กำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง ทั้งในไทยและต่างประเทศ สำหรับสองนักแสดง “เน็ต – สิรภพ มานิธิคุณ” และ “เจมส์ – ศุภมงคล วงศ์วิสุทธิ์” ที่มารับบท คิง และ เอื้อ ด้วยเคมีของทั้งคู่ที่เข้ากันมากๆ จนกลายมาเป็นกระแสที่ถูกหยิบยกนำมาพูดถึง โดยเฉพาะ ฉากเลิฟซีนเขย่าวงการสายวาย ในซีรีส์ อย่าเล่นกับอนล Bed Friend Series เรื่องราวร้อนแรงของหนุ่มออฟฟิศกับเรื่องราวความรัก ในรูปแบบ “Friend With Benefits (FWB)”
FEED เลยถือโอกาสชวนทั้งคู่มาพูดคุยเปิดใจถึงบทบาทการทำงานในซีรีส์เรื่องดังกล่าว
เน็ต – เจมส์ : สวัสดีครับ เน็ต สิรภพ ครับ เจมส์ ศุภมงคล ครับ
ความรู้สึกต่อตัวเองในวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง
เจมส์ : ถ้าความรู้สึกของเราตอนนี้ก็เราหาเวลานอนได้ยากมากขึ้น เวลาพักผ่อน รู้สึกว่าความรับผิดชอบเยอะมากขึ้น บวกกับการจัดการเวลา การจัดการชีวิตของตัวเอง และความรับผิดชอบต่อคนอื่น มันเพิ่มขึ้นเยอะมากๆ
เน็ต : ของเน็ตน่าจะเป็นความรับผิดชอบครับ รับผิดชอบในหน้าที่การงาน ได้ฝึกพัฒนาตัวเองในหลายๆด้าน สมมติถ้าเราไม่ได้มาทำงานในวงการบันเทิง การร้อง การเต้น การแสดง การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างคนรอบข้างอาจจะไม่มี รู้สึกว่าได้พัฒนาทักษะทางด้านนี้ด้วย
เคยมีมุมที่เราถามตัวเองว่าเราทำงานเยอะขนาดนี้ไปทำไมไหม
เน็ต : สำหรับผมตอนนี้ยังไม่มีครับผม แต่ว่าคนรอบข้างจะบอก คนรอบข้างจะบอกว่าเน็ตมึงทำไปทำไม เพราะเหมือนกับดูเหนื่อยนะ ดูไม่มีเวลาให้กับคนอื่นเลย นี่ก็บอกว่ามันสนุกนะ มันก็เหมือนกับว่าเราชอบด้วย รู้สึกว่าถ้าเราทำในสิ่งที่เราชอบ ผมรู้สึกว่ามันเหนื่อยแหละ แต่ว่ามันมีแรงที่จะทำต่อไป
เจมส์ : ผมก็เคยมีคำถามแบบนี้เกิดขึ้นมาในหัว เวลาที่เราทำอะไรที่มันหนักมากๆ บางทีเราเคยได้นอนแค่ 1-2 ชั่วโมง 3-4 วันติด มันก็มีคำถามในหัวว่าเราทำงานหนักขนาดนี้เลยหรอ แล้วยิ่งเป็นคนที่ป่วยบ่อย เป็นคนป่วยง่าย เลยรู้สึกว่ามันก็มีความคิดหนึ่ง ณ ช่วง ขณะหนึ่ง แต่สุดท้ายมันก็มูฟต่อไปได้ มันก็อาจจะมีแค่แวบๆ เข้ามา
คิดมุมไหนว่าต้องไปต่อ
เจมส์ : ความรับผิดชอบครับ เพราะว่าเรารู้สึกว่าการทำงานแบบนี้ คือมันมีทั้งโอกาสที่เข้ามา จะรู้สึกขอบคุณโอกาสทุกครั้งที่มันเข้ามา เพราะมันไม่ใช่ว่าใครจะได้โอกาสนี้ แล้วพอเราได้มาปุ๊บ แล้วเรารับโอกาสนั่นมาแล้ว ต่อให้เราจะเป็นตายร้ายดียังไง เราก็ต้องรับผิดชอบมันให้ได้
พอใจกับจุดที่ตัวเองยืนอยู่ขนาดไหน
เจมส์ : ถ้าถามว่าตอนนี้พอใจขนาดไหน มันรู้สึกว่าคิดถึงตอนแรกๆ ที่เรายังไม่ได้ทำงาน ตอนที่เรายังเคว้ง ยังหาคำตอบกับตัวเองไม่เจอว่าเราจะทำอะไรดี แต่ตอนนี้พอมองย้อนกลับไป อ่อเราก็ทำได้หลายๆ อย่าง แต่ว่าก็อาจจะต้องพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ครับ มันก็ภูมิใจครับ แต่ว่ามันยังไม่สุดนะครับ มันยังต้องไปต่อได้มากกว่านี้ เราต้องโฟกัสได้มากกว่านี้
เน็ต : เข้าใจครับ เพราะอยู่ในวงการตอนเด็กๆ เน็ตก็ยังไม่แตะถึงขั้นนี้ครับผม เลยรู้สึกว่าภูมิใจในตัวเองมาก คือเราสามารถพัฒนาการแสดง การเต้น และการร้องไปเรื่อยๆ เรารู้สึกว่ามันยังไปได้อีกครับ ผมรู้สึกพอใจและดีใจมากๆ ครับ
ช่วงการทำงานที่ผ่านมาอะไรเป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับตัวเอง ที่ต้องก้าวข้ามให้ได้
เน็ต : น่าจะเป็นความกดดันครับ และสภาพแวดล้อมของคนรอบข้างครับผม เพราะเรารู้สึกว่าการกดดันสำหรับเรา มันเป็นปัญหาใหญ่ เพราะว่าเราเคยโดนกดดันตั้งแต่เด็ก ตอนที่เราเข้าวงการบันเทิง คือเราไม่ชอบเลย และรู้สึกว่าอันนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมออกจากวงการบันเทิงไปรอบหนึ่ง แล้วพอผมกลับมาแล้ว ผมเลยคิดว่าการที่ผมจะออกจากวงการบันเทิงก็น่าจะเป็นเพราะว่าคนรอบข้างมากกว่า เพราะผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับวงการบันเทิง เพราะผมชอบ ผมชอบแสดง และชอบได้ทำนั่นทำนี่ใหม่ๆ แต่ว่าสิ่งที่เป็นอุปสรรคก็น่าจะเป็นการทำงานร่วมกับคนอื่นมากกว่า
จัดการยังไง
เน็ต : ถ้าเรื่องกดดันก็อาจจะเปลี่ยนมุมเปลี่ยนทัศนคติของตัวเองครับ การที่ไม่คิดมาก หรืออันไหนปล่อยได้ก็ปล่อยครับ หรือแม้กระทั่งสภาพแวดล้อม คนรอบข้าง เราก็เลือกที่จะคบ เลือกที่จะอยู่ให้เป็น ผมมองว่าผมเข้ามาในวงการบันเทิงมายเซ็ตของผมตอนแรกก็คือเรามาสนุกมาเอ็นจอยกับทุกคน มาทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ๆ แต่ว่าพอนานไปเข้าก็มีรุ่นพี่เตือนว่าต้องดูคนดีๆ นะ เพราะว่าเราก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ผมก็เรียนรู้การใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ครับ
เจมส์ : น่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตอนแรกผมเคยคิดว่าการที่มีคนคอยหยิบยื่นโอกาสให้มันเป็นสิ่งที่ดีแล้ว แต่สุดท้ายแล้วมันมาตกม้าตายที่ตัวเอง สมมติว่าเราได้โปรเจกต์หนึ่งมา แต่ถ้าเผื่อเขาคิดว่าเขายื่นโปรเจกต์นี้มาให้ แล้วเราจะได้เลย จริงๆ มันไม่ใช่สำหรับผม เราจะต้องเก่งจากตัวเราจริงๆ อะไรที่เราขาดเราก็ฝึก ผมรู้สึกว่าถ้าเราเก่งตรงไหนมากพอ โอกาสหรือว่างานนั้นจะเข้ามาหาตัวเราเอง
ผมเคยเชื่อว่าการที่เราจะทำงานอะไรได้ มันไม่ใช่แค่โอกาสแค่อย่างเดียว มันต้องบวกกับตัวเราด้วย และการที่เลือกเชื่อใจคน ต้องขอบคุณอดีตของผมด้วยกับการที่ผมเคยเชื่อใจหลายๆ คน มากๆ ใครที่มาทำดีกับเรา ใครที่มาคอยป้อนงานเรา เราจะเชื่อใจเขาว่าเขาเป็นผู้มีบุญคุณ เขาดูเชื่อได้ เราเชื่อจากคำพูดเขา แล้วมันทำให้เรารู้สึกว่าเรามีเกราะป้องกันในการที่เราทำอะไรคนเดียวได้ เราเคยผ่านจุดที่เราต้องผ่านแรงกดดันคนเดียวได้แล้ว ผ่านคำติคำด่าหลายๆ อย่าง ที่เราต้องผ่านมันได้คนเดียว มันเลยทำให้รู้ว่าการที่เราจะทำอะไรในวงการ ถ่ายแบบ ซีรีส์ โฆษณา ในสมัยก่อนที่เราได้ฝึกมาเราได้ใช้แล้วในปัจจุบัน ต้องขอบคุณตัวเองมากๆ ที่เลือกจะทำแบบนั้น เราเคยอยู่ในจุดที่แบบว่า เอ้ย เราไม่มีอะไรดีบ้างเลยหรอ คิดว่าเราร้องไม่ได้หรอ เต้นไม่ได้หรอ จนรู้สึกว่าอยากเก่งทุกๆ อย่าง
เคยรู้สึกด้อยค่าตัวเองไหม
เจมส์ : มีครับมี มันเป็นความรู้สึกเคว้งนะครับ ช่วงที่เข้ามาแล้วเราไม่ได้งานเลย ไปแคสโฆษณาหรือไปแคสงานต่างๆ นั่งแท็กซี่ไปกลับทุกวันไม่ได้งาน ระยะเวลาน่าจะ 2-3 ปี จนเรารู้สึกว่าหรือเราไม่เหมาะกับด้านนี้ จนกระทั่งทุกวันนี้
รู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จหรือยัง
เน็ต : ถ้าถามผมว่าประสบความสำเร็จหรือยัง ผมมองว่ามันเป็นก้าวข้ามที่จะประสบความสำเร็จดีกว่าครับ คือถ้ามองกลับอดีตก็คือผมยังไม่ได้ประสบความสำเร็จขนาดนี้มาก่อน พอผลงานออกอากาศแล้วกระแสตอบรับดีเกินคาด รู้สึกว่าถ้าออกอากาศแล้วทุกคนชอบ ก็จะมองว่ามันเป็นผลงานหนึ่งที่ผมภูมิใจมากๆ เพราะมันน่าจะประสบความสำเร็จตามที่พวกเราคิดเอาไว้ครับ
เจมส์ : ถือว่าเป็นจุดหนึ่งในชีวิตนะครับ ที่ผ่านมาผมก็จะได้เป็นบทสมทบบ้าง extra บ้าง เราเคยมีความคิดหนึ่งอยู่ว่าคนที่เขาขึ้นเป็นนักแสดงหลัก เขาทำยังไง หรือว่าเขาต้องแคสหรอ จนกระทั่งพอเราได้เป็นนักแสดงหลักในเรื่อง อย่าเล่นกับอนล มันก็มีความรู้สึกที่เราภูมิใจเหมือนกันว่าเรามาถึงจุดนี้แล้วนะ อย่างที่บอกเลย พอได้เล่นเป็นเมนหลัก บทมันก็จะเยอะขึ้น การดูแลตัวเองก็ต้องมากขึ้น เพราะอย่างเช่นถ้าเราเป็นอะไรไป ผมเคยป่วย กองก็ต้องเลื่อน เพราะว่าเราเป็นเมนหลัก ความรับผิดชอบก็ต้องเพิ่มมากขึ้น มันก็มีทั้งความภูมิใจ และความเหนื่อยที่เพิ่มมากขึ้น แต่ว่ามันก็รู้สึกว่าเราทำได้แล้วนะ
สเต็ปต่อไปที่วางไว้ของชีวิต
เจมส์ : ถ้าสูงกว่านี้คงเป็นการมีบ้านสักหลัง มีรถสักคัน ให้ครอบครัวที่อยู่ต่างจังหวัดมาอยู่กับเราได้
ถ้าในพาร์ทของการทำงาน นี่ชอบการเต้นหรือการร้องมาก อยากลองไปแข่งหรือว่ามีบอยแบนด์อะไรแบบนี้บ้างที่คิดไว้นะครับ
เน็ต : ถ้าพาร์ทการทำงาน อยากมีชื่อเสียงครับผม เป็นที่รู้จักทั้งในประเทศ และต่างประเทศครับ เพราะจริงๆ แล้วส่วนตัวเป็นนคนที่ชอบเดินทาง ถ้ามีโอกาสมีชื่อเสียง ก็อยากไปออนทัวร์ หลายๆ ประเทศ อันนี้เป็นจุดที่ฝันไว้ในวงการบันเทิง
พอรู้ว่ามาเล่นคู่สองในจักรวาลพี่เจตคนกลาง ซีรีส์เรื่อง “อย่าเล่นกับอนล”
เจมส์ : แปลกอะ (หัวเราะ) ตอนแรกที่พี่อ๊อฟ (กิตติพัฒน์ จำปา) โทรมาครั้งแรกเลยว่าพี่อยากให้เจมส์มาเล่นเรื่องพี่เจตคนกลาง แต่ว่าเจมส์จะได้เล่นอีกพาร์ทหนึ่ง (อย่าเล่นกับอนล) ผมก็เลยถามพี่อ๊อฟ ว่าอะไรนะพี่เจตคนกลาง แต่ว่าพอเราได้อยู่กับมันเราก็เลยรู้ว่า สมัยนี้เขาจะตั้งชื่อเรื่องให้มันเป็นกิมมิคของมันจริงๆ ตัวละครชื่ออะไร เขาเลยตั้งชื่อเรื่องมา เราก็รู้สึกแปลก
เน็ต : ของเน็ตก็งงเหมือนกันครับผม ตอนแรกพี่อ๊อฟติดต่อให้เข้าไปดูตัวก่อน ก็งง พอเขาบอกว่าอยากให้เล่นเรื่องพี่เจตคนกลาง เราก็งงว่า ชื่อเรื่องซีรีส์อะไรนะ เพราะเหมือนเป็นชื่อคน เป็นชื่อที่ไม่น่าเป็นชื่อซีรีส์ แต่พอรู้ว่าเราจะได้เป็นหนึ่งในพี่เจตคนกลาง แต่ว่าตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจะได้เล่น “อย่าเล่นกับอนล” เพราะเขาก็ยังไม่บอก เขาแค่บอกว่ามาเป็นคู่สองนะ ของพี่เจตคนกลาง แต่ว่าเราก็ตอบตกลงไปครับผม
จริงๆ ก็ดีใจครับ เพราะได้เป็นนักแสดงหลักเรื่องแรกเลย เป็นเรื่องที่เราน่าจะมีความรับผิดชอบมากขึ้นด้วยครับ ไม่คิดว่าจะได้โอกาสที่เร็วขนาดนี้ ได้มาเป็นตัวเมนเลย เพราะว่าจริงๆ ส่วนตัวไม่เคยเล่นซีรีส์วาย ผมเพิ่งกลับจากเมืองนอก ไม่รู้ว่าวงการซีรีส์วายเป็นแบบไหน แต่ว่าเราก็เปิดโอกาสอยู่แล้ว เราก็ดีใจที่เลือกเรา
เจมส์ : อย่างที่พี่เน็ตพูดนะครับ จู่ๆ อย่างที่รู้กันมันก็เกิดปัญหาอะไรสักอย่าง ที่จะทำให้อย่าเล่นกับอนลออนแอร์ก่อน มันเลยทำให้เราแอบปรับตัวไม่ทันนิดนึง เราก็ต้องเวิร์กชอปหนักมากขึ้น ต้องทำอะไรหลายอย่างหนักมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการอ่านบทการเวิร์กชอป การดูแลตัวเอง มันก็รู้สึกทั้งตื่นเต้นด้วย และกดดันด้วย ก็มีแอบเครียดนิดนึง ตอนที่จะได้ถ่าย
ความสัมพันธ์ของเราสองคนในนิยายกับในชีวิตจริงเป็นอย่างไร
เจมส์ : เจมส์ว่าค่อนข้างที่จะแตกต่าง ความสัมพันธ์ของเอื้อกับคิง ทุกคนน่าจะรู้อยู่แล้วว่ามันเกิดความสัมพันธ์แบบ FWB ขึ้น ซึ่งในตัวจริงเราไม่มีความสัมพันธ์นั้น เราเป็นพาร์ทเนอร์ เป็นพี่ชาย เป็นน้องชาย แล้วก็เป็นเพื่อนร่วมงาน เป็นคนที่รู้จักกัน
เน็ต : จริงๆ ถ้าไม่ได้มองมุมพาร์ทนั้น มันก็มีความคล้ายอยู่บ้าง แต่ว่าไม่ได้ทั้งหมดครับผม คือด้วยความที่เราสนิทกันด้วย มันไม่ตรงกันที่ว่าผมสองคนสนิทกัน แตว่าคิงเอื้อไม่ได้สนิท แต่ว่าคิงอยากสนิทด้วย เลยรู้สึกว่าพาร์ทหลังๆ อาจจะเหมือนกัน แต่ว่าพาร์ทก่อนเหมือนเรามาถูกกัน
ยากไหมกับการเอาตัวละครคิงและเอื้อมาใส่ในตัวเรา
เจมส์ : ยากครับ ถึงแม้ว่าจะเวิร์กชอปไปแล้ว แต่ว่าพอได้ลงสนามจริง มันก็จะมีความตื่นเต้น ความตื่นกล้องด้วย อินเนอร์ข้างในด้วย มันทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องปรับอะไรอีกเยอะ กว่าจะจูนกันได้ก็ จำไม่ได้แล้วว่าคิวไหน สำหรับผมมันยากตรงที่ว่าต้องใส่ความสนิท เพราะ 5 EP แรก คิง เอื้อ มันไม่มีความสนิทกันเลย คิงอยากสนิทฝ่ายเดียว แต่ว่าพอกลางๆ ปลายเรื่อง เราต้องแสดงให้คนดูเห็นว่าความสนิทเราเพิ่มขึ้นนะ แต่ว่ามันมีเหตุและผลว่าทำไมถึงสนิท มันเลยจะยากตรงที่ว่าบางทีมันไม่ได้ถ่ายเรียงกันครับ วันนี้ถ่ายอีก EP หนึ่ง โดดไปโดดมา มันเลยยากที่จะทำอย่างไรก็ได้ให้ความสัมพันธ์ของเรามันต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
บรรยากาศในกองถ่ายเป็นอย่างไรบ้างมี “ติวเตอร์กับยิม” มาร่วมด้วย
เจมส์ : ใช่ครับ ก็มันจะมีเรื่องเวลาก่อน มันจะมีความเร่งรีบนิดนึง แต่ว่าในกองก็สนุกครับ เพราะว่าตอนเล่นเล่นกันมากๆ แต่ว่าพาร์ทของการทำงานก็จะจริงจังกันมากๆ
เน็ต : ใช่ครับ จริงๆ ส่วนมาก พวกเราจะเข้ากันสองคนมากกว่า เราก็จะเครียดก็เครียดไปด้วยกัน โดนว่าไปด้วยกัน เล่นด้วยกัน แต่ว่าเราก็จะสนิทกับพี่ทีมงานครับผม ผู้กำกับ ทีมงานทุกคนเราสนิทกัน แต่ว่าพาร์ททำงานก็ทำจริงๆ เล่นไม่ได้ก็ต้องแก้ใหม่ ทำใหม่ไปเรื่อยๆ ของ “ยิม” มีเยอะเลยครับผม เพราะว่ายิมเป็นคนกลางระหว่างเราสองคน จะทำให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่าง คิง เอื้อ เจต เป็นอย่างไร
ออฟฟิศนี้จะพาคนดูไปเจอกับอะไรบ้าง
เจมส์ : ออฟฟิศนี้จะพาคนดูไปเจอกับเรื่องราวต่างๆ ในออฟฟิศ ที่ไม่ใช่แค่ในออฟฟิศ สังคมในออฟฟิศของในเรื่องเหมือนสังคมในออฟฟิศของบ้านเราเลย ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ของเพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ครอบครัวของเพื่อนร่วมงาน ทำให้เห็นหลายมุมมอง และเจมส์เชื่อว่ามีข้อคิดเยอะมากๆ กับการที่เราดูซีรีส์เรื่องนี้ว่าแบบชีวิตของแต่ละคน ความสัมพันธ์ของแต่ละคนเป้าหมายของแต่ละคน อาจจะเหมือนกัน
เน็ต : แน่นอนครับอย่าเล่นกับอนล จะสะท้อนสังคม ที่ในปัจจุบันว่ามันเกิดขึ้นจริง ผมมั่นใจว่าทุกคนน่าจะเคยเจอ แม้กระทั่งการไปกินข้าวกับเพื่อน ในออฟฟิศ หรือแม้กระทั่งมาสายบ้าง มีคนซื้อของมาฝาก ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน คนรักเก่ามาตาม
ปมของเรื่องเป็นเรื่องความสัมพันธ์ในออฟฟิศ ที่ไม่สามารถเปิดเผยให้คนอื่นรู้
เจมส์ : ถ้าเรื่องย่อที่เราสามารถพูดได้ก็ประมาณนั้น ในตัวอย่างมันจะเกี่ยวกับการบอกกฎ ของ FWB มันจะมีหลายอย่างที่เราจะรู้สึกว่ามันตื่นเต้น กังวล กลัว และมีความสุข เพราะว่ากฎแต่ละข้อที่เอื้อได้พูดออกมา มันจะทำให้คนดูได้ลุ้นไปกับเราว่าคิงกับเอื้อจะสามารถทำตามกฎนั้นได้ไหม แล้วถ้าพลาดกฎใดกฎหนึ่งไป คนในออฟฟิศรู้จะเป็นยังไงต่อ แล้วความสัมพันธ์มันจะไปได้ดีหรือว่าจบลงไปเลยอะไรแบบนี้ ก็ต้องรอติดตาม
คิงพยายามข้ามกฎก่อนใช่ไหม
เน็ต : จริงๆจะบอกว่าไม่ได้พยายามแหกครับ เพราะจากตัวอย่างก็คือเอื้อเขาสร้างกฎขึ้นมาใช่ไหมครับ เอื้อพูดว่าถ้าใครทำก่อนสัญญานี้จะยกเลิก ตัวคิงก็ต้องคิดแล้วว่าถ้าเขาทำผิดความสัมพันธ์นี้จะจบลง ก็เลยต้องรอดูในอย่าเล่นกับอนลครับ
เรื่องนี้ต้องการสื่อสารอะไรกับคนดู
เน็ต : สื่อสารกับคนดูใช่ไหมครับ ก็น่าจะเป็นเหมือบกันสะท้อนสังคมเลย เหมือนเห็นได้ชัดว่าโชว์ว่าความสัมพันธ์ในออฟฟิศมีหลายรูปแบบแน่นอน แม้กระทั่งเรื่องแฟน เรื่องเพื่อน ครอบครัว ผมเชื่อว่าซีรีส์เรื่องนี้จะทำให้ทุกคนอินไปกับมัน ไม่เราก็คนรอบข้าง ผมมั่นใจว่าทุกคนต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้แน่นอนครับ
เจมส์ : ถ้าของเจมส์จะสะท้อนมุมมองของความเป็นจริงของสังคม พาร์ทของการทำงานในออฟฟิศ มีทั้งความกดดันและเรื่องราวต่างๆ มากมาย และเบื้องหลังของสังคม พาร์ทเบื้องหลังของตัวละครนั้นๆ ซึ่งมันจะแตกแขนงออกไปเยอะมากๆ ในการที่จะทำให้เราได้เข้าใจว่ามันมีครอบครัวแบบนี้จริงๆ มันมีคนที่เจอเหตุการณ์แบบนี้จริงๆ แล้วมันก็เจอสังคมแบบนี้จริงๆ อาจทำให้คนดูคิดว่าใครที่อาจเจอเหตุการณ์แบบนี้ได้เห็นตัวเอง
ฉากเลิฟซีนสุดระห่ำ
เจมส์ : หลายคนชอบถามหรือชอบเจาะที่ NC เยอะมาก ซึ่งเราก็ต้องอธิบาย เพราะว่าตัวละครทั้งสองคนนะครับ มันจะมีเหตุหรือว่าความต้องการมันทำให้เกิด NC นั้นขึ้นเพื่อตอบสนองตัวละครนั้นๆ แต่ถ้าเกิดว่าใครดูเรื่อยๆ แล้วมันจะมีเหตุผลหลักๆ หรือว่ามันจะมีความคิดหรือว่าเหตุผลของการเกิดฉากนั้น และในพาร์ทของ NC ที่มันจะค่อยๆ ไต่ขึ้นตามที่ผู้กำกับเคยพูดมันมีความสัมพันธ์ ที่มันแทรกเข้ามาบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเชิงศิลปะ ก็อยากให้ทุกคนมองในมุมนั้นแตกต่างกันออกไป ไม่ใช่มองแค่มันคือ NC
เน็ต : แต่จริงๆ ผมมองว่ามันไม่ผิดถ้าทุกคนจะถามว่า NC มีเยอะไหม เพราะว่าผมมองว่าด้วยความที่เส้นเรื่องมันเกี่ยวกับเพื่อนนอนอยู่แล้วครับ ผมเลยรู้สึกว่าในซีรีส์ของพวกเรา มันจะสื่อไปในทางที่เหตุและผลมากกว่า การไต่ระดับความสนิท ความสัมพันธ์ของเอื้อคิง ไปในทางไหนอย่างเช่น ถ้าเริ่มแรกเลยเขามีความรู้สึกกันแบบไหน แล้วมันค่อยๆ ไต่ขึ้นไป ผมมองว่าอย่าเล่นกับอนลจะแสดงให้เห็นศิลปะเหตุและผล มากกว่า NC ธรรมดานี่แหละครับ
ตอนเข้าฉากกันเป็นอย่างไร
เน็ต : จริงๆ เขาแค่บอกว่าบล็อกกิ้งนิดนึงครับ ให้ไปทางนี้ทางนั้นเพราะว่าด้วยความที่มุมกล้องด้วย เขาจะโชว์เทคนิคเชิงภาพ ถ้าถามว่าฟีลเขาก็ให้ปล่อยไปตามความรู้สึกของตัวละคร เลยรู้สึกว่ามันน่าจะธรรมชาติมากขึ้นครับผม
เจมส์ : เขินครับ คือตอนคิวแรกๆ ก็เขิน แต่ว่าคิวหลังๆ จะปรึกษาพี่ๆ แอ็กติ้งโค้ช ผู้กำกับ คนเขียนบท เขาบอกว่าการที่เราเขินเหมือนเราเอาตัวเราเข้าไปเล่น แต่ว่าถ้าเราเอาตัวละครจริงๆ เอื้อกับคิงมาเล่นจริงๆ ปล่อยให้ตัวละครทำตามความต้องการ ให้เขาได้ออกมาใช้ชีวิต โดยการผ่านร่างกายของเรา จู่ๆ มันก็กลายเป็นเราไม่เขิน เป็นไปตามฟีล เป็นไปตามความต้องการ ความคิดนึกของตัวละครได้
เน็ต : ส่วนผมตอนแรกๆ นะ เขิน แต่ว่าหลังๆ แล้วมันก็มีเขินบ้างครับผม เพราะว่าเราไม่รู้ว่าตัวละครเขิน หรือว่าเราเขิน ผมก็เล่นไปตามฟีลเลย แต่ว่าก่อนเล่นเราจะพูดกันก่อนว่าขอโทษนะถ้าทำเจ็บตรงไหน เพราะว่าเราเคยมีเหตุการณ์ว่าเหมือนกับเราเป็นคนที่ทำอะไรทำจริง ผมเล่นจริง ผมก็ไปทำน้องเขาเจ็บ ตอน NCเราก็ขอโทษน้องเขาก่อนว่าถ้าเจ็บขอโทษนะ เพราะแอ็กติ้งโค้ชเขาแนะนำว่าขอโทษกันไว้ก่อนเลย เพราะเราไม่รู้ว่าตัวละคร เราอยากทำอะไร เราก็ต้องปล่อยไปตามฟีล ผมเลยรู้สึกว่าปล่อยไปเลยตามความรู้สึก จะรู้สึกอะไรก็ให้ตัวละครเขาเล่นไปเลย แต่ว่าพอคัทเราก็มารีแอคชั่น ถามเขาว่าเจ็บไหม ขอโทษนะถ้าทำเจ็บ
ให้ฝากผลงาน
เน็ต – เจมส์ : ขอฝากซีรีส์เรื่อง อย่าเล่นกับอนล ด้วยนะครับผม ทุกวันเสาร์ ช่องวัน 31 เวลา 22.40 น. สามารถดูรีรัน ได้ทาง Mandee Channel Youtube ครับผม เวลา 23.45 และที่สำคัญสามารถดูอันคัทได้ทาง iQIYI อ้ายฉีอี้ เวลา 23.45 และก็ขอฝากเพลง Original Soundtrack ของเราด้วยนะครับ ก็คือเพลงไม่ชอบเป็นเพื่อนเธอ ภาษาอังกฤษแปลว่า Feelfan ครับ ครับผมแล้วอีกเพลงหนึ่งก็คือ เพื่อนพักใจ ของพี่ทอมมี่ครับ
