เฌอปราง อารีย์กุล เตรียมรับบทบาทผู้จัดการวงไอดอลหญิง BNK48 อย่างเต็มตัว หลังจากจบงานคอนเสิร์ตส่งท้ายในฐานะกัปตันและสมาชิกวง BNK48 ที่ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี วันที่ 29 ตุลาคม 2566
ก่อนหน้านี้ เฌอปราง ได้รับการแต่งตั้งจากฝ่ายบริหารให้ขึ้นมารับตำแหน่งชิไฮนิน (ผู้จัดการวง) คนใหม่ เมื่อวันที่ 28 ธันวาคมปีที่แล้ว ส่งผลให้เธอทำหน้าที่ควบทั้ง ผู้จัดการวง กัปตัน และสมาชิกวง BNK48 ไปพร้อมๆ กัน
แม้ว่าช่วงแรกๆ เฌอปราง ยอมรับว่ารู้สึกหนักใจกับตำแหน่งผู้จัดการวง และกังวลเรื่องการสื่อสารทำความเข้าใจกับน้องๆ ในวงที่มีจำนวนกว่า 40 คน และแต่ละคนก็มีช่วงอายุที่แตกต่างกันไป
แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคงเป็นเครื่องพิสูจน์ให้บรรดาแฟนคลับได้เห็นแล้วว่าเธอทำหน้าที่ทุกด้านอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งทำงานหนัก ทุ่มเทแรงกายอย่างเต็มที่ และพร้อมสนับสนุนน้องๆ ในวงทุกคนให้ได้รับโอกาสดีๆ
ทีมงาน FEED ได้พูดคุยกับ เฌอปราง อย่างเป็นกันเองในช่วงที่เธอมีคิวเดินสายโปรโมตซีรีส์ Thank You Teacher และบทสัมภาษณ์ในครั้งนี้ทำให้เราเข้าใจตัวตนของเธอมากยิ่งขึ้น
ตัวตนของเฌอปราง อารีย์กุล เป็นอย่างไร
เฌอปราง : ตัวตนของหนูเหรอ หนูนิยามยังไงดี เป็นเด็กเอาแต่ใจค่ะ (หัวเราะ) เป็นเด็กดื้อเงียบค่ะ อยากทำอะไรจะทำให้สุด ถ้าเกิดเราสนใจเราจะค่อนข้างทำเต็มที่ในส่วนนั้น เป็นเนิร์ดค่ะ เป็นเด็กเนิร์ดในสิ่งที่เราชอบ เวลาสนใจอะไรก็สนใจมันเต็มที่ ลองลุยกับมันเต็มที่มากๆ
แล้วก็มักจะรู้สึกว่าอะไรที่มีโอกาสได้ทำแล้ว ทำให้มันที่สุดสิ เท่าที่ความสามารถ ณ โมเมนต์นั้น ร่างกายเราไหวที่สุด เราทำเต็มที่ไปก่อนดูว่าเราได้เรียนรู้อะไรจากมันมาบ้าง อาจจะไม่รู้ว่าทำไปแล้วได้อะไร แต่อาจจะได้ประสบการณ์อะไรบางอย่างกลับมาโดยที่ไม่คาดคิดค่อนข้างเยอะ
เป็นคนที่ชอบที่จะทำนู้นทำนี่ทำนั่นอย่างเต็มที่ แล้วก็เป็นคนชอบเรียนรู้ค่ะ ไม่เชิงชาเลนจ์ตัวเอง ทำตามใจตัวเองมากกว่าค่ะ ช่วงนี้อยากทำอะไร ทำ อยากกินอะไร กิน แต่โอเคฉันต้องมีกฎของตัวเองว่าตอนนี้ฉันต้องออกหน้ากล้องอยู่บ่อยๆ เพราะฉะนั้นฉันต้องดูดีนิดนึง
กรุณาทำ IF (Intermittent Fasting) ซะ ของหวานก็กรุณาลงลงหน่อย หรือกินอะไรแล้วสิวจะขึ้นก็จะพยายามลดมันลงไป ก็จะมีกรอบของตัวเอง เพราะเป็นเพอร์เฟ็คต์ชันนิสต์อีกนิดนึง ที่ลดความเพอร์เฟ็คต์ลงมาแล้ว แต่ก็ยังเยอะอยู่ในบางครั้ง (หัวเราะ) เป็น OCD (Obsessive-Compulsive Disorder) ด้วยค่ะ เป็นคนชอบเรียงนู้นนี่นั่น อะไรที่ไม่อยู่กับที่ เราก็จะเข้าไปนั่งจัดนิดนึง (หัวเราะ)
ความสุขในวัย 27 ปีของเฌอปรางคือเรื่องอะไร
เฌอปราง : ความสุขกับอะไรมากที่สุดเหรอ ถ้าง่ายที่สุดในแต่ละวันคือการได้กินของอร่อยค่ะ ใช่ ง่ายๆ ก็น่าจะสบายแล้ว เป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ เราไม่ได้ต้องแบบโอ้โหนี่คือความสุขฉัน การได้ซื้อของอะไรอย่างนั้น ไม่ขนาดนั้น
โอเคชอบเล่นเกม ชอบอ่านการ์ตูน ชอบอ่านนิยาย ชอบเก็บสะสมของแอนิเมะบางอย่าง ชอบไปดูภาพยนตร์ แต่ก็ไม่ค่อยได้ไปดู เพราะไม่มีเวลาจะไปข้างนอกเท่าไหร่ ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวัน ได้ทำนู้นทำนี่ ได้มีอะไรทำ ก็จะรู้สึกมีพลังงานขึ้นมาอะไรอย่างนี้
ชีวิตของเฌอปรางเหมือนจะทำได้ดีในทุกๆ ด้านเลย
เฌอปราง : ก็ขอบคุณทุกอย่างนะคะ ที่ทำให้หนูได้มีวันนี้ ขอบคุณมากนะคะ ไปสุดไหม ไปสุดแหละ หนูก็แค่ทำทุกสิ่งเท่าที่มีโอกาสเข้ามาอย่างเต็มที่ที่สุดจริงๆ แต่บางพาร์ทหนูอาจจะหายไป เช่น พาร์ทแบบสังคมเพื่อนๆ เราก็ไม่ค่อยได้ไปเจอเขา หายไป สังคมที่แบบดูหนังฟังเพลงกินข้าวสบายๆ ก็ไม่ค่อยมี
ที่บ้านก็ไม่ค่อยเจอ 2-3 เดือนเจอครั้งอะไรอย่างนี้ ก็จะมีแบบบาลานซ์กันคนละแบบ แต่ทุกฝ่ายแฮปปี้กัน ไม่มากก็น้อย เราก็เลยโอเค งั้นเราขอทำประมาณนี้ก่อนนะ เรายังสนุกอยู่
โหยหาชีวิตแบบวัยรุ่นที่ยังต้องการเจอเพื่อนๆ อยู่ไหม
เฌอปราง : กับที่บ้านยังเจอเยอะกว่าเพื่อนๆ แต่เพื่อนๆ ก็คือนานๆ ไปเจอทีอยู่แล้วค่ะ ปีละครั้งสองครั้งยังพอจัดตารางแวบๆ ไปหาเพื่อนได้ เวลาถ้าจะพัก เราก็จะแบบชอบอยู่บ้าน ชอบอยู่ในห้อง เคลียร์นู้นเคลียร์นี่ของตัวเอง ทำความสะอาดห้อง ห้องฉันสะอาด ฉันสบายใจแล้ว
ฉันก็เลยไม่ได้แบบชอบไปเจ๊าะแจ๊ะ ต้องไปเจอคนอะไรขนาดนั้น เป็นคน Introvert นิดนึงค่ะ (ถาม : แต่งานที่เราทำคือ Extrovert เลยนะ) ใช่ค่ะ ก็บาลานซ์ได้แล้วกันค่ะ ค่อยๆ หาในจุดที่พอดี หนูปรับตัวไปได้เรื่อยๆ นิดนึง
ชีวิตเฌอปรางมันค่อนข้างชัดเจนในทุกอย่าง ไม่ว่าจะเลือกอะไรก็มักจะประสบความสำเร็จ
เฌอปราง : แต่ว่ามันเหนื่อยนะชีวิตหนูเนี่ย (หัวเราะ) เพราะหนูทำทุกอย่าง ไม่ค่อยดูแลตัวเองมาก ไม่ค่อยเห็นใจว่าเออเหนื่อยก็เหนื่อย เหนื่อยก็ทำ เพราะเป็นสิ่งที่เธอเลือกทำ เธอก็ต้องทำสิอะไรอย่างนี้
จะไม่ค่อยแบบเหนื่อยแกพักก่อนไหม จะไม่ค่อย จะแบบแกต้องทำให้เสร็จ ฉันก็ต้องทำให้เสร็จ จะไม่ค่อยแบบพักก่อนๆ ไม่ค่อยบอกตัวเองขนาดนั้น ขอทำงานไปเรื่อยๆ ดีกว่า
พอไม่มีอะไรทำ หนูก็จะเริ่มแล้ว ไปหานู้นหานี่ทำ ไปคุย ไปเริ่มพัฒนาตัวเอง ไปเรียน ไปนู้นไปนี่อะไรอย่างนี้ เฌอรู้สึกว่าเฌอค่อยๆ ก้าวไป ค่อยๆ เติบโตไป
ชีวิตของเฌอปรางเคยเจอกับความล้มเหลวบ้างไหม
เฌอปราง : เยอะแยะ ตอนแรกหนูตั้งใจจะไปเรียนต่างประเทศค่ะ ช่วงมหาลัย แล้วก็ต้องใช้ IELTS ประมาณ 7 มั้ง แต่หนูสอบได้ 6.5 ไม่ถึงอะไรอย่างนี้ อยากได้เกียรตินิยมอันดับ 1 ก็พลาดไป 0.4 อะไรแบบนี้ (ถาม : นี่คือผิดหวังของเฌอแล้วเหรอ) มันก็ทำมาตั้ง 4 ปีแล้วพี่
ตอนมัธยมอย่างนี้ หนูต้องได้ 3.8 เพื่อไปยื่นเพื่อขอทุน หนูก็ได้ 3.76 หนูก็จะเฮ้อ อะไรกันเนี่ย อีกนิดเดียวเอง เหมือนทุกอย่างมันอีกนิดเดียว อีกนิดเดียวอะไรอย่างนี้
แต่ว่าก็ไม่ได้แบบรู้สึกว่าฉันพลาดขนาดนั้น ฉันก็รู้สึกว่าฉันทำเต็มที่ในส่วนที่ฉันทำได้แล้วเท่าที่ผ่านมา มันก็แค่เสียดาย แบบอีกนิดเดียวเอง หรือว่านู้นนี่นั่นนิดๆ หน่อยๆ ก็เลยจะแบบไม่เป็นไรเอาใหม่ เราก็แค่เลือกที่เราพอจะทำได้ไปเรื่อยๆ แต่เป็นคนที่ทำอะไรแล้วทำสุด มันก็เลยดูไปไกลจังเลย
เฌอปรางเสียใจร้องไห้ครั้งล่าสุดคือเรื่องอะไร
เฌอปราง : ถ้าเสียใจร้องไห้ เพิ่งมีไม่นานนี้แหละค่ะ เกิดเรื่องที่เกิดขึ้นใหญ่ๆ กับชีวิตอะไรอย่างนี้ ก็รู้สึกประมาทไปหน่อย กับเรื่องที่เกิดขึ้น รับมือไม่ทัน แล้วก็ยังรีแอคไม่ทัน ยังรีแอคไม่เร็ว ทั้งๆ ที่เราก็เคยมีประสบการณ์ไม่มากก็น้อย เลือกไม่ทันไปหน่อย พยายามเป็นคนที่ไม่อยากให้มีคำว่ารู้งี้ในชีวิต
เพราะหวังว่าเราจะได้แบบไม่เสียดายเวลาที่ผ่านมา ไม่แบบ regret เราก็จะก้าวไปข้างหน้าต่อ แต่ก็เพิ่งเกิดเรื่องรู้งี้ใหญ่ๆ ที่ยังคงเป็นอะไรที่เมื่อไหร่ที่นึกถึงก็จะรู้สึกไม่ comfort ขนาดนั้น เรียกว่าเข้าใจสิ่งที่มันเกิดขึ้น แล้วก็รู้สึกว่ามันผ่านมาแล้ว มันเกิดขึ้นไปแล้ว ตอนนี้เราได้แต่ดูแลกันและกันกับที่บ้านกันต่อ
ค่อยๆ ตอบตัวเองกันต่อไปว่าเอายังไงกันต่อ ตอนนี้ก็กำลังอยู่ในช่วงที่แบบคุณพ่อคุณแม่จะรีไทร์หรือยังคะ อยากให้คุณพ่อพักผ่อนอะไรอย่างนี้ คุณแม่ก็ทำนู้นทำนี่ มีอะไรอยากทำไหม
เพราะไม่อยากให้เขาว่าง ถ้าเขาว่างแล้ว เขาน่าจะเบื่อหรือว่าจะแบบไม่มี ยิ่งดาวน์ลงไปอะไรอย่างนี้ ถ้ายังเห็นแม่ไปทำนู้นทำนี่หนูก็จะสบายใจมากกว่า
เคล็ดลับการใช้ชีวิตของเฌอปราง หรือช่วยแชร์ประสบการณ์ของตัวเองในการรับมือกับสิ่งต่างๆ
เฌอปราง : หนูโชคดีที่หนูยังมีคนรอบข้างค่ะ ที่คอยซัพพอร์ตกันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะครอบครัว ไม่ว่าจะที่ทำงาน ทางวงไอดอล หรือคนรอบข้าง คนที่เอ็นดู แฟนๆ อย่างนี้ให้ความรัก ให้กำลังใจกันมาโดยตลอด เราก็ยังรู้สึกว่า เรายังมีผู้คนเหล่านี้อยู่รอบตัวอะไรอย่างนี้ ก็เลยฮึบ
(ถาม : แสดงว่ากำลังใจจากรอบข้างสำคัญมาก) ใช่ เรารู้สึกว่าเราต้องอยู่เป็นกำลังใจให้ที่บ้านด้วยค่ะ มันรู้สึกยังแบบโอเค ไม่เป็นไร หนูยังอยู่นะ อยู่ตรงนี้นะ ยังอยู่ตรงนี้ให้เขา (ถาม : งั้นแสดงว่าทุกวันนี้ก็เป็นกำลังหลักให้ที่บ้านแล้ว) ช่วยๆ กันมากกว่าค่ะ ต่างคนต่างเป็นกำลังหลักซึ่งกันและกันมากกว่าค่ะ
แต่ว่าก็ต่างคนต่างใช้ชีวิต เพราะว่าต่างคนต่างอยู่กันคนละที่ หนูก็อยู่ที่ทำงานซะเป็นส่วนใหญ่ นานๆ ก็กลับไปเจอ กลับไปบ้านที แล้วก็แม่จะคอยซัพพอร์ตในเรื่องดูแลเสื้อผ้าให้ คอยเอาผ้าไปซักนู้นนี่ เพราะหนูยุ่งมากจริงๆ หนูไม่มีเวลาแม้แต่ซักผ้าเอง ตากผ้าเองขนาดนั้น
แม่จะคอยเข้ามาซัพพอร์ตในช่วงตรงนี้ แล้วคุณพ่อจะดูในเรื่องการเงิน การยื่นภาษีใดๆ หรือว่าภาพรวมข้างนอกอย่างอื่นให้ แล้วก็ประคับประคองกันไป ส่วนอย่างอื่นก็เป็นกำลังใจไม่มากก็น้อย กับการทำงานที่เกิดขึ้นอะไรอย่างนี้ค่ะ
เรียกว่ายังหายใจอยู่ ก็จะพยายามใช้ชีวิตต่อไปให้ดีที่สุดค่ะ นอนก็ขอบคุณตัวเองทุกวัน วันนี้ผ่านไปแล้วนะอะไรอย่างนี้ เก่งมากนะ ชมตัวเอง ให้กำลังใจตัวเอง กอดๆ กอดตัวเอง ใช่ค่ะ กอดตัวเองค่ะ
ชีวิตท่ามกลางสปอตไลท์ของเฌอปรางมีความยากง่ายแค่ไหน
เฌอปราง : มันมีเรื่องที่หนูต้องเรียนรู้มากขึ้น หลังจากที่อยู่วงการมาประมาณ 7 ปีตั้งแต่เข้ามา ก็มีเรื่องที่ได้เรียนรู้เยอะมากค่ะ แล้วก็แบบโอเคมันเป็นอย่างนี้นี่เอง ค่อยๆ ปรับตัวไป แต่ถามว่ายากไหม ไม่ได้ยากขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้แบบรู้สึกว่าตัวเอง เปลี่ยนไป แบบเวลาเจอคน หนูก็ยัง interact การทำงานปกติ
แค่มีบางข้อ ที่โอเคเป็นข้อจำกัด ที่แบบตอนเป็น BNK เราจะมีข้อจำกัดในตรงนี้นิดนึง เช่นถ่ายรงถ่ายรูป จะแบบถ่ายหนูเดี่ยวไปได้ไหมคะ ถ่ายคู่กันไม่ได้ทีนะอะไรอย่างนี้
หลังจากที่ได้เข้ามาในวงการบันเทิงกรอบความคิดของตัวเองเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง
เฌอปราง : กรอบความคิดเราเปลี่ยนไปยังไงบ้างเหรอคะ มีโตขึ้น รู้สึกว่าอ๋อโลกมันกว้างกว่าที่เราคิด ที่เราคิดว่าเออเราพอจะรับมือกับการทำงานในสังคมที่กว้างขึ้นได้แล้วนะ เราพอจะเก่งแล้วนะ จริงๆ แล้วมันยังไปได้อีก ยังมีเรื่องให้เจอได้อีก โอเคลุยมันไปเรื่อยๆ
เรียกว่าประสบการณ์ทำให้เรารับมือกับมันอย่างมีสติมากขึ้นแล้วกันค่ะ ไม่ค่อยซ้ำในจุดเดิมแล้ว ปล่อยวางง่ายขึ้นด้วย ปล่อยวางแบบปล่อยจริงๆ อะไรหลายๆ เรื่อง
แล้วก็ได้เข้าใจเด็กๆ มากขึ้นค่ะ เพราะอยู่กับน้องบางคนตั้งแต่ 10 กว่าๆ จนถึง 20 เราเห็นพัฒนาการของเด็กในช่วง Range อายุ 5-6 ปี ตรงนี้แบบชัดเจนมากเลย
แล้วบางทีมันมีแพทเทิร์นใกล้กันด้วยค่ะ จนหนูแบบอ๋อการที่ต้องคุยกับเด็กในวัยนี้ ประมาณนี้นะ อีกวัยหนึ่งต้องประมาณหนึ่งนะ ชาเลนจ์ของแต่ละช่วงไม่เหมือนกันนะ อันนี้เอเนอร์จี้มา เราจะใส่แบบนี้ได้ เอเนอร์จี้อีกแบบจะใส่อีกแบบได้อะไรอย่างนี้ มันพอจะมีจับเค้าโครงบางอย่างได้อยู่ เป็นการเรียนรู้ที่ได้เห็นด้วยตาตัวเองจริงๆ