“ตอนเริ่มต้นทุกคนก็ดีใจว่าเราได้เป็นยูนิคอร์น เพราะว่ามันเป็นเหมือนรางวัล สำหรับสตาร์ทอัพ แต่พอผ่านไปหนึ่งปี คำนี้กลับกลายเป็นคำที่ทำให้คนในองค์กรเราประมาท อวดเก่ง ลืมว่าเรายังเป็นสตาร์ทอัพอยู่”
คมสันต์ ลี CEO แฟลชกรุ๊ป ผู้ก่อตั้ง Flash Express ได้เล่าถึงบทเรียนสำคัญที่สุดของการทำธุรกิจ และการต่อสู้ในยุคอันธพาล ที่พาเด็กชาวเขา สู่สตาร์ทอัพ ยูนิคอร์น และปฏิวัติวงการขนส่ง ในงานสัมมนา New Era Economy โดยประชาชาติธุรกิจ เมื่อเดือนมีนาคม 2566
สาเหตุที่รู้สึกเกลียดคำว่ายูนิคอร์น คมสันต์ ลี ได้เล่าว่าคำๆ นี้ทำให้คนในองค์กรเข้าใจว่าเราประสบความสำเร็จแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่เขารู้สึกไม่แฮปปี้มากๆ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่คนรู้สึกว่าประสบความสำเร็จแล้ว วิธีการของเขาจะทำเหมือนผู้ชนะ โดยไม่ระมัดระวัง ไม่ตั้งใจทำในทุกรายละเอียด ทั้งที่แท้จริงแล้วเราไม่ต่างจากวันที่เราไม่ได้เป็นยูนิคอร์นเลย เรายังเจอความท้าทาย เรายังเจอความเสี่ยง และเราก็อาจจะเจ๊งได้เหมือนเดิม
ยุคอันธพาลของ Flash Express
ซึ่งการต่อสู้ของ Flash Express ในช่วงแรกเราคิดอย่างเดียวเลยว่าจะทำอย่างไรให้องค์กรของเราไม่เจ๊ง หรือยังมองเห็นแสงอาทิตย์ในวันพรุ่งนี้ได้ ช่วงนั้น คมสันต์ ลี คิดว่าเป็นช่วงที่สนุกแล้วก็โหดร้ายสำหรับทุกคน แต่เราก็ผ่านมันมาได้แล้ว และใกล้จะผ่านช่วงการตั้งกฏเกณฑ์หรือวินัยของคนในบ้านหลังนี้ด้วยกัน กำลังเข้าสู่ยุคการสร้าง Culture ให้คนในองค์กรที่เราจะอยู่ร่วมกันได้ นอกจากมีค่านิยมที่เหมือนกัน กฏเกณฑ์ที่ชัดเจนแล้วเราต้องรักกันแบบไหน และเราเห็นอนาคตร่วมกันหรือเปล่า และมันไม่ใช่ช่วงเวลาที่ง่าย เพราะตอนนี้ Flash เปิดอยู่ 6 ประเทศในภูมิภาค กลายเป็นเรามี 6 วัฒนธรรม 6 สัญชาติ
ส่วนการเริ่มต้นธุรกิจในยุคที่เราเรียกว่าอันธพาลเพราะ คมสันต์ ลี เห็นว่า คำว่าโอกาสมันไม่ได้มีเสมอ ฉะนั้นถ้าโอกาสมันมาแล้วก็คงต้องใช้ทุกวิถีทาง เพื่อให้โอกาสนั้นอยู่กับเรายาวที่สุด ซึ่งโอกาสนั้นจะอยู่กับเราสั้นหรือว่าอยู่กับเรายาวขึ้นอยู่กับว่าเราเจ๊งหรือไม่เจ๊ง วิธีการเดียวที่ทำได้เลยคือการทำทุกวิถีทางเพื่อให้เราไม่เจ๊ง กับการทำงานที่ทุ่มเทแบบสุดตัว
“ผมไม่ได้อยากให้ทุกคนคิดว่าการทำงานหนักมันคือสิ่งที่คุ้มค่าหรือไม่คุ้มค่า แต่ผมแค่อยากบอกว่าถ้ามันเป็นโอกาสที่เราบอกว่าเราอยากได้มันโคตรๆ คุณต้องใช้ทุกวิถีทางจริงๆ ที่จะได้มันมา และคุณต้องรักษาทุกโอกาส ผมคิดว่าโอกาสนี้อาจจะเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวหรือสองครั้งในชีวิตผมที่เหลืออยู่ ถ้าครั้งนี้ผมไม่รักษาโอกาสนี้และไม่ทำมันอย่างเต็มที่ ผมอาจจะไม่มีโอกาสอย่างนี้อีก
ผมก็เลยคิดว่าผมต้องทำทุกวิถีทาง เช่น ตอนนี้เคยหนักสุดคือฉี่เป็นเลือดอยู่ที่โรงพยาบาลก็ยังต้องประชุม ผมคิดว่ามันคุ้มค่าสำหรับชีวิตของผมสักครั้งหนึ่ง นี่คือแบบชีวิตที่ผมเลือก หลายคนอาจจะบอก Work Life Balance หลายคนอาจจะบอกอย่างนั้น แต่ผมเชื่อว่าผมจะ Work Life Balance ได้ก็ต่อเมื่อผมเลือกได้ วันนั้นผมเลือกไม่ได้ผมเป็นแค่เด็กชาวเขาคนหนึ่งที่ลงมาจากบนดอย”
บทเรียนสำคัญในชีวิตการทำธุรกิจ
คมสันต์ ลี ยังเล่าอีกว่าช่วงอันธพาลนอกจากใช้ทุกวิถีทาง ความพยายาม ความตั้งใจแล้ว มีสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากก็คือความเชื่อใจ ถ้าเชื่อก็ต้องเชื่อเต็มร้อย ถ้าไม่เชื่อก็ต้องไม่เชื่อตั้งแต่วันแรกและเสมอไป คำพูดนี้แปลว่าคุณมีต้นทุนแพงมากกับการไม่เชื่อ ถ้าคุณเชื่อเพื่อนร่วมงานคุณว่าเขารับผิดชอบเรื่องนี้ได้ คุณต้องเชื่ออย่างสนิท เชื่ออย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ สนิทใจเลยให้เขาไปทำสิ่งนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณสงสัยว่าเขาทำได้ดีหรือเปล่า คุณไม่เชื่อเขา ต้นทุนคุณจะโคตรแพงเลย เพราะกิจการของคุณเล็กนิดเดียว กิจการของคุณกำลังต่อสู้ อย่างเช่นคุณขับรถมา 120 แล้วคุณสงสัยว่าข้างหน้ามีก้อนหินหรือเปล่าแล้วคุณเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวามันจะเกิดอะไรขึ้น รถพังแน่นอน คนตายแน่นอน ดังนั้นในช่วงนั้นต้องเลือกคนที่คุณเชื่อจริงๆ หรือถ้าไม่เชื่อก็ให้เขาไปก่อนรีบไปเร็วที่สุด แก้ไขเร็วที่สุด ผิดพลาดเร็วที่สุด
รับชมคลิปฉบับเต็ม คมสันต์ ลี ในงาน งานสัมมนา New Era Economy โดยประชาชาติธุรกิจ เมื่อเดือนมีนาคม 2566