีรีส์ผมมีโปรเจคอื่นด้วย ซึ่งถ้าบอกว่าผมไม่มีเวลาดูแลตัวเองเลย ไม่มีเลย ไม่มีแม้แต่ไปฉีดสิวไม่มีแม้แต่ไปกดสิว สิ่งที่ยากที่สุดคือการดูแลตัวเอง เพราะการเป็นดาราศิลปินมันต้องใช้ใช้หน้าตา มันต้องใช้หน้าตาแน่นอนอยู่แล้ว แล้วมันแต่งหน้าทั้งวันทุกวันเลย มันไม่มีเวลาดูแลตัวเองนั่นคือสิ่งที่ทําได้ยากมากที่สุด ในส่วนของการต้องมาเล่นละคร หรือซีรีส์
สิ่งที่ได้จากซีรีส์เรื่องนี้คืออะไร ?
ออฟโรด: สิ่งที่ผมได้จากซีรี่ส์เรื่องนี้เลยครับว่าคงจะเป็นเรื่องของมุมมองการทํางาน การได้เติบโตขึ้นในศาสตร์ของการทํางานตรงนี้กับช่องOne31 ได้เห็นอะไรเยอะขึ้น ได้เรียนรู้ว่ามันมีสิ่งที่เราต้องเติมเต็มอยู่ตลอดแล้วมันก็เยอะมากๆ เลยด้วย มันได้ปรับตัวได้เติบโตได้เรียนรู้นั่นแหละครับ ได้ปรับเปลี่ยนเป็นตัวเราได้เห็นข้อบกพร่องของตัวเองครับ
ต้าห์อู๋: เรื่องนี้ผมได้เห็นเส้นทางของตัวเองในด้านการแสดงละกัน จากที่ไม่สนใจด้านการแสดงขนาดนั้นเราได้เข้ามากลายเป็นว่าเราค่อนข้างเมันน่าสนใจ ได้เห็นความสนุกของมันดีกว่า ได้เห็นเสน่ห์ของมันด้วย แล้วได้เห็นเส้นทางในการที่เราอยากจะพัฒนาตัวเองตรงนี้ไปด้วย อยากเป็นความอยากที่จะได้เจอกับคนที่เก่งๆ อีก อยากจะได้ทํางานในส่วนของด้านการแสดง เพราะว่าเราอยากไปเจอคนที่เขาเก่งๆ มากๆ เราอยากได้ไปรับคาแรคเตอร์ของตัวเราเอง และคนอื่นแล้วสาดอารมณ์ใส่กันหรือแม้แต่ได้ลองอะไรใหม่ๆ อะไรอย่างนี้ เพราะว่ามันกลายเป็นว่าสนุกมากมันเป็นเสน่ห์ที่สนุกกับการรับส่งผมชอบคําว่าปิงปองมาก มันสนุกจริงๆ ครับการแสดง มันเลยมันเลยเป็นอีกอย่างนึงที่ทําให้เราได้ได้ค้นพบตัวเองว่ายังมีหลายหลายอย่างที่เรามีอะไรให้เราทําในวงการบันเทิง
ฝากผลงานเรื่องนี้ของเราทั้งคู่ ?
ออฟโรด: ผมก็ฝากซีรีส์ด้วยนะครับผม Century of Love ปาฏิหาริย์รักร้อยปี สามารถรับชมได้นะครับ เวลา 20.30 น. ทุกวันพุธ-พฤหัสบดี รับชมสดทางช่องone31 และดูสดออนไลน์ทาง oneD ครับ
ต้าห์อู๋: ถ้าไม่ทันสามารถดูย้อนหลังได้ที่ Netflix นะครับผม