คงต้องบันทึกรวบรวมไว้อย่างเป็นระบบอีกเรื่องหนึ่งสำหรับซีรีส์สายY อย่าง “พี่จะตีนะเนย” หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า “I Will Knock You” ที่เริ่ม on air ตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน 2566 ทางช่อง 3HD เป็น ผลงานกำกับการแสดงโดย “แชมป์ วีรชิต ทองจิลา”
นับเป็นละครซีรีส์สายวายเรื่องแรกของ บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด และควบคุมการผลิตโดย “หน่อง อรุโณชา ภาณุพันธุ์”
สำหรับเรื่องราวของ “พี่จะตีนะเนย” เป็นเรื่องความรักของสองหนุ่ม “เนย และ ทิวา” ที่เกิดขึ้นจากการที่ ทิวา เด็กเรียนดี จะต้องไปเป็นติวเตอร์ให้หนุ่มหัวหน้าแก๊งนักเลง เนย วัดพลุ
และแล้ว ความรักอลเวงก็เกิดขึ้น
นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์Y ที่ได้รับผลตอบรับดีมาก ทั้งจากตัวซีรีส์เอง และนักแสดงหลักทั้งสอง นั่นคือ
ต้า-อธิวัตน์ แสงเทียน ที่รับบทเป็น “เนย วัดพลุ”
บอม-ธนวัฒน์ อุทัยกิจวานิช ที่รับบทเป็น “ทิวา”
เมื่อไม่นานที่ผ่านมา ทีมงานเว็บไซต์ FEED มีโอกาสไปนั่งพูดคุยกับนักแสดงทั้งสอง ต้า บอม ถึง ความคิด แนวคิดในการดำเนินชีวิต การรับมือกับเรื่องดราม่าทั้งหลายทั้งปวงในชีวิตนักแสดง รวมถึงเรื่องน่าสนใจอื่นๆ
สำหรับข้อมูลเบื้องต้น เพื่อให้อ่านได้ง่าย แอดมินจะลิสต์ออกมาเป็นข้อๆ ให้ดังนี้
ต้า-อธิวัตน์ แสงเทียน
1. เกิดวันที่ 17 พฤศจิกายน 2547
2. ต้าเข้าสู่วงการบันเทิงจากการแสดงภาพยนตร์สั้นเรื่อง Remember By Meaningful Band ในปีพ.ศ. 2560
3.ในปีพ.ศ. 2562 ต้าก็ได้มีโอกาสแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกกับภาพยนตร์เรื่อง พี่นาค ในบท เณรน๊อต
4.หลังจากนั้นต้าก็ได้รับบทเดิมในภาพยนตร์เรื่อง พี่นาค 2 (2563) และ พี่นาค 3 (2565)
5. ในปีพ.ศ. 2565 ต้าก็ได้มีโอกาสรับบทนำในการแสดงซีรีส์เรื่องแรกกับซีรีส์วายเรื่อง พี่จะตีนะเนย
6.ด้านการศึกษา ต้า จบศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ปัจจุบันศึกษา ที่ ม.รังสิตครับ ปี 1 คณะนิเทศศาสตร์ สาขาภาพยนตร์
สำหรับ บอม ธนวัฒน์ อุทัยกิจวานิจ
1.เกิดวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2538
2.มีผลงานเรื่องแรกในวงการบันเทิงคือ ซีรีส์วาย พี่จะตีนะเนย
3.จบจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ สาขา Entrepreneurship and Management เกี่ยวกับการสร้างเจ้าของธุรกิจและการบริหารจัดการ
คำถาม – คำตอบ ต้า – บอม
Q: ช่วงนี้ชีวิตวัยของเราสองคนช่วงนี้กำลังมีความสุขกับอะไร?
บอม “สำหรับผม ก็มีความสุขกับงานที่สุดเพราะว่า ซีรีส์พี่จะตีนะเนยเป็นผลงานซีรีส์ชิ้นแรกของผม แต่ก่อนหน้านี้ผมก็เหมือนพยายามกับในเรื่องของการแสดงมาสักพักใหญ่ๆเหมือนกัน แต่ก็พึ่งจะมาได้รับโอกาส เลยรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่มีความเปลี่ยนแปลงมากที่สุด แล้วก็เป็นช่วงที่ผมรู้สึกมีความสุขที่สุดกับการทำงานครับผม”
Q : ส่วนต้าอยู่ในวงการมานานยาวนานพอสมควร?
ต้า “ก็นิดนึงครับ นิดนึง แต่ผมรู้สึกว่าในช่วงนี้ผมรู้สึก มีความสุขกับการทำเพลง เพราะว่ารู้สึกว่าอิน อินกับมัน ทำได้ทั้งวันครับ”
Q : ทำไมเรารู้สึกว่า เรากำลังมีความสุขกับการทำเพลง?
ต้า “เหมือนผมทำมาสองปีอะไรอย่างเนี้ยครับ มันค่อยๆ ซึมซับเรื่อยๆ จนตอนนี้อินอะไรอย่างเนี้ยครับ ต้องทำ ต้องมีเพลงในชีวิตอะไรอย่างเนี้ย”
Q : ระหว่างงานเพลงกับงานแสดง อินงานไหนมากกว่ากัน?
ต้า “ตอนนนี้ผมอินเพลงมากกว่า”
Q : เป็นยังไงบ้างเพลงสองปีที่ทำมา?
ต้า “โอเคครับ ตอนนี้ก็คือผมทำแบบหลายเพลงมาก จนตอนนี้ก็เริ่มมีคนฟังเยอะขึ้นแล้วเพราะพี่จะตีเนยนะ ก็ appreciate ครับ”
Q : คิดว่าเราประสบความสำเร็จมั๊ย?
ต้า “ยังครับ ยังๆ ก็ถือว่าอีกก้าวนึงละกัน”
Q : ขอย้อนถามนิดนึงเรื่องครอบครัวหน่อย
ต้า “ผมเป็นน้องคนเล็กครับ มีพี่ชายคนนึง แม่ลูกสองคนฮะ มีผมคนนึงแล้วก็พี่ครับ”
Q : การอบรมเลี้ยงดูในครอบครัวเป็นยังไงบ้าง?
ต้า “การถูกเลี้ยงอะไรอย่างนี้เหรอครับ ก็โอเคนะครับ ก็อบอุ่นดีครับ น่ารักดีครับ”
บอม “คุณแม่ผมเป็นคนใจดีมาก”
ต้า “แม่ผมแบบใจเย็น น่ารักครับ”
Q : คุณแม่มีกรอบให้เราไหม ว่าอันนี้ได้ อันนี้ไม่ได้?
ต้า “แม่ผมคือคนที่แบบเปิด เปิดทุกอย่าง สมมติผมทำอะไรเนี่ย แม่จะคอยซัพพอร์ต แม่จะคอยให้กำลังใจทุกอย่างครับ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร แม่จะเป็นคนที่แบบซัพพอร์ตทุกเรื่อง เวลาผมมีเรื่องหรือผมเจออะไรมาก็จะคุยกับแม่ตลอด บอกแม่ตลอด”
Q : ตอนเด็กฝันอยากเป็นอะไร?
ต้า “ตอนเด็กเหรอครับ เอาตรงๆ นะ ตอนเด็กๆผมอยากเป็นนักบอล นักฟุตบอล แต่คือแบบเหมือนผมไปไม่สุด แล้วอยู่ๆ วันนึงผมก็ได้เล่นหนัง ก็เลยไม่ได้ซ้อมบอล ก็เลยเออมาทางนี้ก็ได้ ก็ไม่เป็นแล้วนักบอลอะไรอย่างเนี้ยครับ”
Q : มาบอมบ้าง ชีวิตเรากับครอบครัวเป็นยังไงบ้าง?
บอม ก็ผมอยู่กับพี่ชายแล้วก็อยู่กับแม่ครับ ที่บ้านเลี้ยงแบบสไตล์ชิลๆ มากๆ เลย ไม่ได้มีสร้างกรอบอะไรให้กับทั้งผมและพี่ คือแม่ก็จะแบบ เอออยากจะทำอะไรก็จะซัพพอร์ตเต็มที่ อย่างเรื่องของการแสดงก็เหมือนกัน คือจริงๆ ตอนแรกเนี่ย ผมไม่ได้มีความมั่นใจในตัวเองขนาดนั้น แต่จะเป็นแม่มากกว่าที่คอยผลักดัน แล้วก็แบบเฮ้ย ต่อให้เฟลอะไรอย่างเนี้ย เราก็ทำได้สิ เอออย่าไปยอมแพ้ ในทุกๆ อาชีพแหละ มันก็จะต้องมีความเฟลบ้าง ในอาชีพนักแสดงก็เหมือนกัน เขาจะคอยเตือนเราคอยให้คำแนะนำเราตลอด แล้วก็ push เรา ถ้าเกิดว่าเราชอบในสิ่งนั้นเนี่ย เขาก็จะตามใจครับผม”
Q : เคยถามแม่ไหมเหตุผลที่อยากให้เราทำงานในวงการ?
บอม “ คือเขาก็มองว่า ผมน่าจะมาเวย์นี้ได้ แต่ตอนนั้นผมไม่ได้มั่นใจขนาดนั้น เลยไม่ได้สนใจ จนกระทั่งเหมือนมีงานเข้ามาเองครับ เลยได้ลอง”
Q : จริงๆ เราชอบมั๊ยกับเส้นทางการแสดงนี้
บอม “ผมว่าผมชอบ ชอบแบบโดยที่ไม่รู้ตัว เพราะว่าเหมือนตอนที่ผมเริ่มแคสงานโฆษณา ผมก็ยังไม่รู้หรอกว่าผมชอบงานด้านนี้จริงๆ ไหม แต่พอแคสไปเรื่อยๆ อ่ะ โดน reject บ่อยมาก ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังรู้สึกว่ามีแพทชั่นให้กับสิ่งนี้อยู่ ต่อให้มันจะเฟลสักกี่รอบ ก็ยังอยากจะทำมันอยู่ ผมก็เลยว่าอันนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ผมชอบแล้วก็เป็นแพทชั่นของผมจริงๆ ก็เลยแบบทำมันมาเรื่อยๆ ทีละนิดทีละหน่อยครับผม”
Q : ตอนนั้นเป็นกำลังใจให้ตัวเองยังไง ที่โดน reject บ่อยๆ ?
บอม “จริงๆ ผมเคยยอมแพ้ไปแล้ว เพราะรู้สึกว่า มันเป็นอาชีพที่เป็นไปไม่ได้สำหรับเรา เป็นอาชีพที่โห …ห่างไกลมากๆ แต่ก็ได้ครอบครัว ได้แม่นี่แหละ ที่เหมือนเขามองว่า เฮ้ยเราน่าจะมี potential นะ เราน่าจะไปต่อได้ แต่แบบแค่อย่าเพิ่งยอมแพ้กับตอนนี้ แล้วที่เราทำมาอ่ะเรา enjoy กับมันไม่ใช่เหรอ เราชอบไม่ใช่เหรอ สักวันนึงอ่ะ เราก็จะต้องสามารถพัฒนาตัวเองได้ แล้วก็เราน่าจะมีจุดหนึ่งที่เราพอใจ แล้วก็ รู้สึกว่า เนี่ยเป็นจุดที่เรามีความสุขแล้ว เราประสบความสำเร็จในเวย์ของเราแล้ว เขาก็เลยอยากให้เรา แค่อย่าท้อถอยอ่ะ ถ้าเราชอบมันจริงๆ แล้วผมรู้สึกว่า เออเราก็เออที่ผ่านมาเราชอบมันจริงๆ ก็เลยทำมันมาเรื่อยๆ ครับ”
Q : ครอบครัวผลักดันเราขนาดไหนให้เข้าเส้นทางนี้?
บอม คือเขาไม่ได้บังคับอะไรเลย แต่คือให้อิสระกับเรามากๆ ในการเลือกว่ายังไหวไหม ยังไปต่อได้ไหม แล้วก็ถ้าชอบจริงๆ อ่ะ ก็ให้ไปลอง ลองทำไปเรื่อยๆแค่แบบอย่าเพิ่ง give up ในขณะที่แบบเพิ่งเริ่ม แล้วผมก็รู้ด้วยแหละว่า ตัวเองไม่ได้แบบเก่งกาจอะไรขนาดนั้น เหมือนเราต้องใช้เวลาพอสมควร ในการที่จะแบบสั่งสมประสบการณ์ และสกิลต่างๆ ก็ค่อยๆ พัฒนามาทีละนิดทีละนิดครับผม”
Q : ต้าเคยมีเหตุการณ์แบบนี้มั๊ย ไปแคสแล้วโดน reject บ่อยๆ แบบนี้บ้างมั๊ย?
ต้า “เคยครับ เหมือนผมผมเคยไปแคสโฆษณาหลายตัวเลย แต่ไม่ผ่านก็เยอะ ก็โอเคครับ คือผมว่านะ ตัวผมอ่ะไม่ได้ไปสายโฆษณาอยู่ละ ผมจะไปทางสายพวกหนังอะไรอย่างเนี้ยครับ เพราะการแอคติ้งมันคนละแบบ มันคนละสายกันครับ”
Q : ประสบการณ์ด้านการแสดงเรามาจากไหน?
ต้า ตั้งแต่พี่นาคครับ พี่นาคหนึ่ง ตอนแรกผมไปแคสแล้วก็ได้มา แล้วก็ก่อนเปิดกล้องพี่นาคหนึ่ง มีการเวิร์คช็อป มีการเรียนแอคติ้ง ผมก็ได้จากตรงนั้น แล้วก็ได้สะสมประสบการณ์ในกอง”
Q : ก่อนหน้านั้นเราเคยเสาะแสวงหาเส้นทางที่จะเข้าสู่วงการไหม?
ต้า “ผมไม่ได้พยายามเพื่อที่จะเข้าสู่วงการบันเทิง แต่เหมือนมันมีบางอย่างอ่ะครับ (โอกาส) ใช่โอกาสเข้ามาหาผม แล้วผมก็ตอบรับมันอะไรอย่างเนี้ยครับ”
Q : สำหรับบอม นำพาชีวิตตัวเองมาได้ยังไง?
บอม “จุดเริ่มต้นของผมเนี่ย ผมไม่ได้คิดว่าจะมาอยู่ในวงการบันเทิงเหมือนกันครับ แต่ว่าเป็นคุณอาผม เขาเหมือนไปรู้จักกับทีมแคสอะไรสักอย่างนี่แหละ แล้วเขาถาม สนใจไหม แต่เขาส่งรูปเราไปแล้วนะ ซึ่งผมอ่ะไม่รู้เรื่องเลย ผมก็เลยแบบอ้าวส่งรูปไปแล้วเหรอ แล้วทางนั้นเขาเหมือนจะตอบรับว่าโอเคด้วย ก็เลยแบบลองดูก็ได้ คือไม่ได้เริ่มจากการแคส แต่เริ่มจากการที่ได้ไปถ่ายงานเลย แล้วเสร็จปุ๊ปพอหลังจากถ่ายงานนั้นเสร็จ ผมก็รู้สึกว่าแบบมันก็มันก็ทำเงินได้นี่นา แต่งานแรกของผมก็ไม่ได้เงินเยอะอะไร หลักพันต้น ๆ แต่ผมเริ่มรู้สึกสนุกละ มันเริ่มเป็นอะไรที่แบบท้าทายและเราไม่เคยทำมาก่อน หลังจากนั้น ผมเริ่มไปแคสโฆษณาเอง พอแคสโฆษณาเสร็จปุ๊บ ก็อ่อ แคสประมาณตัวที่สี่ก็ได้โฆษณาตัวแรก แล้วหลังจากนั้นก็ได้ประปรายมาเรื่อยๆ ครับผม
ส่วน ซีรีส์เนี่ยจริง ๆ ผมมองว่า competition มันสูงมาก และพื้นที่สำหรับนักแสดงที่จะก้าวข้ามมาเป็นนักแสดงซีรีส์หรือแสดงละครมันมีน้อยมาก เราแข่งขันกันสูงมาก อย่างซีรีส์บางซีรีส์ที่ผมเคยไปแคสเนี่ย มีคนสมัครประมาณหนึ่งพันคนขึ้นไป แล้วผมแบบแคสมาเรื่อยๆ เป็นเดือน จนเข้ารอบถึงสามสิบคนแล้วโดนคัดออก มันเป็นอะไรที่โหดมากๆ สำหรับผม แล้วอย่างที่บอกไป ผมเคยโดน reject งานแบบเป็นร้อยงานเลย เพราะว่า ถ้ามาสายโฆษณา ผมว่าคนที่แคสจริงๆเขาจะแคสกันโหดมาก คือแบบแคสกันทุกอาทิตย์ คนอาจจะแคสกันเป็นแบบ 40-50 คนแต่เขาต้องการหาคนคนเดียวที่เหมาะสมที่สุดสำหรับโปรดักส์นั้นๆ มันเลยเป็นอะไรที่เหมือนต้องฝึกจิตใจเหมือนกัน เหมือนแบบต้องเรียนรู้ที่จะแบบโอเคเฟลไม่เป็นไร เอาใหม่ เริ่มใหม่ ทำใหม่ แล้วก็ตั้งใจให้มันมากขึ้น
Q : ของต้าไม่น่าจะยากเพราะเรามาสายแสดงอยู่แล้ว จากวงการภาพยนตร์ขยับเปลี่ยนมาวงการซีรีส์ได้ยังไง?
ต้า ยากไหมเหรอครับ แต่ผมรู้สึกว่า การแอคติ้งอะไรอย่างเนี้ยมันคล้าย ๆ กันมัน แต่แค่มันจะเปลี่ยนไปตามคาแรคเตอร์ของตัวละครนั้น ก็คือผมว่ามันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น หมายถึงจากหนังจากภาพยนตร์ มาสู่ซีรีส์อะไรอย่างนี้ครับ ผมว่าก็การแอคติ้งการแสดงคล้ายๆ กัน
Q : แล้วมาแคสซีรีส์เรื่องนี้ได้ยังไง?
ต้า เหมือนพี่แชมป์ หรือบรอดคาซท์นี่แหละครับเห็นในไอจี ก็เลยตอนนั้นเปิดแคส “เนยวัดพลุ” ใน “พี่จะตีนะเนย” นี่แหละครับ ก็เลยไปแคส ตอนนั้นไปแคสกับพี่แชมป์ พี่แชมป์ให้เซ็ทผมหน้ากระจก แล้วพี่แชมป์ก็ชอบ พี่แชมป์ก็เลยเอาเลยอะไรอย่างเนี้ย
Q : ทั้งสองไลฟ์สไตล์ส่วนตัวเป็นยังไงบ้าง?
บอม ของผมก็ค่อนข้างจะเรียบๆ ชิลล์ๆ สบายๆ ครับ ไม่ค่อยแบบแอดเวนเจอร์หรือผาดโผนอะไรเท่าไหร่ครับผม ก็ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ติดบ้านมากๆ แล้วกิจกรรมผม ก็คือแบบดูหนังฟังเพลง ฟัง podcast แล้วก็ออกกำลังกายในบ้านชิลล์ๆ ทั่วไปเลยครับผม ผมคิดว่าอันนี้เป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของผมเหมือนกัน ปกติไม่ค่อยแบบทำอะไรแปลกใหม่เท่าไหร่ เหมือนแบบเราไปทำงานเสร็จปุ๊ปเราก็กลับบ้านเลย ไม่ได้แบบสังคมใหญ่อะไรมากมาย แต่พอเรามาอยู่ในโปรเจ็คซีรีส์ที่ใหญ่เนี่ยครับผมเหมือนมันทำให้เราต้องเคาะตัวเองออกมาจากเซฟโซน แล้วก็ออกมาเจอผู้คน ทำความรู้จักกับทุกๆ คนในกอง แล้วตอนนี้เหมือนแบบทุกคนสนิทกันมากเลยเหมือนแบบเป็นครอบครัวเดียวกัน
ต้า ไลฟ์สไตล์เหรอครับ ผมเป็นคนที่มันผมเป็นคนที่เอาจริงผมแบบ วันไหนผมอยากอยู่บ้านอะไรอย่างเนี้ยผมก็จะอยู่ผมจะไม่ออกไปไหนเลย แต่ถ้าวันไหนผมรู้สึกว่าเอออยากไปเที่ยวผมก็จะออกเลยเหมือนมันตามฟีลตามมู้ดของแต่ละวัน
Q : เราสองคนมีพื้นที่ส่วนตัวขนาดไหน
ต้า พื้นที่ส่วนตัว เหมือนผมรู้สึกว่า อืมทุกคนมันก็ต้องมีเวลาส่วนตัวนะครับ เหมือนที่ที่ทำให้เขาได้พักอะไรอย่างเนี้ย อย่างอ่าวันนี้เราออกข้างนอกพอแล้ว เรากลับห้อง กลับบ้านมาพักมานอนพักหรือว่าเราเราจะทำอะไรก็ได้ที่รีแลกซ์ตัวเอง เหมือนแบบเป็นเซฟโซน
Q : เรารู้กันตอนไหนว่าเราสองคนจะได้มาเล่นคู่กัน?
บอม ของผมประมาณอาทิตย์กว่าๆ หลังจากแคสเสร็จ แต่ยังไม่รู้ว่าเล่นซีรีส์เรื่องอะไร แล้วก็เล่นกับใคร รู้แค่ว่าคอนเฟิร์มมาก่อน เสร็จปุ๊ป พี่แชมป์ก็เหมือนนัดผม แล้วก็นัดต้า ไปงานเปิดตัวภาพยนตร์เรื่องนึง แล้วเหมือนเราก็ได้มาเจอกันโดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายก็มางานนี้
ต้า ไม่รู้เลยครับ ผมรู้วันเดียวกับที่พี่บอมรู้เลย รู้พร้อมกันเลย
บอม ใช่ แล้วก็คืนนั้นเหมือนพี่แชมป์กลับไปที่ออฟฟิศ แล้วไปคุยกันเรื่องโปรเจ็ค “พี่จะตีนะเนย” ก็คืนนั้นเหมือนกัน
Q : ความประทับครั้งแรกที่รู้จักกัน
ต้า ก็โอเคนะครับ ไม่ได้รู้สึกอะไรขนาดนั้นนะ เหมือนงงๆ เหมือนเล่นกับพี่บอมก็โอเครับทราบอะไรอย่างเนี้ย
บอม ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เพราะว่าแบบเหมือนเราไม่รู้จักเขาด้วย แล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไร หรือทำตัวยังไง แล้วหลังจากที่เราดูหนังเสร็จ เราก็กลับมาที่ออฟฟิศ ก็มานั่งกันในแบบที่ที่มันแบบมืดๆ นิดนึง ใช่เพราะแบบนั่งกันข้างนอกออฟฟิศด้วย เราก็เหมือนแบบมองหน้าเขาแล้วก็แบบอ่อคนนี้อ่ะเหรอที่จะเล่นด้วยกัน แต่หลังจากคืนนั้นก็ยังจำหน้าไม่ได้ แต่ก็แบบอ่ะไปเช็คในไอจีอะไรอย่างเนี้ยว่าแบบเขาเป็นใคร เคยเล่นอะไรมา
Q : สืบประวัติเขาเลยเหรอ?
บอม ก็สืบนิดนึงเพราะแบบอยากรู้ แต่ก็โอเค เขาแบบเคยเล่นภาพยนตร์มาก่อนอะไรอย่างเนี้ยผมก็ฮึ้ย เขาน่าจะแบบเล่นได้
Q : ต้าถึงขั้นสืบประวัติแบบเขามั๊ย?
ต้า ผมผมไม่ได้สืบครับ ก็คือหลังจากเจอที่งานที่ เราไปดูหนังกันแล้วก็ได้นั่งคุยเสร็จปุ๊ปก็แยกย้ายอะไรอย่างเนี้ย แต่หลังจากนั้นเราก็มีนัดไปเที่ยวกันอะไรอย่างเนี้ย รู้ก็เลยจักกันเพราะทริปนั้น
Q : การพัฒนาความสัมพันธ์เป็นยังไง ที่ต้องถามก่อน เพราะว่าพอมาเล่นคู่กันความสนิท เคมีมันต้องได้กัน ต้องสนิทกันพอสมควร
บอม ก็เริ่มที่เวิร์คช็อป
ต้า ใช่ส่วนใหญ่ก็เวิร์คช็อป แล้วก็ไปเที่ยวด้วยกันอะไรอย่างเนี้ย
บอม ใช่ คือเรามาเวิร์คช็อปในช่วงที่แบบมีโควิดด้วย เราเลยแบบไม่ได้มีการเข้าคู่แสดงกันมากขนาดนั้น หลังจากนั้นก็เหมือนมีเกมส์ให้เล่น แบบพี่แชมป์เขาก็เหมือนทำซุ้มเกมส์ในออฟฟิศอะไรอย่างเนี้ย ให้เราเล่นด้วยกัน ให้เราแบบละลายพฤติกรรม ให้เรารู้จักกันมากขึ้น แล้วหลังจากนั้นเนี่ย ก็มีทริปที่ไปเชียงใหม่ คือเหมือนเขาจะไปอยู่แล้ว แต่เราสองคนว่างพอดีก็เลยขอไปด้วย แล้วหลังจากทริปนั้นน่ะเหมือนได้รู้จักกันจริงๆเลยจากทริปนั้น
Q : ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้สนิทกันขนาดไหน?
บอม สนิทนะ สนิทนะครับอยู่ด้วยกันมาแบบปีนึงอ่ะ
ต้า อยู่ด้วยกันปีนึงอ่ะครับ แล้วแบบโหช่วงออกกองนี่คือเจอกันทุกอาทิตย์ อะไรอย่างเนี้ย
Q : รู้ใจกันมั๊ย? รู้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร เอาที่ต้าก่อนเลยก็ได้?
ต้า พี่บอมเหรอครับ พี่บอมชอบขนมไทยครับ ชอบอาหารอีสาน ส้มตำ ไม่กินเผ็ด ไม่กินหวาน กินกาแฟน้ำตาลศูนย์เปอร์เซ็นต์
บอม ต้าเหรอหมายถึงอะไรอ่ะ เรื่องกินเรื่องอะไรอย่างนี้เหรอ ที่ผมเห็นนะที่แพสชั่นแรง ๆ เลยก็คือเรื่องความเป็นศิลปิน ความเป็นนักร้องชอบเรื่องของการแร็ปอะไรอย่างนี้ อันนี้คือสิ่งที่ชัดเจนที่สุดเลย เพราะว่าแบบตั้งแต่เปิดกองมาเลย ตั้งแต่ไปเที่ยวด้วยกันเลยดีกว่า ตั้งแต่เชียงใหม่ คือแบบโหแร็ปให้ทุกคนฟังแบบทุกวัน เปิดกล้องมาก็แบบร้องเพลงตัวเอง โปรโมตเพลงตัวเองตลอดเวลา ผมรู้สึกเลยว่าอันนี้เป็นสิ่งที่ชัดเจนที่สุดแล้วสำหรับเขา แล็วก็อ่ะกาแฟ กาแฟหวานร้อย (คนละขั้วเลยอ่ะ) สิ่งที่ไม่ชอบเหรอน่าจะไม่กินเผ็ดเหมือนกัน
Q : นี่ทั้งสองคนเหมือนกับว่าสนิทกันมากเลยเนอะ ทั้งที่อายุห่างกันมากพอสมควร เกือบสิบปีนะ?
บอม ใช่ครับเก้าปี
Q : มีอุปสรรคไหม
บอม เอาจริงๆ บางทีกรอบความคิดของคนอายุมากกว่ากับคนอายุน้อยกว่า บางทีมุมหรือกรอบความคิดมันจะไม่เท่ากัน?
ต้า ผมว่าไม่มี ถ้าเราจูนกันได้ เราแบบอยู่ด้วยกันแล้วไม่เกร็ง ไม่อึดอัดก็โอเคแล้วครับ
บอม สำหรับผมก็เหมือนกันนะครับเพราะว่าด้วยความที่ซีรีส์เรามันแบบเป็นซีรีส์ที่แบบเบาๆ แล้วก็ฟีลกู๊ด ใส ๆ เน้นคอมเมดี้ การเข้าคู่กันมันเลยมีแต่แบบความฮาความสนุกแล้วก็มีแต่เสียงหัวเราะเราเลยไม่เคยรู้สึกว่าเกร็งอ่ะ อย่างแบบซีนที่เราต้องใกล้ชิดกันมาก เราไม่ได้รู้สึกแบบเขินอย่างนั้นนะ แต่มันรู้สึกแบบกลั้นขำมากกว่า ว่า ทำไมเราต้องมาเล่นใกล้กันขนาดนี้ มันแบบมันตลกอ่ะ
Q : ต้าไม่ได้เกร็งที่เขาเป็นรุ่นพี่ที่อายุมากกว่าเราพอสมควรเลยเหรอ?
ต้า มันก็จะมีบางช่วงที่เกรงใจ แต่มันไม่เกร็งอ่ะครับ อย่างก็จะมีซีนที่ผมตบหน้าพี่บอมอะไรอย่างเนี้ย ผมก็จะพี่บอม แล้วคือผมตบเยอะมากตอนถ่าย เพราะว่าแบบผมไม่กล้าตบแรง แต่พี่แชมป์บอกว่าเอาให้แรงเลยจะได้ทีเดียวผ่านอะไรอย่างเนี้ย ผมก็เลยต้องตบหลายรอบเพราะว่าผมไม่กล้าตบ แต่ผมก็คิดแบบเฮ้ยตบไปเลย มันจะได้ ไม่ต้องหลายรอบ ใช่ แต่วันนั้นก็เยอะนะ แดงเลยอ่ะ
Q : จริง ๆ ไลฟ์สไตล์อันไหนของเราสองคนที่เข้ากันได้มากที่สุด ที่ไปด้วยกันได้มากที่สุด
บอม ถ้าสำหรับผม ผมคิดว่าเป็นเรื่องของการทำงานที่แบบเข้ากันมากๆเลย คือเหมือนผมก็เข้าใจต้า ต้าก็เข้าใจผม มันเลยปรับจูนกันได้ง่าย แล้วกลายเป็นว่าเหมือนเรามีเคมีที่เข้ากัน รู้สึกว่าการทำงานเป็นอะไรที่ แบบค่อนข้างสมูทมาก
Q : ลองนิยามความเป็นตัวเองหน่อยว่าความเป็นตัวตนของต้าเป็นยังไง?
ต้า ของผมเหรอครับ ความเป็นตัวตนของผม เอาจริงถ้าแบบถ้าผมอยู่คนเดียวอยู่ในห้องคนเดียวอะไรอย่างเนี้ย ผมจะแบบนิ่ง เงียบ คือผมจะเป็นคนที่คือแบบ เขาเรียกว่าอะไรอ่ะ ถ้าสมมติคนอื่นเห็นผมอยู่อคนเดียวอะไรอย่างนี้ หรืออยู่กับคนไม่รู้จัก จะมองผมเป็นคนที่แบบคนหยิ่งเลยอ่ะ คนที่ไม่คุยไม่พูดคุยกับใครเลย แต่ถ้าอยู่กับคนที่รู้จักหรือคนที่สนิทอะไรอย่างเนี้ย ผมจะพูดเยอะมาก พูดไปเรื่อย ผมพูดไม่หยุดเลย ถ้าสนิทอะไรอย่างเนี้ย ถ้าสมมติแบบผมไม่รู้จักใครผมจะไม่เข้าหาคนก่อนอะไรอย่างเนี้ย
บอม ส่วนของผม เป็นคนที่นิ่ง เรียบๆ ไม่ค่อยพูดเยอะเท่าไหร่ ส่วนใหญ่แล้วก็จะชอบนั่งฟังคนอื่นพูดมากกว่า แต่ก็จะมีบ้างเหมือนของต้าเลย ที่แบบคนมองมา แล้วเขาเคยพูดกับผมว่า เออเราดูเป็นคนที่เข้าถึงยากเหมือนกันเนาะ ด้วยความที่เราแบบเป็นคนที่นิ่งแล้วก็พูดน้อยด้วยอะไรอย่างเนี้ย แต่ผมอยากจะบอกเลยว่าจริงๆผมเป็นคนที่พูดน้อยก็จริง แต่ผมชิลมากแล้วถ้าเราได้รู้จักกัน คือสามารถพูดคุยกันได้ครับผม
Q : เคยคิดมั๊ยว่าวันนึงเราจะต้องได้มาเล่นซีรีส์วาย?
บอม ผมเคยคิดนะ เพราะว่าเหมือนถ้าเราอยู่ในสายงานแสดงอ่ะครับ เราจะรู้เลยว่าตอนเนี้ย เอ่อ โปรเจ็คต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงปีหลัง ๆ เนี้ยจะเป็นซีรีส์วายซะส่วนใหญ่ ซึ่งนักแสดงจะค่อนข้างได้รับโอกาสเยอะ แล้วในฐานะนักแสดง ผมก็รู้สึกว่าผมอยากจะพัฒนาตัวเอง อยากจะแสดงฝีมือของตัวเองแล้วก็เหมือนอยากจะลองได้ทำสิ่งใหม่ๆด้วย ก็เลยแบบคิดว่าเออวันนึงเราน่าจะแบบได้ก้าวเข้ามาอยู่ในจุดจุดนี้ ครับผม
ต้า ส่วนตัวผมก็เคยคิดเหมือนกันครับ จริงๆ เพราะว่าผมรู้สึกว่าช่วงเนี้ยคือซีรีส์วาย เป็นซีรีส์ที่คนไทยนิยมทำกันมากที่สุดเพราะมันมีกระแส แล้วก็มีการกระแสตอบรับที่ดี ผมก็มี มีคิดว่าสักวันนึงอ่ะผมคงแบบคงคงจะได้เล่นแหละ ซีรีส์วาย
Q : จริง ๆ คำว่าซีรีส์วายในความรู้สึกของเราเป็นยังไงอ่ะ รุ่นพี่ก่อนแล้วกัน พี่บอม?
บอม ซีรีส์วายมันก็เหมือนบอกเล่าเรื่องราวของคนสองคน เรื่องราวความรักแล้วก็ความสัมพันธ์ของคนที่อาจจะเป็นเพศชายกับเพศชาย เพศหญิงกับเพศหญิงหรือคนที่เป็น LGBTQ ใช่มั๊ยครับ ผมก็หวังว่าวันนึง ซีรีส์มันจะไม่ต้องมีคำว่าวายอยู่ข้างหลัง อยากให้มันบอกเล่าเรื่องราวชีวิตแล้วก็ความสัมพันธ์ของสองคนมากกว่า เพราะว่ามันก็คือความรักรูปแบบนึง ผมคิดว่าในฐานะที่เป็นมนุษย์คนนึง เขาควรที่จะมีสิทธิ์ที่จะรักกัน โดยที่คนดูอาจจะไม่ต้องไปโฟกัสที่เพศสภาพของตัวละครก็ได้ แต่ว่าให้ไปโฟกัสที่เนื้อเรื่องว่ามันจะนำพาคนดูไปทิศทางไหนมากกว่า
ต้า ก็เหมือนเป็นการที่ เหมือนนื้อเรื่องก็คือเล่าความรักของคนสองคนว่าสองคนรักกันในรูปแบบไหนอะไรยังไง ซีรีส์Y เป็นความรักที่อิสระไม่มีข้อจำกัด ไม่มีอะไรที่อยู่ในกรอบ สามารถแบบ outside the box อะไรอย่างเนี้ย เป็นซีรีส์ที่เหมือนผมรู้สึกว่ามันทำให้ทุกคนรู้สึกว่าทุกคนจอยกับมัน
Q : จากประสบการณ์ในการทำงานที่ผ่านมา ได้อะไรจากการทำงานในวงการ?
ต้า การทำงานในวงการ รู้สึกว่าตั้งแต่ผมเข้าวงการมา รู้สึกว่าผมเหมือนความคิดจะโตขึ้น ด้วยการทำงานกับผู้ใหญ่ด้วย แล้วก็เหมือนหาเงินได้ด้วยตัวเอง ตอนนี้คือหาตังค์ได้ด้วยตัวเองแล้วผมก็ใช้เงินของผมแบบเรียนผมก็จ่ายเอง รู้สึกว่าโตขึ้นอะไรอย่างเนี้ยครับ
บอม ต้าก็เป็นคนมีความรับผิดชอบสูงนะ ผมชมเลยเพราะว่า เขาเป็นคนที่มีวินัยสูงมากในเรื่องของการทำงาน ผมคิดแบบ เฮ้ย ตอนผมอายุเท่าเขา ผมยังแบบไม่ได้อะไรขนาดนี้เลย แต่เขาอายุแค่นี้เองอ่ะ แต่เขาผ่านงานมาเยอะมาก ผมคิดว่าก็คุณเก่งมาก
Q : บอมได้อะไรจากการทำงานในวงการบ้าง?
บอม ก็รู้สึกว่าได้เห็นพัฒนาการที่แบบเยอะขึ้นมากๆ จากที่เราเคยแค่เล่นโฆษณา เราไม่เคยต้องจำไดอะล็อกอะไรที่มันยาวขนาดนี้ แล้วก็ในเรื่องของการแสดงที่แบบต้องไล่ระดับฟีลลิ่งต่างๆ อย่างโฆษณาเนี่ยมันมาถึงเก้าแล้วสิบเลย คือเล่นใหญ่มาก แล้วก็เล่นคมมาก แต่ถ้าเป็นในเรื่องของซีรีส์เนี่ยเราจะต้องไล่ระดับตั้งแต่แบบสองสามสี่ค่อยๆ ไปเรื่อย ๆ ผมรู้สึกว่าการแสดงของผมมันแบบเหมือนก้าวกระโดดขึ้นมามากเลย แล้วก็อีกอย่างนึงเลยที่รู้สึกว่าชัดเจนมากๆ กับประสบการณ์ที่เราได้มาเล่นซีรีส์ ก็คือความรักจากแฟนคลับ ที่ผมไม่เคยมีมาก่อน แล้วอันนี้มันเป็นอะไรที่ชัดเจนมาก คือเขาส่งกำลังใจมาให้ผมเยอะมาก อย่างงานบวงสรวง คือเป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้เจอกับแฟนคลับ เพราะว่าก่อนหน้านี้ผมโฟกัสแค่กับการแสดงอยู่ในกองมาตลอดแบบเกือบปี พอเราได้มาเจอแฟนคลับที่แอบติดตามเรามา แล้วก็เหมือนมาเจอเราวันนั้นเป็นครั้งแรก เขาแบบส่งกำลังใจมาให้เราเยอะมาก แบบเฮ้ยเชียร์นะ เชียร์พี่บอมอยู่นะ แบบเป็นกำลังใจให้นะ หนูจะติดตามนู่นนี่นั่นนะ คือผมรู้สึกแบบโห…ผมตื้นตันใจมาก เป็นสิ่งที่เราไม่เคยได้รับมาก่อนแล้วก็รู้สึกเหมือนจะเป็นโมเม้นท์ที่ผมแบบจะจำไปจนตายเลย
Q : ต้าชีวิตที่อยู่ท่ามกลางสปอร์ตไลท์ยากไหม หมายถึงว่าเราเป็นดาราทุกคนก็จับตามองเราทุกก้าว ไม่ว่าเราขยับไปทำซ้ายขวา?
ต้า จริง ๆ ผมว่าแค่ต้องมีสติตลอดเวลา เหมือนถ้าเราอยู่ในวงการอ่ะครับ เราก็จะต้องแลกกับอะไรบางอย่าง อย่างความเป็นส่วนตัวอะไรอย่างเนี้ยเรา เราก็จะแบบเหมือนเราเป็นบุคคลสาธารณะ เราไปไหนก็จะมีคนจำได้ เราก็ต้องแบบระมัดระวังตัวขึ้น ก็ต้องแลกแลกสิ่งนี้มา
Q : รู้สึกว่ายากมั้ย เหมือนชีวิตโดนจำกัดอยู่ในกรอบมั้ย?
ต้า ผมว่าไม่ได้ยากขนาดนั้นครับ เราก็เป็นตัวของเราเองนี่แหละ แต่แค่เราต้องมีสติตลอด เราห้ามทำอะไรที่แบบนอกกรอบเกินไป เราต้องตีกรอบในหัวตัวเองว่า เราสามารถทำได้แค่นี้
บอม สำหรับผมคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของอาจจะเป็นสภาพจิตใจ ที่เรามาทำงานตรงนี้มันมีความกดดันสูงเหมือนกัน ด้วยความที่เราเอาตัวเองมาอยู่ในสปอร์ตไลท์ คนจะเห็นเราค่อนข้างเยอะ ก็จะเสี่ยงกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ยิ่งเราเป็นที่รู้จักมากขึ้น คนก็จะแบบมีหลากหลายความคิดเห็น เราก็ต้องรับกับสิ่งเหล่านี้ให้ได้ด้วยครับ
Q : หากวันนึงเจอประเด็นดราม่าจะรับมือกับมันยังไง พี่ต้าในฐานะรุ่นพี่?
ต้า ถ้าเป็นเรื่องที่ผมทำผิดจริงอะไรอย่างเนี้ย ผมก็รับฟังแล้วก็นำมาปรับแก้ไขให้มันดีขึ้น ให้มันไม่เกิดอย่างนั้นอีก ก็ต้องรับฟังแหละครับ เพราะเขาก็หวังดี จะมีหวังดีกับเราจริงๆ เราก็ต้องรับฟัง แต่อีกแบบนึงก็คืออคติ อันนั้นก็คือเราก็พยายามปล่อย เพราะว่าถ้าเราเก็บทุกอย่างมาไว้ในหัวเรามันจะแบบเยอะเกินไป แล้วเราจะแบบไม่ไหวเอง สมมติแบบคนอคติเรา แล้วเขาแบบพูดแรงมาก แล้วเรารับมาทั้งหมด เราก็เหมือนแบบเหมือนรับอะไรเกินจำนวน แล้วมันตูม มันระเบิด มันก็ไม่ไหว ก็ต้องพยายามควบคุมตัวเอง
บอม สำหรับผม ผมคิดว่าผมก็เตรียมใจมาด้วยความที่เราเป็นนักแสดงใหม่ด้วย ก็รู้อยู่แล้วว่าคงจะไม่สามารถทำให้ทุกๆคนเนี่ยพอใจได้ อะไรที่เขาติมาผมคิดว่าผมก็ต้องเหมือนทำความเข้าใจกับมันว่า ถ้าอันนี้มันติเพื่อก่อนะ ผมก็ต้องยอมรับแล้วก็ต้องพัฒนาตัวเองต่อไป แต่ถ้าเกิดอย่างที่ต้าบอกถ้าเกิดเขาแค่แอนตี้เฉยๆ อคติเฉยๆผมว่าเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยวางบ้าง ไม่งั้นถ้าเราเก็บมาใส่หัวหมดเราคงแบบเครียดมาก ๆ คงแบบไม่สามารถที่จะเอาแรงไปพัฒนาตัวเองได้ครับ
Q : เป้าหมายในวงการบันเทิง ตั้งเป้าไว้ยังไงในวงการ?
ต้า เป้าหมายในอนาคตผมคือนักร้อง แพสชั่นแรงมาก ความฝันของผมเลยนะครับมีคอนเสิร์ตเป็นของตัวเอง แล้วคนที่มาฟังอ่ะครับ ร้องเพลงผมได้ อันนั้นคือความฝันเลย ที่สักวันนึงต้องมาถึง
บอม สำหรับผมกับการแสดงผมเหมือนเพิ่งเริ่มต้น ผมก็อยากจะลองหลายๆอย่างอย่างเช่นซีรีส์ที่เป็นแนวอื่นๆหรือว่าเป็นพวกภาพยนตร์ ในด้านดนตรีจริงๆ ผมไม่ถนัดแต่ผมรู้สึกว่าผมก้าวข้ามผ่านเซฟโซนของตัวเองมาแล้ว ด้านของความไม่มั่นใจในตัวเองจนพาตัวเองมาอยู่จุดที่แบบได้เล่นซีรีส์แล้วถ้าก้าวต่อไป ที่เราเคยไม่มั่นใจก็คือเรื่องการร้องเพลง ผมก็คิดว่าผมอยากจะทำให้ได้ ก็คิดว่าอยากจะลองอะไรหลายๆอย่างในวงการบันเทิงครับ
Q : มาถึงซีรีส์เรื่องนี้ “พี่จะตีนะเนย” ซีรีส์เรื่องนี้สำหรับเราเป็นยังไงพี่บอม?
บอม โหเป็นซีรีส์ที่ผมมองว่าฉีกกฎมากๆ มันเป็นแนวที่เราน่าจะไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งตอนแรกเนี่ย ผมยังมองไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าภาพมันจะออกมาเป็นแนวไหน แต่ยิ่งเราได้อ่านบท ในแต่ละเดือนก็จะมีบทมาให้เราอ่านทีละอีพี เรายิ่งเห็นเลยว่าแบบ เฮ้ยบทพวกเนี้ยมันคือบทที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน หรือตัวละครที่แบบย้อนยุคอะไรอย่างเนี้ย ที่แบบใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบัน แต่เขาย้อนยุคของเขาอยู่คนเดียว เราไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน กับมิตรภาพของสองคนที่ต่างขั้วกันสุดๆ แล้วต้องมาเจอกัน แล้วต้องทำให้แบบแต่ละคนแบบชีวิตเปลี่ยนแปลงไปแบบพลิกผันมากๆ ผมมองว่าเป็นแนวใหม่ที่รู้สึกตื่นเต้น แล้วก็อยากจะให้ทุกๆคนได้ดูอ่ะ เพราะรู้สึกว่ามันจะสร้างความสุขให้กับคนได้จริงๆ
ต้า ใช่ ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้คือถ้าใครดูคือคลายเครียดแน่นอน เพราะคือมันมันคลายเครียดจริงๆครับ สามารถดูได้แบบทุกเพศทุกวัยเลย ล่าสุดมีแฟนคลับเอาพ่อมาดู พ่ออายุ 60 อีพีแรกพ่อมานั่งดูด้วย อีพีที่สองพ่อบอกลูกว่าให้เปิดให้ดูหน่อย เออคือแบบมันน่ารักมันใสๆ
บอม หรือแบบมีรีแอคชั่นอะไรอย่างนี้ครับ ที่นั่งดูกับแม่ด้วย ผมมองว่า เฮ้ยมันน่ารักดีนะ ซีรีส์เรามันเป็นซีรีส์ที่ครอบครัวดูได้จริงๆ
Q : บทบาทของ “เนยวัดพลุ” เป็นยังไง?
ต้า “เนยวัดพลุ” คือ แปลกครับ เป็นนักเลงๆ คนนึง แต่ย้อนยุคอยู่คนเดียวเลยในเรื่อง เป็นนักเลงที่แปลกมาก ด้วยความที่ ชอบใครเนี่ยจีบ จะจีบนะ เดินหน้าลุยเต็มที่ แต่จีบด้วยวิธีแบบโบราณอ่ะครับ เอาดอกบัวมาให้อะไรอย่างเนี้ย แล้วก็เป็นคนที่หลงตัวเองมาก ผมเชื่อว่าตั้งแต่ทำซีรีส์วายไม่มีพระเอกคนไหนเหมือนเนย ตอนผมอ่านบทผมยังคิดเลยว่า มันมีคนแบบนี้จริงๆ เหรอ แต่เนยเป็นคนจริงใจ เป็นนักเลง รักครอบครัว ชอบใครรักใครลุยเต็มที่ เดินหน้าเต็มที่ร้อยเปอร์เซนต์ ต้องทำให้ได้สุดโต่งเลยครับ
Q : เนยกับต้า ต่างกันยังไง?
ต้า ผมว่าเนยชอบของวินเทจ แล้วก็เนยเป็นนักเลง แต่ผมเป็นเด็กดี แล้วเนยย้อนยุค ส่วนผมไม่ได้ย้อนครับ นอกนั้นส่วนคาแรคเตอร์นิสัยผมว่าคล้ายๆ กัน
Q : มาพี่บอมบ้าง ตัวทิเป็นยังไง?
บอม ตัวทิเนี่ยผมว่าเขามีความน่ารักอะไรบางอย่าง คือทิจะเป็นคนที่ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายมากๆ เป็นเด็กที่เรียนดี แล้วโฟกัสที่แค่การติวน้องๆ แต่ด้วยความที่เขาเป็นติวเตอร์ เหมือนมันมีหน้าที่อะไรบางอย่างมีความรับผิดชอบ ถ้านักเรียนเจอปัญหา เขาจะต้องเข้าไปช่วย อย่างอีพีหนึ่งใช่มั๊ยครับ ที่เราเห็นว่าลูกศิษย์เขามีปัญหา เขาก็แบบถึงตัวเขาเองจะเป็นคนที่กลัวมาก ๆ แต่เขาก็เข้าไปช่วยเหลือลูกศิษย์ของเขาจนได้มาเจอกับเนย รู้สึกว่าเป็นตัวละครที่มีความใสๆ ซื่อๆ แล้วก็เป็นตัวละครที่หวังดี กับทุก ๆ คน
Q : ทิกับบอมต่างกันขนาดไหน?
บอม ผมว่าถ้าไลฟ์สไตล์ของทิกับผมน่าจะคล้ายๆกันตรงที่เป็นคนที่แบบเรียบๆมากๆแล้วก็เป็นแนวเด็กเรียนเหมือนกัน แต่ถ้าในเรื่องของความแตกต่าง ทิจะเป็นคนที่โก๊ะกว่า โก๊ะกว่าเยอะ เป็นคนเปิ่นๆแล้วก็ถ้าเจอเนย จะเป็นคนที่โอ้โหกลัวแบบสุดๆ ไปเลย
Q : ยากมั๊ยกว่าจะเอาตัวละครเข้ามาอยู่ในตัวเราได้?
ต้า สำหรับผมนะครับ ผมรู้สึกว่าความยากมันอยู่ที่ความเข้าใจเรื่องวินเทจ ที่เนยชอบ เพราะว่าก่อนเปิดกล้อง พี่แชมป์ส่งเพลย์ลิสเพลงแบบโบราณให้ผมฟังเยอะมาก ให้ผมนั่งฟัง จะได้ซึมซับ
บอม เหมือนต้องพยายามเข้าใจตัวละครระดับนึงเลย เพราะว่ามันย้อนยุคด้วย แต่ย้อนอยู่คนเดียวด้วย
Q : ยากไหมกว่าจะมาเป็นตัวละครทิได้สมบูรณ์แบบสำหรับพี่บอม?
บอม ผมรู้สึกว่าทิไม่ได้มีความซับซ้อนขนาดนั้น ด้วยความที่เขาเหมือนเป็นตัวละครที่เป็นคนธรรมดาคนคนนึง ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองจะต้องพลิกบทบาทขนาดนั้น แบบโหเราต้องไปสวมบทบาทเป็นคนอีกคนนึงเลย ที่มีลักษณะนิสัยที่แบบไม่ใช่ตัวเราเลยขนาดนั้น ผมรู้สึกว่าทิกับผมยังมีอะไรที่รีเลทกันได้อยู่ นั่นก็คือแบบนิสัยที่ใกล้เคียงกันครับผม
Q : ซีนไหนยากที่สุดสำหรับซีรีส์เรื่องนี้สำหรับเรา?
บอม ยากสุด ยากหลายซีนอยู่ ที่พูดได้ก็เพิ่งฉายไปนะครับ ก็เป็นอีพีสองที่แบบต้องตกคลองอะไรอย่างเนี้ยครับ ผมรู้สึกว่าเป็นอะไรที่ผมเตรียมใจมาแบบนานพอสมควรเหมือนกัน เพราะผมไม่ได้ว่ายน้ำเก่ง ผมรู้สึกกลัวด้วย เพราะน้ำมันลึก แล้วก็สกปรก มันก็ดำมากเลยอ่ะ (เป็นโคลนเลย) ใช่ คือเรากว่าจะได้ถ่ายซีนเนี้ยคือใช้เวลาแบบนานมากๆ แบบคือเราเพิ่งจะมาได้ถ่ายซีนนี้ก่อนปิดกล้องไม่นาน ด้วยความที่เราต้องรอน้ำคลองให้มันขึ้นมาสูงพอที่เราจะสามารถถ่ายได้ ซึ่งบางเดือนมันก็แล้ง ไม่ค่อยมีน้ำ แล้วเราก็ต้องถ่ายกันตอนดึกด้วย ซึ่งมันมืดมากผมเลยรู้สึกว่า ผมพูดตรงๆเลยว่าผมกลัวมาก เราต้องบรีฟตัวเองในหัวว่าแบบโอเคเราผ่านมาแบบทุกอย่างละ เนี่ยมันจะใกล้ปิดกล้องละ มันคือแค่อีกซีนเดียวอ เราต้องทำให้ได้ ต้องเปลี่ยนมายด์เซ็ตเลยว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราต้องทำให้ได้ อีกอย่างนึงก็คือเรามีโอกาสแค่ครั้งเดียว คือสามารถตกได้แค่ครั้งเดียว เพราะถ้าเกิดว่าครั้งแรกไม่ผ่านเนี่ย เราต้องแบบขึ้นมาล้างตัวใหม่ แล้วก็ทำตัวเองให้แห้ง ใหม่ทั้งหมด ซึ่งมันจะทำให้การทำงานเนี่ยเลทไปเลย ผมเลยต้องจินตนาการเองในหัวว่า เราจะต้องตกประมาณนี้นะ เราจะต้องอ้าแขนประมาณนี้ กางขาประมาณนี้นะ คือต้องได้แต่จินตนาการ แล้วก็ทำมันออกมานะตอนนั้นเลย แล้วก็โชคดีมากที่ผู้กำกับบอกว่า เฮ้ยโอเค ดีมาก ออกมาชอบมาก ท่าตกดูแบบสมจริง ก็เลยรู้สึกว่าเฮ้ยเราผ่านจุดที่เรากลัวที่สุดมาแล้วอ่ะ ต่อจากนี้ไปเราคิดว่าเราจะทำอะไรก็ได้ละ
Q : ของต้าบ้าง?
ต้า ซีนที่ยากที่สุดเหรอครับ ของผมน่าจะเป็นซีนขับมอเตอร์ไซค์เพราะว่าก่อนถ่ายเนี่ย ผมขับมอเตอร์ไซค์ไม่เป็น ก่อนเปิดกล้องก็จะซ้อมขับ แต่ตอนนั้นขับออโต้อ ที่ตอนซ้อมอ่ะครับ แต่พอตอนถ่ายมันเป็นมอเตอร์ไซค์เป็นคลัช เป็นมอเตอร์ไซค์แบบเก่าๆ อะไรอย่างเนี้ยครับ ก็ต้องเปลี่ยน เกียร์เปลี่ยน มันสตาร์ทเครื่องยากด้วย มันยากครับ มันเสียวแล้วพี่บอมต้องนั่งซ้อนด้วยไง ผมเลยกลัว คือผมเสียวพี่บอมตก กดดันอยู่
Q : ซีนยากแล้วซีนประทับใจบ้าง?
ต้า ประทับใจ ผมยกให้เป็นซีน ซีนดราม่าแล้วกัน คือทุกที่ผมจะตอบว่าแอคชั่น แต่อันนี้ผมกลับไปคิดละ ผมว่าดราม่าดีกว่า เพราะว่าผมรู้สึกว่าได้ส่งอารมณ์กับนักแสดงที่เราร่วมซีนนั้นได้ดีมากแล้ว ก็รู้สึกว่าเราเล่นอารมณ์ได้แบบสุดสุดของตัวเองแล้วอะไรอย่างเนี้ย
บอม ถ้าสำหรับผม ประทับใจที่สุดน่าจะเป็นซีนงานวัดเพราะว่ารู้สึกว่ามันค่อนข้างใหญ่แล้วก็เป็นซีนที่มีคนมารวมกันแบบเป็นร้อยคนเลย เลยรู้สึกว่าเฮ้ยเรา ไม่อยากจะเชื่อตัวเองว่าเราจะได้มาเป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ที่โปรดักชั่นใหญ่ขนาดนี้ ที่ผ่านมาทุกรายการผมก็จะตอบว่าซีนวัดตลอดเลย เพราะว่าผมก็ประทับใจ แต่ว่าถ้าเกิดเป็นซีนประทับใจใหม่แล้วกัน ที่ผมเพิ่งจะได้เห็นพร้อมกับทุกคนเลย ก็คืออีพีสอง ซึ่งเป็นซีนจุ๊บเหม่ง คือผมอ่ะตอนที่เล่นก็ไม่ได้คิดว่ามันจะออกมาเป็นซีนที่แบบฟีลกู๊ดและน่ารักขนาดนี้ ด้วยความที่ผมเพิ่งจะมาเห็นในจอครั้งแรก ผมก็เพิ่งเห็นว่าเขาทำหน้าตายังไง ตอนที่เล่นอ่ะผมไม่รู้เพราะว่าผมเอาหัวซบอยู่ตรงนี้ พอได้เห็นปุ๊ปว่าเขาทำหน้าแบบฮื้มมมม แบบว่าหลงตัวเองแบบหืม …ชอบชั้นล่ะสิอะไรอย่างเนี้ย ผมเลยรู้สึกว่าเฮ้ย เขาเล่นแบบนี้เหรอ ผมไม่ได้เห็นหน้าเขาตอนที่ผมแสดงก็เลยรู้สึกว่าแบบประทับใจ บวกกับได้รับฟีดแบคที่ดีมาก คือคนชอบซีนนี้กันเยอะ
Q : NC เยอะมั๊ยเรื่องนี้?
ต้า มันเรท13+อ่ะครับ ซึ่งผมว่ามันจะออกแนวแบบความรักใสๆ แล้วก็ความความโรแมนติคที่แปลก ที่ไม่เคยมีเรื่องไหนทำมาก่อนมากกว่า
บอม ด้วยเส้นเรื่องของเรามันเป็นคอมเมดี้นำ แล้วก็ตามมาด้วยเส้นเรื่องของครอบครัว ก็เหมือนเราจะโฟกัสไปที่ความตลกความเฮฮา แล้วก็ความสัมพันธ์ มิตรภาพแปลกๆ ที่มันเกิดขึ้นระหว่างคนสองคนที่แบบไม่น่าจะมาพบเจอกันได้ คิดว่าคนน่าจะชอบความน่ารัก (ใช่) ความฟีลกู๊ดแล้วก็ยิ่งดูยิ่งขำเฮฮาครับผม
Q : หนักสุดเลเวลไหน?
บอม โหผมว่าน่าจะแบบตกโต๊ะ คือแบบมันจะมีอะไรที่คาดไม่ถึงอีกเยอะเลยครับผม แต่แบบสปอยล์ไม่ได้ครับ
ต้า จริงๆผมคันปากมากแต่พูดไม่ได้ เดี๋ยวผมโดนว่าครับ
Q : ถึงขั้นถึงเนื้อถึงตัวกันขนาดไหน?
บอม พูดได้เหรอ ไว้ไปติดตามในซีรีส์ดีกว่าครับผม
Q : ให้ประเมินเราสองคนคิดว่า เคมีอันไหนที่มันมีเคมีเข้ากันได้ดีเหลือเกิน ในซีรีส์นะ?
ต้า เนยกับทิ ผมรู้สึกว่าความที่คาแรคเตอร์เหมือนกันเรามันจูนกันได้ มันอยู่ด้วยกันแล้วแบบเข้ากันอะไรอย่างเนี้ย เนยเป็นนักเลง ทิเป็นคนเรียบร้อย แล้ววันนึงต้องมาอยู่ด้วยกันแล้วคือมันดันเป็นความสัมพันธ์ที่มีความสุข มันเป็นแบบฟีลกู๊ดอ่ะครับ
Q : แล้วถ้าเกิดเป็นบอมกับต้าล่ะ?
บอม ผมกับต้าเหรอ (เคมีเหรอครับ) อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเคมีของเราอยู่ที่ตรงไหนแต่ถ้าจากที่เคยอ่านคอมเมนต์มาจากแฟนคลับ เขาก็จะมองว่าผมกับต้าเนี่ย โอ้โหต่างกันแบบสุดขั้วเลยในด้านของอายุด้วย ในเรื่องของคาแรคเตอร์ความคิดอะไรต่างๆ ด้วยอย่างเนี้ย แต่พอมาอยู่ด้วยกันแล้วเนี่ยเหมือน ก็เหมือนทิกับเนยที่จูนกันติด ในด้านของการทำงานด้วยกันก็เหมือนกับที่ผมเคยบอกไปว่าเราเข้าใจกันมากๆ เราคุยกันทุกเรื่องแล้วก็การทำงานอะไรอย่างเนี้ยมันสมูททั้งๆที่เราก็ไม่ได้มีคาแรคเตอร์อะไรที่มันใกล้เคียงกันเลย แต่คนก็มองว่ามันน่ารักดีที่สองคนที่แตกต่างกันมาก ๆ สามารถมาแบบมาอยู่ด้วยกันได้
Q : มีจุดที่มองไม่ตรงกันบ้างไหม?
บอม มองไม่ตรงกันเหรอ ไม่มีนะ ไม่มี ใช่คิดไม่ออกเลย
บอม ที่ผ่านมาคือเหมือนแบบโอเคตลอด เพราะแบบเราพูดคุยกันตลอด อย่างซีนที่เราต้องมีการซ้อมกันก่อน ต้องเข้าใกล้กันมาก ๆ เราจะคุยกันก่อนอยู่แล้ว แล้วก็มองว่ามันแบบเป็นเรื่องขำๆ ตลกๆ ไปอะไรอย่างนี้มากกว่า ไม่ได้แบบไม่ได้มีโมเมนต์อะไรเลย ที่เครียดหรือต้องมานั่งเฮ้ยเราจะทำยังไงดี หรือความคิดไม่เหมือนกันอย่างเนี้ยไม่เคยเกิดขึ้นเลย