The Atypical Family ในชื่อไทย “ครอบครัวพลังพิเศษ” ไม่ใช่ซีรีส์ดัง หรือมีเรตติ้งสูงสักเท่าไหร่ใน Netflix เมืองไทย ไม่ได้มีดารานำระดับแม่เหล็ก เข้าฉายเงียบๆ และจบสมบูรณ์ในตัว 12EP แบบไม่หวือหวาอะไรมากนัก
แต่ดันเป็นซีรีส์อีกเรื่องหนึ่งที่ (ผู้เขียน) เผลอกดดูแล้ว ค่อยๆ ตกหลุมรักเรื่องราวและตัวละครชนิดถอนตัวถอนใจไม่ขึ้น เพราะผู้กำกับฯ เล่าเรื่องได้สนุกหลากรสชาติ บทมีความแปลกใหม่ในการวางเส้นเรื่องและขมวดปม การแสดงไม่เวอร์ล้น คุมโทนได้อยู่มือตลอดตั้งแต่ต้นเรื่องจนถึงบทสรุป
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่คนเขียนบทใช้กระบวนท่าแบบ แอนตี้ฮีโร่ คล้ายๆ กับที่ Moving เล่นกับปม “พลังพิเศษ” ของหลายๆ คนนั้นอาจเป็นทุกขลาภเสียมากกว่าจะเป็นแต้มต่อที่ทำให้เหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป
หากจะเรียก The Atypical Family ว่าเป็นหนังหรือซีรีส์แนว “ครอบครัว” ก็ตรงแบบกำปั้นทุบดิน เพราะเล่าเรื่องราวของ 2 ครอบครัวที่เข้ามามีปฏิสัมพันธ์กัน โดยที่ฝั่งตระกูล “บก” มีอำนาจเหนือมนุษย์ต่างๆ นานา เช่น ย้อนอดีตได้, มองเห็นอนาคต, บินได้, อ่านใจคนทะลุ ฯลฯ (แต่ก็กำลังตกต่ำย่ำแย่ แม้หน้าฉากดูรวยเลิศ แต่ทรัพย์สินก็ร่อยหรอ ใช้พลังได้ไม่เหมือนเก่า)
อีกครอบครัวหนึ่งมีอาชีพหรือกิจการร้านนวด-อบซาวน่า ไว้บังหน้า หากความสามารถที่แท้จริงคือทีมนักต้มตุ๋นตบทรัพย์ที่ช่ำชอง เชี่ยวชาญในการวางแผน พร้อมทั้งเป็นทีมนักแสดงที่แนบเนียนอีกต่างหาก
2-3 EP แรกเดินเรื่องเนิบๆ ค่อยๆปูพื้นให้เรารู้จักและเข้าใจตัวละครแต่ละคนที่ต่างก็มีปม-แผลลึกในใจ คุณนายบกมันฮึม (รับบทโดย โกดูซิม) เป็นเหมือนผู้นำครอบครัว สามารถนอนหลับฝันเห็นอนาคต แต่มีปัญหาเป็นโรคนอนไม่หลับ จนเมื่อไปใช้บริการนวด-ซาวน่า แล้วถูกใจลูกสาวร้านนวดที่ชื่อ โดดาแฮ(รับบทโดย ชอนอูฮี) จึงชวนมาที่บ้านเพราะฝีมือนวด+ชงชา(ใส่ยานอนหลับ) ทำให้คุณนายบกมันฮึม กลับมานอนได้นอนดี
บกกวีจู (รับบทโดย จางกียง) เป็นลูกชายของคุณนายที่ซึมเศร้าแตกสลาย ติดยึดอยู่กับอดีต(ที่มีพลังพิเศษย้อนกลับไปได้) เนื่องจากวันที่ลูกสาวเกิดเขาไปอยู่ที่โรงพยาบาล เลยไม่ได้ไปกับทีมดับเพลิง จนคิดว่านั่นเป็นเหตุให้หัวหน้าตายในปฏิบัติการครั้งนั้น วันๆ เลยเอาแต่วาร์ปกลับไปในจุดเดิม จนลูกเริ่มโต เมียก็เอือม สุดท้ายเมียไปรถคว่ำตายอีก เลยอยู่มาแบบไม่มีตัวตน เมาไปวันๆ
ลูกสาวของเขา บกอีนา (รับบทโดย พัคโซอี) จึงเติบโตขึ้นอย่างโดดเดี่ยว ราวกับ “มนุษย์ล่องหน” ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนมัธยม พร้อมเก็บความลับของพลังพิเศษ จ้องตาใครก็อ่านใจได้ทะลุปรุโปร่งเอาไว้เสีย
บกดงฮี (รับบทโดย คิมซูฮยอน) เป็นสาวพลัสไซส์ที่เคยเป็นซูเปอร์โมเดลดาวรุ่ง และมีพลังพิเศษคือบินได้ แต่ดันไปคบกับหมอหนุ่มจอมหิวเงินแถมโคตรเจ้าชู้ ประกอบกับโดนคุณนายบกมันฮึมสกัดเส้นทางฝันในงานอาชีพนางแบบ เลยประชดชีวิตด้วยการกินๆๆๆ จนตุ้ยนุ้ย คิดหวังแต่เพียงว่า ถ้าปิดจ็อบแต่งงานได้ แม่จะยกตึก+ฟิตเนส ให้กินใช้ได้สบายๆ ไปตลอดชีวิต
ยังมีตัวละครที่ดูเหมือนไม่มีตัวตน ไม่มีพลังอะไรเลยอย่าง สามีคุณนายบกมันฮึม ผู้ทำหน้าที่พ่อบ้าน ทำอาหาร ดูแลทุกคนในบ้าน แต่ก็มีปมที่ต้องออกไปหาพื้นที่ส่วนตัวนอกบ้านด้วยเหมือนกัน
อีกครอบครัวหนึ่ง มีตัวแม่อย่าง แบคอิลฮง (รับบทโดย คิมกึมซุน) เป็นเถ้าแก่เนี้ยหัวหน้าแก๊งมิจฉาชีพนักต้มตุ๋ม ส่งลูกสาวคือ โดดาแฮ เข้าไปหาช่องทางสูบทรัพย์จากบ้านตระกูล “บก” โดยมี เกรซ (รับบทโดย รยูอาเบล) กับ โนฮยองแท (รับบทโดย ชเวควังรก) หนุ่มหุ่นหมีเป็นกำลังหนุน
ต้องปรบมือแรงๆ ให้กับ ผู้กำกับ : โจฮยอนแทค (ผลงานก่อนหน้า กำกับซีรีส์ Snowdrop) และคนเขียนบท : จูฮวามี ที่ทำงานได้กระชับ ลงตัว สร้างคาแรคเตอร์ที่เด่นชัด มีสีสันและมีเรื่องราวกระจายออกไปได้ทั่วทุกคน
แน่นอนว่าในด้านหนึ่งผู้ชมย่อมต้องติดตามเอาใจช่วยในเส้นเรื่องความรักระหว่าง บกกวีจู กับโดดาแฮ แอบลุ้นกับน้องหนู บกอีนา ที่ไปปิ๊งกับเพื่อนที่โรงเรียนแต่ก็มีอุปสรรคมากมาย บทพลิกไปพลิกมาว่า จะต้มตุ๋นหลอกลวงครอบครัวพลังพิเศษได้สำเร็จหรือไม่ ตัวบกกวีจูเองจะมูฟออนจากอดีตที่ย้อนกลับไปซ้ำแล้วซ้ำอีกได้ไหม
แต่มุมที่ผมชอบคือการพาเราไปสำรวจความขาดพร่อง ไม่สมบูรณ์ของคน และความสัมพันธ์ภายในครอบครัว บ้านรวยตระกูลบกนั่นอาการหนักเลย ขณะที่บ้านร้านนวดกลับดูกลมเกลียวพร้อมหน้าพร้อมตากันมากกว่า (แต่ก็งัด ขัด มีบาดแผลในใจกันไม่น้อย)
ที่สำคัญเหนือกว่าพลังพิเศษที่ ฝันเห็นอนาคตได้ หรือย้อนอดีตได้นั้น มีเรื่องพื้นฐานที่สำคัญคือ ต้องไม่ยอมจำนนต่อชะตากรรม กล้าสู้ กล้าลงมือทำหรือเปลี่ยนมันซะ
“เราไม่ได้รอให้ฝันเป็นจริง แต่เราลงมือทำให้ฝันเป็นจริงได้ และถึงแม้ว่าฝันจะไม่เป็นอย่างที่คิด เราก็เลือกจะตีความมันในรูปแบบอื่นได้” วิธีคิดแบบนี้ บวกกับความมุ่งมั่นที่ต้องเชื่อว่า จุดที่เราคิดว่าเป็นจุดจบนั้นมันอาจเป็นจุดเริ่มต้นก็ได้…
สุดท้ายจะค่อยๆ พาเรา หรือคนในครอบครัวของเราให้มองเห็นตัวตนซึ่งกันและกัน เป็นความหมายและความสำคัญไม่ทางใดก็ทางหนึ่งของแต่ละคน ก่อนที่บทสรุปสำคัญคือพลังแห่ง “ความรัก” ต่างหากที่จะเป็นตัวเชื่อมร้อยทุกคนให้ได้กลับไปอยู่ในจุดที่ควรจะเป็น
ดูจบ 12EP แล้วจะอิ่มจุกกับความหม่น หน่วง ดาร์ค แต่ได้แง่คิด และฮีลใจให้มีความหวัง มองโลกสดใสเท่าๆ กับที่ยอมรับในความจริงที่มันเป็นไปได้ดี ถือเป็นซีรี่ส์ที่กลมกล่อมครบรสเหลือเชื่อเลยทีเดียว