เคมีจิ้นเกินเบอร์จริงๆ สำหรับ “เล ทะเล สงวนดีกุล” และ “มิวซ์ ณัฐวิทย์ ผิวงาม” จาก ซีรีส์ War of Y ทางช่อง AIS PLAY ที่กำลังมาแรงอยู่ในตอนนี้ Feed มีโอกาสนั่งคุยกับ เล-มิวซ์ ถึงตัวตน และเส้นทางชีวิตของทั้งคู่
ชีวิตช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง?
ทะเล : “ก็หลังจากได้พักผ่อนมาประมาณ 2 อาทิตย์ก็เริ่มกลับมาทำงานใหม่อีกแล้ว หลังจากที่ทำงานมาตลอดปีกว่าๆ เป็นชีวิตที่มีความสุขอยู่กับการทำงาน ที่ผ่านมาเพิ่งมีโอกาสได้พัก ก็เลยไปเข้าป่ามา ถ้าถามเมื่อเดือนที่แล้วก็จะบอกว่ามีความสุขกับการได้หยุดพัก แต่พอได้พักแล้ว คำตอบที่ได้ใหม่ก็คือชีวิตมีความสุขที่ได้กลับมาทำงาน อยากออกกองซีรีส์ต่อแล้ว (ไปชาร์จแบตมา?) แต่ไปก็เหนื่อยกว่าเดิมอีก เข้าป่าในฤดูฝนไม่ใช่เรื่องที่ได้พักผ่อนเลย มันเป็นการชาร์จจิตใจแต่ไม่ได้ชาร์จร่างกาย”
มิวซ์ : “ผมก็เรื่อยๆ ครับ เพิ่งเรียนจบรอรับปริญญา มันก็ต้องหาอะไรทำเพราะเป็นคนที่อยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต้องคิดนู่นคิดนี่ อยากลองนู่นลองนี่ทำอะไรไปเรื่อยๆ ก็สนุกดีครับ ก็มีที่คิดเรื่องเรียนต่อไว้บ้าง มีอยู่ในแพลนแต่แพลนมันเยอะมาก เพิ่งเรียนจบด้วยก็รอดูผลตอบรับของซีรีส์ว่าจะเป็นยังไง”
ชีวิตก่อนจะเข้าวงการ “เล-มิวซ์” เป็นอย่างไรกันมาก่อน?
ทะเล : “ย้อนกลับไปเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ไม่นานมากผมก็ทำงานนี่แหละ เรียนจบมาก็วิ่งกองอยู่โปรดักชันเฮาส์ แล้วก็ไปอยู่เอเจนซี่เป็นโพสโปรดักชัน แล้วก็มีโอกาสได้ลาออกมาแสดงซีรีส์ ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าจะยาวอะไรขนาดนี้ แค่คิดว่าโอกาสมันเข้ามา เป็นอะไรที่น่าสนใจ ได้เล่นซีรีส์อินเดียเป็นเรื่องแรก ไม่ใช่ว่ามันจะเข้ามาง่ายๆ ผมก็เลยคุยกับเจ้านายคุยกับเพื่อนสนิท ก็ตัดสินใจลาออกดีกว่า ไปลองดู
ตอนนั้นเรียกลอง แต่ตอนนี้มันเป็นจริงจังไปแล้ว ผมว่ามาตรงนี้มันสนุกนะ คือไม่ใช่งานออฟฟิศไม่ดี การเป็นลูทีนอย่างนั้นมันก็มีความสุขของมัน ผมก็ชอบตอนนั้นแล้วก็คิดถึงตอนนั้นด้วย แต่ว่าพอมาอยู่ตรงนี้ผมว่ามันได้ทำอะไรไม่ซ้ำเดิม มันแปลกใหม่ขึ้นเรื่อยๆ ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ได้เล่นบทใหม่ๆ คาแรกเตอร์ใหม่ๆ ได้ลองซีนนู้นซีนนี้ ได้ลองเล่นดนตรีบ้าง ตายบ้าง ชีวิตมันก็ไม่น่าเบื่อ”
มิวซ์ : “ของมิวซ์ เข้าวงการจากการที่มีผู้จัดการชวนเข้ามาทำ ก็ลองไปพูดคุย ก็โอเคครับ ได้เข้าตั้งแต่ตอนนั้น ผมยังอยู่ปี 1 ปี 2 เพิ่งเข้ามาจากต่างจังหวัด แต่ผมยังไม่ได้เริ่มแสดงซีรีส์อะไรเลย อันนี้เป็นเรื่องแรกครับ ก็ต้องปรับตัวสักพักใหญ่ๆ ที่บ้านสนับสนุนให้มาเต็มที่ อย่างซีรีส์แม่เขาก็จะติดตามดูทุกสัปดาห์ถามว่ามายัง มันจะดีเลย์นิดหน่อยสามทุ่มนิดๆ พอสามทุ่มแม่ก็ทักมาแล้วว่าซีรีส์ยังไม่มา แม่รอดูอยู่”
“ทะเล สงวนดีกุล” เป็นคนอย่างไร?
เล : “ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยจมอยู่กับเรื่องเศร้าๆ เรื่อง Negative นาน ก็จะหาทางออกโดยการไปปรึกษาเพื่อนบ้าง หรือทำอย่างอื่นให้เราลืมเรื่องเศร้าๆ ไปบ้าง ชีวิตส่วนใหญ่ก็จะอยู่กับการดึงตัวเองให้มาอยู่ในจุดที่ Positive ตลอด มีอะไรก็ปรึกษาเพื่อนไว้ก่อน ผมจะไม่คุยกับที่บ้าน ส่วนมากจะคุยกับน้องชาย เพราะถ้าเป็นเรื่องปัญหา ผมจะคุยกับเพื่อนมากกว่า แต่ถ้าเป็นเรื่องดีๆ เรื่องงานงานอนาคต ผมจะคุยกับที่บ้าน
ครอบครัวผมอยากให้ผมทำงานตรงนี้ตั้งนานแล้ว แต่ตอนเด็กๆ แต่ผมไม่ยอม ผมมีป้าก็ทำงานในวงการนี้ด้วย ก็อยากให้ไปเล่นโฆษณาแต่ว่าผมไม่ได้ไป เพราะตอนเด็กอยากเป็นสถาปนิก แต่สุดท้ายไม่รู้ยังไงเหมือนกันโอกาสมันวนเข้ามาจนจบตรงนี้ได้”
“มิวซ์ ณัฐวิทย์” ล่ะ คุณเป็นคนอย่างไรบ้าง?
มิวซ์ : “ผมเป็นคนที่ชิลล์ครับ ชิลล์เพราะว่ามีหลายอย่างที่เกินนอกจากแผนที่วางไว้ แล้วก็เกินจากที่คาดหวังไว้ มันเลยทำให้เหมือนเราสบายใจ แต่ก็เป็นคนที่แก้ปัญหาด้วยตัวเองมาตลอดเพราะเป็นลูกคนเดียว ยกเว้นจนปัญญาคิดไม่ออกค่อยไปปรึกษาพ่อแม่ แต่ส่วนใหญ่สุดท้ายแล้วจะเป็นตัวเองที่แก้ปัญหา อยู่กับปัจจุบันมากกว่า พอนึกถึงความผิดพลาดในอดีตก็จะดีดนิ้วแปะให้กลับมาอยู่กับตัวเอง ณ ตอนนี้ เพราะเป็นอดีตไปแล้วจะคิดถึงทำไมไม่รู้ เราก็รู้ปัญหาเกิดจากอะไร วิธียังไง เราก็รู้หมดแล้ว ไม่ต้องมานึกถึงตอนนั้นก็ได้”
ชีวิตของพวกคุณเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ตั้งแต่เข้าวงการมา จนมาเป็น “เล-มิวซ์”
มิวซ์ : “ผมรู้สึกสนุกขึ้นนะครับ ชีวิตดูมีสีสันมากขึ้น ด้วยเพราะมีคนรู้จัก เวลาออกไปไหนก็จะมีคนทักทาย ขอถ่ายรูป มิวซ์มองแฟนคลับเป็นเหมือนคนรู้จักเป็นญาติพี่น้องเราอยู่แล้ว บางทีเราก็เดินเข้าไปทักเขาเอง ชีวิตแฮปปี้มากขึ้น มันรู้สึกอบอุ่น โลกนี้ไม่ได้มีแค่เราคนเดียว”
การที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางสปอร์ตไลท์ มันใช้ชีวิตยากไหม?
เล : “อยู่ตรงนี้มันก็มีเรื่องที่ยากขึ้น อย่างเวลาไปไหนก็ต้องดูแลตัวเองมากขึ้น อย่างอาทิตย์ที่ผ่านมาวันเกิดแม่ ผมพาแม่ไปกินที่ร้านอาหารญี่ปุ่น ผมเจอคนมาขอถ่ายรูป แต่ผมสภาพหัวฟูใส่แว่นใส่กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ เสื้อกล้ามไป แล้วคนมาขอถ่ายรูป ผมก็แบบไม่น่าเลย อันนี้มันก็เป็นข้อเสียที่เราต้องเริ่มปรับ ถือว่าเป็นข้อดีด้วยนะที่เราต้องเริ่มดูแลตัวเองมากขึ้นตลอดเวลา แต่ข้อดีจริงๆ ผมว่าผมได้เจอคนมากขึ้น ทั้งพี่ๆ น้องๆ ทีมงานเพื่อนๆ ที่เจอกันในวงการ หรือว่าเพื่อนๆ แฟนคลับทุกคน เจอกันเขาก็ทักทาย ผมว่าเป็นอะไรที่ดีนะเพราะว่าผมได้มิตรภาพที่ดี
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเส้นทางที่เราเลือกมันถูกไหม?
แต่ผมคิดว่าแพชชั่นของคนเรามันเปลี่ยนได้ตลอด ตอนนี้ผมมีแพชชั่นกับการแสดงผมทำไปเรื่อยๆ ผมมีความสุข ถ้าวันนึงมันไม่ใช่แล้วผมก็แค่ไปทำอย่างอื่นแค่นั้นเอง ผมไม่ได้กดดันตัวเองว่าผมต้องทำให้ได้ แต่ผมยังมีแพชชั่นอยู่ผมก็จะทำไปเรื่อยๆ ก่อน”
มิวซ์ : “มิวซ์คิดว่าถูกนะครับ เพราะก่อนจะตัดสินใจอะไรก็คิดมาดีอยู่แล้ว คิดแล้วคิดอีก พยายามหาข้อดี-ข้อเสียมาเปรียบเทียบกันระหว่างหลายๆ ทางที่เรามีโอกาส แล้วก็ตัดสินใจที่จะเลือกช้อยส์นี้ มิวซ์คิดว่าตัวเลือกค่อนข้างที่จะถูกครับ ถูกของมิวซ์คือตัวเองแฮปปี้ก็คือถูกครับ”
ชีวิต “เล-มิวซ์” เคยเลือกอะไรผิดบ้างไหม?
เล : “ก็หลายครั้งนะครับ มันก็เป็นเรื่องธรรมดา ง่ายๆ เลยคืออาหารอยากลองเมนูใหม่ๆ ลองแล้วมันไม่เวิร์คนึกออกไหม ถ้าเรื่องใหญ่ๆ จะมีเรื่องที่ผมซิ่วมา แต่ยังดีที่ปีนั้นมันเป็นช่วงอาเซียน คือรุ่นผมต้องหยุดไปเลยปีนึงก่อนจะเข้ามหาวิทยาลัย มันก็เลยทำให้ผมไม่ต้องซ้ำในรุ่นต่อไป แต่ผมกลายเป็นเด็กที่รับน้องสอง ม. พร้อมกัน แต่มันก็เสียดายอะไรหลายอย่าง เสียเวลา เสียเงินค่าติวเพื่อไปเข้าคณะนึงแต่สุดท้ายเราไปอีกสายเลยอะไรอย่างนี้”
มิวซ์ : “ถ้าตัดสินใจมันไม่ค่อยมีครับ แต่รู้สึกเสียใจตรงที่โอกาสเราน้อย ทำให้โอกาสในการเลือกเราน้อย พอเห็นตัวเลือกบนโลกนี้มันมีเยอะ มันรู้สึกเสียใจตรงนั้นมากกว่าที่เราไม่รู้ ตอนนั้นช้อยส์ที่เราเห็นคือดีที่สุดแล้วเราไม่ได้เสียใจ แต่เราเสียใจที่เพิ่งมารู้ว่ามันมีชอยส์อื่นด้วย”
คิดว่าถ้าไม่มีซีรีส์ “ War of Y” คิดว่า “เล-มิวซ์”จะมีโอกาสได้เจอกันไหม?
มิวซ์ : “มิวซ์ว่ามี เพราะว่าเราไลฟ์สไตล์คล้ายๆ กัน มันต้องมีสักวันที่เราต้องมาพูดคุยกันแน่นอน อย่างสตรีมเกมเราก็สตรีมเหมือนกัน ของเล่นมิวซ์ก็เคยไปสะพานเหล็ก ไปเมก้าพลาซ่า มิวซ์ก็คิดว่าสักวันคงมีโอกาสได้เจอกันในร้านอะไรอย่างนี้”
เล : “ด้วยความที่เลเป็นคนเพื่อนเยอะ เพื่อนเลบางคนก็รู้จักมิวซ์ เพื่อนมิวซ์ก็เป็นเพื่อนเลบางคนยังไงมันก็วนเข้ามาเจอกันสักวัน เผลอๆ อาจจะเป็นซีรีส์เรื่องอื่นอาจจะเจอกันก็ได้”
เคยคิดไหมว่าวันนึง “เล-มิวซ์” จะมาเป็นนักแสดงซีรีส์ Y?
เล : “เมื่อก่อนผมไม่คิดว่าจะมาเป็นนักแสดงด้วยซ้ำครับ ผมอยากเป็นสถาปนิกตั้งแต่เด็ก โตมาไปเป็นผู้ช่วยฯ อยู่ดีๆ ไปเป็นอีดิเตอร์ ผมไม่เคยคิดว่าจะมาเป็นนักแสดงเหมือนกัน มีเคยไปเล่น MV บ้างแวบๆ”
มิวซ์ : “มิวซ์ไม่คิดเลยครับ เพราะว่าเมื่อก่อนกลัวกล้องมากๆ รูปตอนมัธยมฯ เป็นศูนย์ เมื่อก่อนไม่ใช่อย่างทุกวันนี้เลย ก็ไม่เคยคิดเลยครับ”
“เล-มิวซ์” มีความรู้สึกยังไงกับซีรีส์ Y?
มิวซ์ : “เฉยๆ นะครับ มิวซ์ก็รู้สึกว่าเป็นซีรีส์ประเภทหนึ่ง เราเป็นนักแสดงเราทำหน้าที่สื่อสารตัวละครให้คนดูรู้เรื่องราวต่างๆ ครับ”
เล : “จริงๆ มันคือซีรีส์เหมือนกันหมดแหละ มันแค่อยู่ที่เนื้อเรื่องเฉยๆ ว่าคนจะเอาไปแบ่งว่าเป็น Y หรือไม่ Y แต่ยังไงมันก็คือการที่เราได้รับตัวละครมา เราแค่ต้องดูแลตัวละครนั้นให้ตลอดรอดฝั่ง”
ได้ประสบการณ์อะไรกลับมาบ้างจากซีรีส์ “War of Y”
เล : “อย่างแรกง่ายๆ เลยคือได้เพื่อนเพิ่ม เพราะนักแสดงเยอะมาก เยอะจริงๆ แล้วก็ได้เห็นพี่ๆ นักแสดงรุ่นใหญ่เล่นกัน”
มิวซ์ : “ของมิวซ์ค่อนข้างที่จะเยอะมากเพราะว่าเป็นเรื่องใหม่ของมิวซ์เลย เป็นเรื่องแรกด้วย มิวซ์เรียนเภสัชมา เหมือนข้ามโลกมาสู่โลกใหม่ ได้เห็นการทำงานที่ค่อนข้างแตกต่าง ได้เห็นกระบวนการทำงานของคนร่วมกับคนต่างๆ มันทำให้ใหม่สำหรับมิวซ์หมดเลย เราต้องปรับตัว แต่ก็รู้สึกสนุกกับมันนะ รู้สึกสนุกกว่าตอนเรียน เพราะตอนเรียน พลังเราค่อนข้างที่จะนิ่ง เพราะทุกคนต้องใช้ความคิด ทุกคนทำงานกันอยู่กับในหัวมีพูดคุยเป็นหลักการวิชาการ แต่พออันนี้ทุกคนใช้ความคิดสร้างสรรค์ ใช้อารมณ์ ใช้ความสนุกเข้ากับการทำงาน มันทำให้พลังการอยากมาทำงานมันเยอะกว่าการที่อยู่ในโลกฝั่งนู้น”
เล : “อีกอย่างที่ได้คือผมเคยทำงานกับกอง Copy A ผมจะรู้สึกว่าเรื่องนี้มันมีความเป็นมนุษย์ในแต่ละตัวละครมากกว่าเรื่องอื่นเลย เพราะว่าไม่มีคนไหนเป็นคนดีไปเลย ทุกคนจะมีปมของตัวเอง และสิ่งที่ตัวเองต้องทำ ซึ่งบางทีมันอาจจะดูว่าไม่ดีก็ได้ เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายของแต่ละคน”
ทำงานร่วมกันเจอกันบ่อยๆ ความรู้สึกต่อกันเป็นยังไงบ้าง?
เล : “รู้สึกว่าสิ่งที่ทำให้สนิทง่ายที่สุดคือการที่เราต้องเจอปัญหาด้วยกัน ซึ่งในกองมันมีอยู่แล้วแหละ ซีนนี้บทใหม่เอาแล้วอยู่ดีๆ ก็มา การที่เราต้องผ่านอะไรไปด้วยกัน มันทำให้รู้สึกสนิทกันง่ายขึ้นกว่าที่จะพยายามการเจอกันบ่อยๆ”
เล่าถึงความรู้สึกที่ “เล-มิวซ์” เจอกันครั้งแรกหน่อย?
เล : “ตอนนั้นเข้าห้องจะไปฟิตติ้งเลยได้ทักได้คุยกันจริงจัง ตอนนั้นแวบแรกรู้สึกเหมือนเคยเล่นอะไรมาแล้ว วันนั้นเขาดูไม่ตื่นเต้นเลย แต่ไปออกกองวันแรกเห็นตื่นเต้นอยู่ แต่วันฟิตติ้งดูแบบมาลื่นไหล”
มิวซ์ : “เหมือนกันเลย เราสัมผัสได้ถึงแบบเขามีประสบการณ์ในการทำงาน วันนั้นเขาต้องไปถ่ายอะไรอีกด้วยเราสัมผัสได้ว่าเขามีพลังงาน เขาเก่ง เขามีประสบการณ์มากกว่าเรา เรารู้สึกว่าเราต้องรู้จักคนอย่างนี้เหรอ เรากลัวว่าเราเก่งได้ไม่เท่าเขา แรกๆ เกร็งนะคือแบบว่าไม่เคย ปกติมิวซ์เวลาคุยกับดาราเราจะรู้สึกเกร็ง พอเราต้องมาสนิทกัน ต้องทำงานด้วย เลยรู้สึกเกร็งอยู่”
แล้วละลายพฤติกรรมกันยังไง?
เล : “ก็คุยกัน แล้วก็มีนัดไปข้างนอกบ้าง กินข้าวพอออกกองไปเรื่อยๆ เจอกันบ่อยๆ มันก็ได้คุยกันมากขึ้น รู้กันแล้วว่าซีนนี้จะเล่นกันเวย์ไหน”
มิวซ์ : “มิวซ์ว่ากิจกรรมที่ทำด้วยกันมันทำให้สนิทกันได้ไวขึ้น แล้วแต่ละซีนที่เข้าด้วยกันมันก็จะมีการที่เราต้องเวิร์คช็อปด้วยกัน ต้องปรับตัวต่างๆ เหมือนจะ mood นอกจากตัวละครแล้ว ตัวเราเองมันก็จะปรับไปด้วยเหมือนกัน”
ให้ “เล” พูดถึงข้อดีของ “มิวซ์”?
เล : “มิวซ์เป็นคนตั้งใจทำงาน อยากทำให้งานออกมาดี มาครั้งแรกใช่ไหมก็จะมีความกดดันแต่ก็อยากให้ออกมาดี แล้วงานตัวเองก็ยุ่งเห็นเอาไอแพดมาทำงานตลอดเลย แต่ว่าก็ต้องก็จดพร้อมเข้าเซตด้วย เวลาคนไปพักไปอะไรกัน ก็จะนั่งอยู่กับไอแพดตัวเองทำงานต่อ แล้วพอถึงเวลาเข้าซีนก็ไปเข้าเซตต่อ เลยเห็นว่าเขาพยายามทำทุกอย่างให้มันดี”
ให้ “มิวซ์” พูดถึงข้อดีของ “เล”?
มิวซ์ : “มิวซ์ว่าเลเขาเป็นคนเก่งนะ บางทีเราทำงานด้วยกัน มิวซ์ก็เอาบทมาท่อง คนอื่นเขาก็ท่องๆ บท แต่เขาไม่เห็นเคยท่องอันนั้นเลย แต่เขาสามารถเล่นได้ เขาจำบทได้หมดทุกอย่างเหมือนเขาทำการบ้านมาพร้อมจะทำงาน ณ ตอนนั้นแล้ว เขามาถึงคือเขาสามารถ อืมม…ได้เลย มิวซ์ว่าเขาเป็นคนเก่ง”
เล : “คือด้วยความที่เป็นคนความจำช้า ท่องจำอะไรช้าก็เลยต้องทำมาก่อน ถึงเวลาก็ไม่ต้องทำแล้ว”
ข้อเสียของแต่ละฝ่ายคืออะไรบ้าง?
เล : “ตอนแรกนึกว่ามิวซ์จะเข้ากับคนยาก แต่หลังๆ พาไปแบบเจอแก๊งกลุ่มเพื่อน พอไปรวมกัน เขาก็มา ก็จอยๆ คิดว่าข้อเสียจริงๆ จังๆ ก็ยังไม่ได้เจอ”
มิวซ์ : “ยังไม่เจอข้อเสียเขานะ อย่างตอนพากันไปกินข้าวที่เจอเพื่อนๆ เราก็เห็นจุดเด่นของเขาอีกอย่างคือเขาสามารถจัดการทุกอย่างได้ เขาเป็นหัวหน้าทีม เขาจัดการเดี๋ยวนู่นนี่นั่นโน่น สามารถคุยได้หมดเลย เราไม่เคยมุมนี้เขาตอนที่เราไปถ่ายเลย”
เล : “ตอนนั้นคือเราเป็นคนชวนมา ก็เลยต้องมีการดูแลกันนิดนึง”
“เล-มิวซ์” วางเป้าหมายชีวิตหรือเป้าหมายการทำงาน ตัวเองไว้ว่าอย่างไรบ้าง?
เล: “ถ้าเป้าหมายของชีวิตเลย คืออยากดูแลที่บ้านได้ เพราะที่บ้านเป็นแม่กับป้าๆ ผู้หญิงหมดเลย แล้วคนที่น่าจะต้องดูแลอีกหน่อยก็คือเป็นเลกับน้องชาย ยังดีที่น้องชายมีงานที่มั่นคง แต่เลงานตรงนี้มันค่อนข้างเสี่ยง มันไม่มั่นคงเท่าทำงานประจำ แต่คิดว่าสักวันเราก็ต้องดูแลที่บ้านช่วยกับน้องชายนี่แหละครับ อันนี้คือชีวิตนะ ถ้าการงานก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เมื่อก่อนอยากเล่นซีรีส์ อยากเล่น MV ตอนนี้ปัจจุบันคือเป้าหมายคืออยากเล่นภาพยนตร์”
มิวซ์ : “ภาพใหญ่ของผมอยากเป็นคนที่มีความสุขและดูแลคนอื่นได้ อยากทำอะไรก็ได้แต่ขอให้ตัวเองไม่ทุกข์ ไม่ลำบาก ไม่ต้องมาฝืนตัวเองทำ แบบว่าคนอื่นเขามีความสุขนะ ไม่ใช่อย่างนั้นเราต้องมีความสุขด้วย แล้วเราก็ดูแลคนอื่นได้ คนอื่นมีความสุขด้วยเช่นกัน ส่วนอีก 4-5 ปีข้างหน้าถ้ามิวซ์ยังทำงานในวงการอยู่ มิวซ์อยากเล่นภาพยนตร์เหมือนกัน เพราะมันให้ฟิวที่แตกต่างกัน หนังมันคือปึ้งจบ เราต้องดำเนินตามเนื้อเรื่องไปเรื่อยๆ นั่นคือสิ่งที่อยากลองครับ มันต้องถ่ายหลายวันแล้วเราต้อง Hold อารมณ์ Hold ต่างๆไว้ในแต่ละซีนเรื่อยๆ อยากเห็นตัวเองไปอยู่จุดนั้นครับ อยากรู้ว่าเราจะทำได้ไหม อยากเห็นเราบนภาพยนตร์ บนจอหนังใหญ่ๆ ว่ามันเป็นยังไง”
พูดถึงมุมมองความรักของ “มิวซ์” กันบ้าง?
มิวซ์ : “ก็เคยเป็นเฟิร์สเลิฟครับ แล้วก็เลิกกัน เฮิร์ตหนักมาก ตอนนี้โฟกัสกับตัวเองก่อนครับ ก็อาจจะยังไม่ค่อยได้อะไร มิวซ์โฟกัสอยู่กับตัวเอง อย่างเวลามิวซ์กลับอยู่ห้อง จะหาอะไรจุ๊กจิ๊กทำ เช่น วาดรูป เล่นเกม หยิบกีตาร์มาเล่น อ่านหนังสือก็อ่าน อยากอยู่กับตัวเอง อยากพัฒนาตัวเองก่อน ไม่อยากไปโฟกัสกับการมีคนอื่นเข้ามา
เราต้องใช้เวลาปรับตัว คุยกัน บางทีอาจจะมีเรื่องภายนอกเข้ามาทำให้เราค่อนข้างที่จะไขว้เขวกับสิ่งที่เราต้องการทำก่อน แต่ถ้าเกิดคนที่เข้ามาเวย์เดียวกับเราก็อาจที่จะมีทางสานต่อได้ครับ”
สเปคคนที่จะเข้ามาของ “มิวซ์”?
มิวซ์ : “คิดว่าเข้ากับเราได้ครับ มิวซ์ไม่ได้ซีเรียสนะว่าหน้าตารูปร่างเป็นยังไง แต่ว่าสิ่งที่ทำให้คนเราสองคนรักกันได้มิวซ์คิดว่าคือความเข้ากัน ไม่ต้องปรับตัวกันมาก ได้พูดคุยแล้วเกิดความสบายใจอันนั้นน่าเป็นความรักที่ดีนะ เพราะเราไม่ได้คาดหวังว่าเขาต้องเป็นยังไง แล้วเขาก็เป็นอย่างที่เราสบายใจ เขาก็ไม่ต้องปรับตัวเราไม่ต้องปรับตัว ไม่เกิดการทะเลาะกันสุดท้ายก็น่าจะแฮปปี้ดี”
พูดถึงมุมมองความรักของ “เล” บ้าง?
เล : “ทุกครั้งที่ความรักจบไป เราก็จะรู้จักตัวเองมากขึ้น เราจะรู้ข้อเสียตัวเองว่าเราเป็นคนที่เรียกว่าอะไรนะ หลักๆ เลยติดเพื่อน ก็มีหลายๆ ครั้งที่ต้องเลิกลาเพราะติดเพื่อน ด้วยความรักเพื่อนมากแหละก็ชอบพาเพื่อนมารวมกัน จากประสบการณ์ทำให้มุมมองความรักผมเปลี่ยนไป
ครั้งต่อไปผมควรจะโตกว่านี้ก่อน ไม่ใช่ว่าผมยังไม่เข้าใจอะไรจริงๆ แล้วก็ผมยังเด็กอยู่ ถ้าไปต่ออีกมันอาจจะจบเหมือนเดิมๆ แบบที่ผ่านมาก็ได้ ผมคิดว่าผมควรเข้าใจจริงๆ ก่อน แล้วผมค่อยเริ่มความสัมพันธ์ครั้งใหม่
ตอนนี้ก็ไม่ได้ถึงกับเบรกนะครับ ด้วยความที่ติดเพื่อน มีเวลาว่างหาเพื่อนตลอด แล้วผมไม่ใช่คนที่จะโทรคุยกับใครเล่นๆ ผมไปคุยกับใครคือผมมีเหตุผลเลยว่าจะทำอะไร จะไปไหนกัน ไปนู่นโอเคเจอกัน ผมไม่ได้คนคุยเล่นๆ ไม่ใช่คนปากหวานคุยเก่งด้วยไง ก็เลยอยู่กับเพื่อนไปก่อนครับ”
แล้วฉาก NC ในซีรีส์ “War of Y” ล่ะ มันยากไหมกับคนที่ไม่มีความรักแบบเรา?
เล : “ผมก็ไม่เคยเล่นแรงขนาดนี้ จริงๆ มันก็ไม่ยากด้วยความที่ถ่ายท้ายๆ เรารู้จักกันแล้วสนิทกันแล้ว มันก็เลยง่ายแต่ถ้ามาวันแรก ผมว่ามีปัญหาแน่นอน เพราะเราไม่คุ้นเคยกัน แต่พอมาวันนี้ถึงปุ๊บถึงจังหวะมาเล่นเลย”
มิวซ์ : “มุมกล้องมันจะปิดบังหน้า แค่บอกเฉยๆ พอจริงๆ มันจะมีเสียงวอผู้กำกับฯ มาคอยบอกอารมณ์อยู่ตลอดว่าต้องยังไง แล้วเราก็แบบว่าเหมือนเข้าไปสู่ตัวละครแล้ว มันก็เลยไม่ได้ยาก ไม่ได้มีความต่อต้านจากร่างกายเราออกมา แบบว่าไม่นะอะไรอย่างนี้”
เล : “ถามว่าเขินมั้ยก็มีบ้างนะครับ”
“เล-มิวซ์” มีลิมิตขนาดไหนกับฉาก NC ”
มิวซ์ : “ไม่นะครับ ตอนแสดงไม่ได้คิดถึงครับ ลืมกล้องไปเลยด้วยซ้ำ พอมาดูจริงๆ กล้องอยู่ตรงนี้ข้างๆ เราสามารถขยับได้เยอะเลย กล้องอยู่ชิดใกล้มากๆ ตอนเราแสดงเราลืมอารมณ์ตรงนั้นไปเลยว่าเราต้องอายกล้อง เรามองเห็นกล้องแต่เราตัดทุกอย่างออกไป มีเรานักแสดงสองคนที่อยู่ตรงนั้น”
เล : “ผมว่าเป็นเพราะเราคุ้นเคยกับกองด้วย แล้วก็สนิทใจกันเองที่จะเล่น ทำให้มันรู้สึกเหมือนทำงานทีมเดียวกับเรา มันก็เลยโฟล พอได้เห็นฉากเลิฟซีนที่เราเล่นในจอก็ตกใจครับ แต่มันก็ดีกว่าที่ผมคิดนะ”
ถึงช่วงเวลาขายของซีรีส์เรื่อง “War of Y” สนุกตรงไหน?
มิวซ์ : “ความตรงๆ ของเรื่องครับ ที่แบบว่าเรื่องจริงยังไงเขาก็เอาไปใส่ แต่ว่าอาจจะมีแต่งเติมหรือว่าปรับเปลี่ยนอะไรนิดหน่อย มันจะมีโครงของความจริงทั้งหมด สมมติว่าเรื่องแยกคนที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 แต่เรื่องนี้มันอาจจะรวมอยู่ในคนๆ เดียว มันอาจจะดูโอเวอร์เกินไปหน่อยว่าคนๆ นึงขนาดนี้เลยเหรอ ซึ่งมันไม่ใช่แน่นอน แต่มันจะมีเรื่องราวข่าวนั้นอยู่แล้วในชีวิตจริง”
เล : “สิ่งที่น่าสนใจในเรื่องนี้คือความกล้าที่จะเล่าเพราะประเด็นมันเป็นประเด็นที่เซ็นซิทีฟ แล้วคนจะไม่รู้ว่านักแสดงคนหนึ่ง เบื้องหลังกว่าเขาจะมาเจอตรงนี้ เขาเจออะไรกันมาบ้างก็ต้องแลกอะไรมาต้องผ่านอะไร ร้องไห้โดนหลอกหรือนี่นั่นอะไรกันบ้าง กว่าจะมาถึงจุดนั้นได้ ซึ่งแต่ละตัวละครในเรื่องเรื่องราวก็ไม่เหมือนกันด้วย”
ออนแอร์ไปแล้วกระแสเป็นอย่างไรบ้าง?
เล : “ดีนะครับ ตอนแรกนึกว่าจะโดนด่าแล้ว ทุกคนสนุกกับมันอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือยังไงต่อ คนชอบก็เห็นคอมเมนต์กันนะ เขาไม่เคยคิดเลยว่าน้องคนนั้นเขาจะคิดอย่างนี้อยู่หรือเปล่าในหัว หรือว่าพอเดินกลับไปแล้วเขาจะต้องไปร้องไห้หรือเปล่า เพราะว่าอยู่ต่อหน้าเขาก็คือยิ้ม แต่เบื้องหลังเขาเจออะไรอยู่ เขากำลังทำอะไรคือผ่านอะไรเผชิญอะไรตรงนั้นอยู่”
ก่อนจะออนแอร์ “เล-มิวซ์” ได้เตรียมรับมือกับกระแสที่อาจจะตีกลับบ้างไหม?
เล : “ผมเตรียมใจไว้เลยว่าเห็นบทมันต้องโดนด่ากันบ้างแหละ แต่มันยังไม่มี คนดูชอบครับกระแสดี แต่ว่าเพิ่งผ่านไป 5 ตอนเอง เดี๋ยวดูกันต่อไป”
มิวซ์ : “มันจะแรงขึ้นเรื่อยๆ นะ ดูจากชื่อเรื่องครับ แต่ละเรื่องมันเริ่มมีความแซ่บแรงขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกเหมือนเป็นแค่น้ำจิ้มเกริ่นเข้าสู่เรื่องในวงการ ต่อไปมันก็จะมีอะไรมากมาย”
มีพาร์ทของไดเรกเตอร์คัทด้วย?
เล : “มันจะมีซีนเพิ่มเติม ที่เรียกว่าแซ่บขึ้น ถ้าอยากดูเต็มๆ แนะนำ ถ้าเป็นผมนะ ผมว่าไดเรกเตอร์คัทดีกว่า”
มิวซ์ : “อารมณ์มันได้ถึงกว่า อารมณ์มันได้มากกว่าแซ่บกว่า”
เล : “ที่บ้านมีลูกเล็กเด็กแดงก็ให้ธรรมดาไปครับ”
หลังจากจบ”War of Y” จะได้เจอ “เล-มิวซ์” จากผลงานอะไรอีก?
เล : “หลังจากซีรีส์ War of Y ก็ฝากติดตามผลงานซีรีส์ต่อๆ ไปด้วยนะครับ มีแน่นอนครับ แล้วก็ผลงานร้องเพลง ผลงานด้านศิลปินก็จะมีออกมาเหมือนกัน แล้วก็ช่องสตรีมผมเริ่มมีเวลาก็จะกลับมาสตรีมก่อนยุ่งใหม่ ผมก็จะสตรีมให้เยอะที่สุดก่อนนะครับ มิวซ์ก็มีช่องสตรีมเหมือนกันต่อไปก็คงจะมาคอลแลปส์กัน แล้วก็มียูทูบ ผมเพิ่งกลับมาทำครับ หลังจากหยุดไป 6 เดือนเพราะยุ่ง เมื่อวานซืนเพิ่งโพสต์ไปคลิปแรกเดี๋ยวจะมีคลิปมาอีกเรื่อยๆ ครับตัดเก็บไว้เต็มเลย มีเบื้องหลัง War of Y ด้วย”
มิวซ์ : “ฝากซีรีส์ War of Y ด้วยนะครับ ตอนนี้ก็มีผลงานเรื่องแรกเรื่องนี้ ก็ฝากติดตาม ถ้ามีอะไรไม่ดีก็ขอโทษด้วยนะครับแต่พยายามที่สุดแล้วหวังว่าทุกคนคงจะชอบกัน แล้วตอนนี้ก็มีสตรีมดู War of Y ด้วยกัน เวลาสามทุ่มครึ่งทุกวันอังคารก็มารับชมลุ้นรีแอคไปพร้อมๆ กันได้ครับ”
สิ่งที่อยากพูดกับตัวเองบ้าง?
มิวซ์ : “เก่งมาก ดีใจที่กล้าเปิดใจยอมรับอะไรใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิตทำให้มานั่งอยู่ตรงนี้ได้”
เล : “อยากจะบอกว่าตัดทิ้งบ้าง อะไรหลายๆ อย่าง คือผมอยากทำอะไรหลายอย่างจนมันไม่มีเวลา นึกออกมั๊ยครับ เรื่องเพื่อนด้วย เดี๋ยวนี้ก็เจอเพื่อนน้อยลง ผมก็มีงานอดิเรกของผม พวกทำสีเพนท์โมเดล เล่นเกม สตรีม ทำยูทูบ งานแสดง ทำเพลง ซ้อมกีต้าร์ ฟิตเนส ไปเที่ยว อยากทำหลายๆ อย่างมากๆ แคมป์ปิ้งอีก ซึ่งมันไม่มีเวลาจริงๆ ในชีวิต ก็พักผ่อนบ้าง บอกตัวเองดีกว่า”