24 พฤษภาคม ค.ศ.1988 หรือตรงกับปีพุทธศักราช 2531 ถือเป็นวันในตำนาน วันแห่งความภาคภูมิใจของแฟนนางงามและคนไทยทั้งประเทศหลัง “ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก” ตัวแทนสาวไทยจากเวทีนางสาวไทย พ.ศ.2531 ซึ่งเข้าร่วมการประกวดมิสยูนิเวิร์ส 1988 และคว้ามงกุฎมาได้สำเร็จ เป็นคนไทยคนที่สองต่อจาก “ปุ๊ก อาภัสรา หงสกุล” ที่ได้ครอบครองมงกุฎแห่งจักรวาลนี้เมื่อปี ค.ศ.1965
และในปีนี้ซึ่งครบรอบ 35 ปี การครองมงกุฎของ ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก เจ้าตัวได้โพสต์ข้อความผ่านทางอินสตาแกรม @bui.simon ถึงวันครบรอบวันสำคัญของชีวิต วันที่เปลี่ยนชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งให้กลายเป็นนางงามจักรวาล และยังเป็นโอกาสที่ทำให้เจ้าตัวได้ทำเพื่อสังคม โดยเฉพาะเรื่องการช่วยเหลือเด็ก จนเป็นที่มาของการก่อตั้งมูลนิธิ Angels Wings โดยระบุว่า
“ฉันรู้สึกขอบคุณตลอดไปสำหรับของขวัญแห่งการเปลี่ยนแปลงที่องค์กรมิสยูนิเวิร์ส มอบให้ฉันตั้งแต่สวมมงกุฎเมื่อ 35 ปีที่แล้วในวันนี้
นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้นึกถึงวันอันมหัศจรรย์นี้ หลายทศวรรษที่ผ่านมา ช่วงเวลาที่น่าภาคภูมิใจที่สุดของฉันคือ การสนับสนุนเพื่อสิทธิเด็กที่องค์การสหประชาชาติ การสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Pepperdine, การแต่งงานเกือบ 21 ปีของฉัน, การเลี้ยงลูกทั้ง 5 คน และการก่อตั้งมูลนิธิ Angels Wings ของฉัน
ขอขอบคุณครอบครัว Miss Universe ที่ยังคงให้ความสำคัญและส่งเสริมผู้หญิงด้วยการเปิดพื้นที่อันเป็นเอกลักษณ์สำหรับการสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวแทนจากทั่วโลก อิทธิพลของคุณ(เวทีประกวด) ทำให้เด็กสาวผู้ถ่อมตัวจากกรุงเทพฯ คนนี้สามารถค้นหาความฝันอันไร้ขีดจำกัดของตัวเอง และมั่นใจที่จะทำมัน และฉันภูมิใจที่สุดในตัวเด็กๆ ผู้ล้ำค่าที่ฉันได้ช่วยเหลือมาตลอดทาง
แต่ความกตัญญูกตเวทีอย่างจริงใจของฉันส่งต่อมาจากคุณแม่ ผู้ปลูกฝังให้ฉันเห็นคุณค่าอย่างลึกซึ้งของวัฒนธรรมไทยที่เป็นบ้านเกิด ที่เต็มไปด้วยขนบธรรมเนียมประเพณี การให้เกียรติในความเคารพ และความมีน้ำใจ
ขอบคุณค่ะประเทศไทยที่รักของฉัน ที่ทำให้ฉันได้เป็นผู้หญิงไทยที่โชคดีที่สุด และภาคภูมิใจที่สุด”
พร้อมรูปภาพขณะสวมมงกุฎแห่งเกียรติยศในวันนั้น
ย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2531 ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ ในวัยเพียง 20 ปี เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการประกวดมิสยูนิเวิร์ส 1988 ซึ่งจัดขึ้น ณ Lin Kou Stadium เมืองไทเป เกาะไต้หวัน ปีนั้นมีสาวงามเข้าร่วมการประกวดรวมกันทั้งสิ้น 66 คน ท่ามกลางตัวเต็งจากหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา โดมินิกัน หรือแม้แต่ เกาหลีใต้ ที่อยู่ฝั่งเอเชียด้วยกัน
การประกวดปีนั้น ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ ทำคะแนนในรอบชุดว่ายน้ำได้เป็นลำดับที่ 11 แต่เมื่อรวมคะแนนจากรอบชุดราตรีและการสัมภาษณ์ สามารถผ่านเข้ารอบ 10 คนสุดท้ายมาเป็นลำดับที่ 4 ตามหลังนางงามจากสหรัฐอเมริกา โดมินิกัน และเกาหลีใต้
จนมาถึงรอบตอบคำถาม ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ ตอบคำถามด้วยภาษาอังกฤษที่ฉะฉานทุกประโยคที่พูดออกมา
พิธีกร : คุณเป็นมิสยูนิเวิร์สตัวแทนประเทศไทยได้อย่างไร ในเมื่อคุณเรียนอยู่ที่ Pepperdine City College
ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ : การที่คุณจะเป็นคนไทยนั้น คุณไม่จำเป็นต้องอยู่ในประเทศไทย ดิฉันหวังจะเป็นตัวอย่างที่ดีของคนไทยในประเทศของฉัน เพราะดิฉันเป็นคนไทย จริงอยู่ที่ฉันเติบโตที่ลอสแองเจลลิส แต่ฉันเป็นคนไทยมาโดยตลอด ดิฉันยึดถือประเพณีไทย พูดภาษาไทย และอยkกให้ทุกคนทราบว่า ดิฉันภูมิใจที่เป็นผู้หญิงไทย
พิธีกร : ใครสอนภาษาอังกฤษคุณเป็นคนแรก
ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ : ภาษาอังกฤษของดิฉัน ที่บ้านเราไม่ให้พูดภาษาอังกฤษ พูดได้แต่ภาษาไทยเท่านั้น ฉันจึงพูดไทยได้ ดิฉันเป็นหนี้บุญคุณ บิ๊กเบิร์ด ดิฉันชอบดูรายการนั้นมากตอนเด็กๆ
จนมาถึงคำถามสุดท้าย พิธีกรชายถามว่า ผมรู้มาว่าคุณมีโครงการการกุศล สำหรับเด็กที่ทำอยู่ด้วย ก่อนที่ ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ จะตอบว่า
“แม้เมืองไทยจะมีความสวยงาม มีวัฒนธรรมประเพณีที่ดี แต่เรามีปัญหา เด็กไทยนับหมื่นคนยังอดอยากและเสียชีวิต ในฐานะนางสาวไทย ดิฉันหวังว่าจะสามารถช่วยให้เด็กเหล่านั้นดีขึ้นได้”
ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก ตอบคำถามรอบสุดท้าย
ปีนั้นถือเป็นปีทองของตัวแทนสาวงามจากฝั่งเอเชียเลยก็ว่าได้ ที่พากันเข้าสู่รอบท็อป 5 เป็นจำนวนถึง 4 คน 4 ประเทศด้วยกัน ซึ่งประกอบด้วย ไทย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และฮ่องกง
ก่อนจะถึงนาทีระทึก นั่นก็คือการประกาศท็อป 5 คนสุดท้าย โดยรองอันดับ 4 ตกเป็นของ “พอลลีน หยาง” จากฮ่องกง, รองอันดับ 3 “มิซุโฮะ ซะกะกุชิ” จากญี่ปุ่น, รองอันดับ 2 “อแมนดา โอลิวาเรส” จากเม็กซิโก เหลือสองสาวจากเอเชีย “จาง ยุนจอง” จาก เกาหลีใต้ และ ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ จากประเทศไทย จับมือกันเป็นสองคนสุดท้าย ก่อนที่มงกุฎจะตกเป็นของ “ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก” ตัวแทนสาวไทย ได้สำเร็จ!!
นำความภาคภูมิใจมาสู่คนไทยทั้งประเทศเป็นครั้งที่สอง
ความทรงจำสุดยิ่งใหญ่ ของกูรูนางงาม
“หนุ่ม นันท์นภัทร เจิมจุติธรรม” ผู้เชี่ยวชาญด้านการประกวดและกูรูนางงามชื่อดัง ที่ติดตามการประกวดนางงามมานานกว่า 30 ปี เคยให้สัมภาษณ์กับ FEED ไว้ก่อนหน้านี้ ถึงเหตุการณ์ในความทรงจำที่ได้ไปร่วมรอต้อนรับการกลับมา ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ ในปี 1988
“พี่จำวันนั้นได้ดีวันที่พี่ปุ๋ยกลับมาเยี่ยมบ้าน พี่ปุ๋ยได้ตำแหน่งนางงามจักรวาลเดือนพฤษภาคม แต่กลับมาเยี่ยมบ้านในเดือนสิงหาคม เรารอคอยเขานานมากกว่าเขาจะกลับมา ในระหว่างนั้นเราจะเห็นข่าวจากหนังสือพิมพ์เพราะอินเทอร์เน็ตยังไม่มี พอวันที่เรารู้แล้วว่าพี่ปุ๋ยแลนด์ดิ้งคืนนี้แล้ววันรุ่งขึ้นจะต้องมาที่สนามหลวง เพื่อมาโชว์ตัวและกล่าวสวัสดี รับกุญแจเมืองกับทางผู้ว่าฯ กทม. ในยุคนั้น ก็คือท่าน “พลตรี จำลอง ศรีเมือง” คนมารอแบบมืดฟ้ามัวดินเช่นกัน แล้วพี่ปุ๋ยก็นั่งรถเชฟโรเลต อิมพาลา คันเดิมที่เคยรับพี่ปุ๊ก อาภัสรา มาส่งที่สนามหลวง”
“วันนั้นฝนตกแต่คนก็ไม่หนีไปไหน ทุกคนยืนกางร่มแล้วก็รอว่าพี่ปุ๋ยจะพูดอะไร พี่ว่าเป็นบรรยากาศที่น่าชื่นชมและเป็นบรรยากาศที่ทำให้ประชาชนคนไทยในวันนั้นมีความสุขมากๆ โดยเฉพาะวันที่พี่ปุ๋ยกลับมาเป็นเดือนสิงหาคม เป็นเดือนมหามงคล แล้วก็มีโอกาสได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถด้วย พี่ว่าเป็นการทำให้ประชาชนคนไทยมีความสุขในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างชื่อตอกย้ำชื่อของประเทศไทย ด้านความสวยงาม ความเพียบพร้อมของสุภาพสตรี และก็เป็นการเปิดประเทศของเราในด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไปอีกทางหนึ่งด้วย”
“ในยุคนั้นเป็นความแมสอย่างชนิดที่ว่าเราไม่เคยเห็นบุคคลต่างอาชีพ ต่างสาขาใดๆ มารวมตัวกัน คือในยุคปัจจุบัน คนที่สนใจฟุตบอลไปดูฟุตบอล คนชอบนักร้องร้องเพลงไปดูนักร้อง คนชอบนางงามไปดูนางงาม เรามีความชอบที่หลากหลายแตกต่างกันไป แต่ว่าในยุคปี พ.ศ.2531 พี่จำได้แม่น เราเจอพนักงานแบงค์ เราเจอข้าราชาการ ตำรวจ ทหาร หมอ พยาบาล ที่ไปอยู่รวมกันที่สนามหลวงในวันนั้น และเราก็เจอเด็กๆ จากโรงเรียนต่างๆ มีคุณครูพาเด็กๆ มา แล้วก็มายืนรอมาต้อนรับนางงามจักรวาล พี่ว่ามันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากในปีนั้น”