หลังจากที่รถไฟฟ้าอย่าง Tesla เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเพิ่มเติมสีสันให้กับทั้งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและตลาดรถยนต์โดยรวม วันนี้เราจึงอยากนำเสนอข่าวเกี่ยวกับวงการรถยนต์ไฟฟ้าในต่างประเทศกันบ้าง กับ 5 อันดับรถยนต์ไฟฟ้าที่เร็วที่สุดในโลก ว่าตอนนี้มีแบรนด์ไหนบ้าง แล้วรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละคันไปได้เร็วขนาดไหน
อันดับที่ 5 Lucid Air Sapphire
Lucid Air Sapphire รถยนต์ไฟฟ้า ซีดานพลังไฟฟ้าที่มาเพื่อปราบรถไฟฟ้ายอดนิยมอย่าง Tesla Model S Plaid ซึ่งปราบได้ทั้งรถทั้งคนเพราะ “Peter Rawlinson” ซึ่งดำรงตำแหน่ง CEO Lucid Air และยังเป็นอีกคนที่ “Elon Musk” เกรงใจเพราะเค้าเป็นหนึ่งใน ผู้ให้กำเนิด (Founder) โปรเจค Tesla Model S ในปี 2010 มาพร้อมกับแรงม้า 1200 แรงม้า มีระบบส่งกำลังมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว แบ่งเป็นติดตั้งที่เพลาล้อหลัง 2 ตัว และ 1 ตัวที่เพลาล้อหน้า สามารถทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาน้อยกว่า 2 วินาที, ทำความเร็วจาก 0-160 กม./ชม. น้อยกว่า 4 วินาที และทำความเร็วจาก 0-400 กม./ชม. น้อยกว่า 9 วินาที
Lucid Air Sapphire จะถูกผลิตในจำนวนจำกัด มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 249,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 8,895,000 บาท การส่งมอบครั้งแรกจะเริ่มในปี 2023 นี้
อันดับที่ 4 Pininfarina Battista
Pininfarina บริษัทนักออกแบบรถชื่อดัง ที่หลายแบรนด์รถยนต์ให้ความไว้วางใจในการออกแบบรถ นอกจากการออกแบบรถแล้วยังได้มีการออกแบบและผลิตรถยนต์ออกมาในชื่อของ Pininfarina เองด้วย ซึ่งล่าสุดได้ให้กำเนิด Pininfarina Battista รถยนต์ไฟฟ้าระดับ Hyper car EV ที่ใช้แบตเตอรี่ขนาด 120 kWh ถูกติดตั้งถัดจากด้านหลังเบาะบริเวณใต้พื้นรถเป็นรูปแบบ T Shaped เพื่อการกระจายน้ำหนักและถ่ายทอดกำลังไปทั้ง 4 ล้อ ส่งผลให้สามารถรีดพละกำลังได้ 1,900 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 2,300 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 ต่ำกว่า 2.0 วินาที 0-300 ต่ำกว่า 12.0 วินาที และความเร็วสูงสุดทะลุ 350 กิโลเมตร/ ชั่วโมง วิ่งระยะทางสูงสุด 450 กิโลเมตร
Pininfarina Battista รุ่นนี้จะพร้อมส่งให้กับลูกค้าที่จับจองไว้ตั้งแต่ในปี 2020 มาในจำนวนจำกัดเพียง 150 คันเท่านั้น ทุกคันจะผลิตด้วยมือที่โรงงาน Turin ประเทศอิตาลี กับราคาค่าตัวราว 2.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ตีเป็นเงินไทยก็เกือบ 70 ล้านบาท (ยังไม่รวมภาษี)
อันดับ 2 และ อันดับ 3
ถึงตรงนี้คงมีผู้อ่านที่แปลกใจว่าทำไมต้องประกาศสองอันดับคู่กัน ก็เพราะว่าสองคันนี้มีความเร็วที่เป็นที่สุดเท่ากันนั้นเองจึง ต้องจัดให้เป็นอันดับ 2 ร่วมนั้นเอง
รถยนต์ไฟฟ้า 2 คันนั้นก็คือ Aspark Owl และ Tesla Roadster
Aspark Owl เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2017 ได้รับการออกแบบโดยทีมวิศวกรชาวญี่ปุ่นและถูกผลิตขึ้นอย่างปราณีตในประเทศอิตาลี โดยความแรงของ Aspark Owl มาจากระบบส่งกำลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัว (หน้าด้าน 2 ตัว ด้านหลัง 2 ตัว) ให้แรงม้ารวมกันที่ 1,984 แรงม้า แรงบิด 2,000 นิวตันเมตร ทำให้สามารถทำอัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ด้วยเวลา 1.69 วินาที และสามารถทำความเร็ว 0-300 กม./ชม. ในระยะเวลาเพียง 10.6 วินาที
เจ้า Aspark Owl ได้มีการเปิดให้ Pre-Order กันตั้งแต่ในช่วงปี 2021 มีราคาเริ่มต้นที่ 3.56 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 136.35 ล้านบาท โดยมีการผลิตเพียง 50 คันเท่านั้น
ส่วน Tesla Roadster รถยนต์ที่ Tesla การันตีว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่แรงที่สุดในค่าย โดยเจ้า Tesla Roadster จะเป็นรถสปอร์ต 2 ประตู เปิดประทุน 4 ที่นั่ง ขับเคลื่อน 4 ล้อ จากพลังไฟฟ้าล้วน โดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 3 ชุด มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ที่เพลาหน้าและเพลาหลัง สามารถทำอัตราเร่ง 0-96 กม./ชม.ได้ในเวลาแค่ 1.9 วินาที อัตราเร่ง 0-160 กม./ชมทำได้ในเวลาแค่ 4.2 วินาที และความเร็วสูงสุดนั้นทำได้ไม่ต่ำกว่า 402 กม./ชม.
Tesla Roadster มีกำหนดวางจำหน่ายในปี 2565 โดยคาดว่ารุ่นพื้นฐานจะอยู่ที่ 200,000 เหรียญสหรัฐฯ โดยผู้ซื้อต้องวางเงินดาวน์ 50,000 เหรียญสหรัฐฯ เพื่อจองรถก่อนเท่านั้น
อันดับที่ 1 Rimac Nevera
Rimac บริษัทผู้ผลิตรถHyper Carสัญชาติโครเอเชีย สร้างสถิติโลกใหม่ให้กับวงการยนต์ไฟฟ้า กับการสร้าง Rimac Nevera รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 412 กม./ชม.โดย Rimac Nevera พึ่งได้ทำลายสถิติรถไฟฟ้าที่เร็วที่สุดในวันที่ 28 ตุลาคม 2022 ที่ผ่านมา ณ สนาม Papenburg ในประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นสนามรูปวงรีที่มีชื่อเสียงในด้านทางตรงยาว 4 กม. ขุมพลังของ Rimac Nevera คือมอเตอร์ไฟฟ้าถึง 4 ตัว ให้พละกำลัง 1,914 แรงม้า แรงบิด 2,360 นิวตันเมตร มีอัตราเร่ง 0-96 กม/ชม. ในเวลาเพียง 1.85 วินาที วิ่งได้ ระยะทาง 489 กม.ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง
Rimac Nevera มีราคาอยู่ที่ 2,100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 75,264,000 บาท ด้วยราคาระดับนี้ ตัวเลขนี้ ไม่เป็นเรื่องที่น่าสงสัยว่าทำไมเจ้า Nevera ถึงได้ยืนหนึ่งอยู่ในตอนนี้