เคยคิดว่า ซีรี่ส์ที่ชอบที่สุดของปี 2023 คือ Moving ซึ่งโดดเด่นด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องอันแพรวพราว นำเสนอประเด็นที่แหลมคมเกี่ยวกับชีวิตของ “ยอดมนุษย์” ที่มีความสามารถพิเศษเหนือกว่าคนธรรมดา แต่กลับไม่ง่ายเลยในการอยู่ร่วมกับสังคมปกติ ขณะที่พลังด้านการแสดงจากดาราแถวหน้าระดับสุดยอดก็จัดเต็มมากกก
แต่หลังจากได้ดู Death’s Game ซึ่งมีทั้งหมด 8 ตอนจบบริบูรณ์แล้ว ความคิดข้างต้นก็ต้องสั่นคลอนอย่างรุนแรง (ยังดีที่ที่ถ้าตัดเส้นแบ่งด้วยเวลา Death’s Game จะจัดอยู่ในปี 2023 ก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะเริ่มแพร่ภาพในเกาหลีใต้ พร้อมกับสตรีมลงบนแพลตฟอร์ม PrimeVideo เมื่อ 15 ธันวาคม กว่าจะจบก็ข้ามมา มกราคมปี 2024)
ผมเองก็มาเริ่มดู Death’s Game เอาช่วง มกราคม 2024 เพื่อที่จะพบว่า มันเป็นซีรี่ส์ 8 ตอนที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อหาที่ครบรสแบบจุกๆ ว้าวกับไอเดียหลักที่ตัวเอกตายแล้วไปอยู่ในร่างต่างๆ 12 ครั้ง(ซึ่งผูกโยงกันทั้งหมดได้อย่างเหนือชั้น) แถมขบวนดารานักแสดงที่ขนกันมามากมาย ละลานตาเหมือนเข้าร้าน พรีเมี่ยมบุฟเฟต์ ยังไงยังงั้น
ถึงตอนนี้ ถ้าจับมาชั่ง ตวง วัด ระหว่าง Moving VS Death’s Game ผมอาจตัดสินให้เสมอกัน หรือถ้าจะมีผู้ชนะ มันคงเฉียดฉิวประมาณต้องตัดสินกันด้วยภาพถ่ายกันเลยทีเดียวแหละ
ที่สำคัญ Death’s Game มันไปสุดทางในทุกประเด็นและวิธีการเล่าเรื่อง+องค์ประกอบ ที่เป็นเหมือนจิ๊กซอว์แต่ละตัว ค่อยๆ ทำให้เราเห็นภาพใหญ่และชุดความคิดรวบยอดที่คนเขียนบทและผู้กำกับ ต้องการสื่อสารกับคนดู
ไม่ว่าจะในพาร์ทแอคชั่น โหด ดิบ เลือดสาด เต็มไปด้วยความรุนแรงที่คาดเดาไม่ถึง, ในบางช่วงมันกลายเป็นหนังดราม่าชีวิตรักหนุ่มสาว หรือความรักความผูกพันกับคนในครอบครัวที่มีมิติและมีเหตุมีผลพอจะเรียกน้ำตาได้ในหลายๆ ซีน ยังมีพาร์ทที่สามารถเป็นงานทริลเลอร์-สืบสวนสอบสวนระดับคุณภาพ ที่เต็มไปด้วยชั้นเชิง พาผู้ชมให้ระทึกใจ ขนลุกไปกับความน่ากลัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับฆาตรกรฝีมือสุดเนี๊ยบ
กลายเป็น 8 ตอน หรือ 8 ep ที่แทบไม่เว้นวรรคให้ผู้ชมได้พักสมองกันเลยก็ว่าได้ เสมือนดูสุดยอดฝีมือที่เริ่มถักจากด้ายเส้นแรก ขึ้นรูปอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นเสื้อไหมพรมที่งดงามเชื่อมร้อยกันได้อย่างลงตัวในที่สุด
ความเก่งกาจของผู้กำกับการแสดงก็ควรได้รับคำชื่นชม เพราะต้องทำงานกับสุดยอดซุปตาร์ระดับ Tier 1 ของเกาหลี ที่ต้องแบ่งสรร-กระจายบทบาทความสำคัญให้กับนักแสดง ซึ่งบางคนได้มาปรากฎตัวไม่กี่นาทีเท่านั้น
ไม่นับตัวละครหลักอย่าง ชเวอีแจ (รับบทโดย ซออินกุก) กับ “ความตาย” (รับบทโดย พัคโซดัม) ที่เดินเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว การได้เห็นนักแสดงชั้นนำเหล่านี้มามัดรวมอยู่ในเรื่องเดียวกัน มันเป็นอะไรที่เหลือจะเชื่อมาก ไม่ว่าจะเป็น อีโดฮยอน (18 Again, The Glory, The Good Bad Mother) โกยุนจอง Alchemy of Souls, Moving ,Sweet Home) คิมจีฮุน (Flower of Evil, Money Heist) อีแจอุค (Alchemy of Souls , Move To Heaven) คิมแจอุค(Coffee Prince, Crazy Love) โอจองเซ (The Good Detective, Little Women, Revenant) งานชเวชีวอน (She Was Pretty , Drink Now ,Bloodhounds)
และแม้จะต้องกระจายบท แบ่งกันรับผิดชอบ แต่ปรากฎว่าทุกคนก็ใส่สุดพลัง ถ่ายทอดให้ตัวละครแต่ละคาแร็คเตอร์ โดดเด่น มีสีสัน มีมิติ จนกลายเป็นส่วนสำคัญที่คนดูติดตามอย่างตื่นเต้นไปจนสุดปลายทางของเรื่องที่เล่า
ชอบที่สุดอีกจุดหนึ่งคือ ซีรี่ส์ มอบมุมคิดอีกด้านหนึ่งสำหรับคนที่มักคิดถึงแต่ด้านที่ ท้อแท้ เจ็บปวดกับความล้มเหลว โกรธแค้นโลกที่ไม่เป็นธรรม ฯลฯ จนมองข้ามด้านบวกซึ่งอาจจะเป็นความสุขเล็กๆ หรือความผูกพันอันอบอุ่นที่มักถูกละเลย มองข้าม ทั้งๆ ที่นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เป็นสมบัติอันล้ำค่าที่มักคิดได้เมื่อเสียมันไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ตลอดเส้นเรื่องที่เล่าถึงบุคคลชั้นบนสุดของห่วงโซ่ทางสังคม เพียบพร้อมด้วย ความสำเร็จ เงิน อำนาจ อิทธิพล การยอมรับ ฯลฯ ก็จะสะท้อนภาพที่เป็นด้านมืด ภายใต้เครือข่ายที่เกื้อกูลกัน ทั้งกลุ่มทุน ระบบราชการ กระบวนการยุติธรรม ฯลฯ อันเป็นปัญหาสากลได้ดีพอสมควรเหมือนกัน
“ความตาย” นอกจากจะไม่ใช่จุดสิ้นสุด หรือหลุดพ้นแล้ว ในอีกแง่หนึ่งมันอาจเป็นภาระ หรือเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหา-ผลกระทบอีกมากมายที่ตามมา เจ็บปวด สูญเสีย มากเกินจะคาดคิดได้ …
เมื่อมีชีวิตแล้ว จงใช้มันให้ดีที่สุด ความทุกข์ยากที่เราต้องเผชิญ ไม่มีอะไรยากเกินกว่าจะต่อสู้ และ “ความตาย” ไม่อาจเป็นคำตอบสุดท้ายที่ดีที่สุด