“เพราะนายเป็นนาย เราจึงรักนาย ไม่ใช่เพราะเราเป็นเพศอะไร เราจึงรักกัน ในซีรีส์แปลรักฉันด้วยใจเธอ หยิบประเด็นเรื่องนี้มาพูดเลยว่าตกลงเราจะต้องนิยามตัวเองไหมว่าเราคือเพศอะไร เพื่อจะได้รักกัน”
โปรเจกต์พิเศษ 10 ปี 10 ซีรีส์วายไทย เจาะลึกประเด็นสังคม วัฒนธรรมการเมือง พลวัตวายไทยและวายข้ามชาติผ่านมุมมองของ ศาสตราจารย์ ดร.นัทธนัย ประสานนาม ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาการขั้นสูงด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ประยุกต์ ภายใต้สถาบันวิทยาการขั้นสูงแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ EP 4 : แปลรักฉันด้วยใจเธอ
นัทธนัย กล่าวว่า ซีรีส์แปลรักฉันด้วยใจเธอ เผยแพร่ในปี 2563มีทั้งหมด 2 ภาค ภาคแรกคือแปลรักฉันด้วยใจเธอ (I Told Sunset About You) ภาค 2 แปลรักฉันด้วยใจเธอ (I Promised You the Moon) โดยแบ่งการเล่าเรื่องออกเป็น 2 สถานที่ ประกอบด้วย เหตุการณ์ภาคแรกตัวละครอยู่ภูเก็ต และเหตุการณ์ภาค 2 ตัวละครเรียนจบแล้วมาเรียนต่อมหาวิทยาลัย บอกเล่าเรื่องราวของ “เต๋” รับบทโดย บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล และโอ้เอ๋ว รับบทโดยพีพี-กฤษฏ์ อำนวยเดชกร เพื่อนวัยเด็กโรงเรียนประถมฯ ก่อนแยกย้ายไปเรียนโรงเรียนมัธยมฯ กลับมาเจอกันอีกครั้งที่โรงเรียนสอนภาษาจีน เพื่อติวสอบเข้ามหาวิทยาลัย
แม้จะมีความบาดหมางในใจในวัยเด็ก แต่ต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกว่าเป็นเพื่อนที่ใกล้ชิดและสนิทกันมากที่สุดของกันและกัน จึงได้สานสัมพันธ์กันอีกครั้งเนื่องจากเต๋ อาสาจะติวภาษาจีนให้โอ้เอ๋ว ชื่อเรื่องแปลรักฉันด้วยใจเธอ การแปลที่ว่าจึงมีหลายความหมายคือการเรียนภาษาจีนเพื่อแปลจีนเป็นไทย ไทยเป็นจีน และหมายถึงการแปลรหัสความรู้สึกที่มีต่อกันและกัน
จุดเริ่มต้นของการสร้างซีรีส์เรื่องนี้มาจาก PKBB Project คือนักแสดง บิวกิ้น – พีพี เป็นตัวตั้งมีการสร้างซีรีส์ 2 ภาค และมีการทำเพลงที่จะสนับสนุนให้นักแสดงทั้งสองคนมีบทบาทเป็นนักร้องด้วย และบทที่พัฒนาขึ้นใหม่ถือว่าแตกต่างกับโมเดลอุตสาหกรรมวายที่มีมาก่อนที่มักจะเลือกดัดแปลงจากนวนิยายเป็นหลัก ไม่มีความคาดหวังจากผู้ชมว่าจำเป็นต้องเคารพต้นฉบับ จึงมีการสร้างนวัตกรรมหลายอย่างให้เกิดขึ้นในเรื่องนี้
เควียร์ (Queer) นัยความหมายกับความหลากหลายทางเพศ
สำหรับซีรีส์แปลรักฉันด้วยใจเธอ จุดที่น่าจะหยิบยกมาพูดคุยกันอย่างมากคือลักษณะแบบเควียร์ (Queer) ที่ปรากฏในซีรีส์ หากย้อนกลับไปพิจารณาซีรีส์วายไทย ซึ่งผูกพันอยู่กับขนบของนวนิยายวาย และตัวนวนิยายวายก็ผูกพันอยู่กับขนบของมังงะวายที่มาจากญี่ปุ่น หรือ “โอโด” ในภาษาญี่ปุ่น ขนบอย่างหนึ่งในมังงะวายที่ตัวละครจะไม่พูดถึงเพศวิถีของตัวเอง หรือเพราะนายเป็นนายเราจึงรักนาย ไม่ใช่เพราะเราเป็นเพศอะไรเราจึงรักกัน แต่ในซีรีส์เรื่องแปลรักฉันด้วยใจเธอ หยิบประเด็นนี้มาพูดเลยว่าตกลงเราจะต้องนิยามตัวเองไหมว่าเราคือเพศอะไรเพื่อที่จะได้รักกัน หรือว่ามีการทดลองความปรารถนาแบบใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในเรื่อง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่หยิบเอาเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศ หรือ coming of age ของเควียร์วัยทีนมาพูดมากกว่าที่เราพบในซีรีส์เรื่องก่อนหน้านี้
การกลับมาเจอกันของสองตัวละคร เต๋ กับ โอ้เอ๋ว นอกจากการสานสัมพันธ์กันในฐานะเพื่อนแล้ว ยังนำไปสู่การสำรวจความปรารถนาอัตลักษณ์ทางเพศของคนทั้งสองคนด้วย ซึ่งกรณีของโอ้เอ๋ว เขารู้ตัวอยู่แล้วว่าชอบผู้ชาย แต่เต๋คือคนที่ยังไม่แน่ใจในความปรารถนาทางเพศของตัวเอง จึงมีการทดลองหลายอย่าง เช่น ฉากที่เต๋หยิบเนื้อมะพร้าวขึ้นมาสูดดม หรือสูดดมกลิ่นมะพร้าวจากเส้นผมจากโอ้เอ๋ว เชื่อมโยงกับฉากลูกพีชในภาพยนตร์เควียร์ Call Me By Your Name แสดงให้เห็นว่าซีรีส์วาย ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่กับนวนิยายวายหรือมังงะวายของญี่ปุ่นเท่านั้นแล้ว แต่สามารถเชื่อมโยงกับสื่อเควียร์อื่นๆ ในโลกได้ด้วย
อีกหนึ่งฉากอันลือลั่นจากซีรีส์แปลรักฉันด้วยใจเธอคือฉากที่โอ้เอ๋วสวมใส่บราสีแดง ฉากนี้นำมาสู่ข้อถกเถียงอย่างกว้างขวางในพื้นที่อินเทอร์เน็ตว่าตกลงซีรีส์เรื่องนี้เป็นซีรีส์เควียร์หรือว่าซีรีส์วายกันแน่ การถกเถียงถึงเส้นแบ่งนี่เองที่นำมาสู่ข้อวินิจฉัยว่าตกลงเส้นที่ว่ายังมีอยู่หรือไม่ หรือว่ายังจำเป็นหรือไม่ และมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่ซีรีส์วายจะโน้มเข้าหาขนบของซีรีส์เควียร์ หรือว่าสื่อเควียร์ ในที่นี้คิดว่าเป็นไปได้ และยังเป็นการปฏิวัติที่สำคัญของซีรีส์วายที่พยายามจะแก้ข้อกล่าวหาว่าซีรีส์วายไม่ได้มีส่วนในการสนับสนุนการเคลื่อนไหวทางสังคมของกลุ่ม LGBTQ

“เพราะฉะนั้นซีรีส์แปลรักฉันด้วยใจเธอ สำหรับผมมันไม่ได้พูดถึงแค่ความสัมพันธ์ของตัวละคร แต่มันพูดถึงการเดินทางของตัวละคร ในฐานะที่เป็นเควียร์ หรือว่ายุวเควียร์ (queer youth) การเป็นยุวเควียร์ไม่ได้ทำงานกับความปรารถนาทางเพศ อัตลักษณ์ทางเพศเท่านั้น แต่ยังต้องอยู่กับปัญหาวัยรุ่นทั่วไป เรื่องการแสวงหาตัวเอง การหาที่้เรียน หรือการคบเพื่อนกลุ่มใหม่ๆ ในมหาวิทยาลัยด้วย”
ในตอนจบของซีรีส์ภาคแรกเต๋ กับโอ้เอ๋ว ให้สัญญากันไว้ว่าจะไม่ทอดทิ้งกัน แต่ซีรีส์ภาคสองใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า I Promised You the Moon หมายถึงการให้คำมั่นสัญญาในสิ่งที่อาจจะทำไม่ได้ และตัวละครทั้งสองตัวก็ย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพฯ โดยเรียนคนละมหาวิทยาลัยกัน และตัวละครก็เริ่มมีความขัดแย้งก่อนเลิกรากันไป แต่ในฉากจบทั้งคู่ก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้งและสิ่งที่น่าสนใจก็คือโอ้เอ๋ว ซึ่งผู้ชมก็รู้ว่าเป็นอุเคะ กลับเป็นคนยื่นช่อดอกไม้ให้เต๋ แล้วเต๋เป็นผู้รับคำขอแต่งงาน นำมาสู่การถกเกียงของแฟนๆ ว่าใครเป็นอุเคะ และใครเป็นเซเมะ ถือเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นเควียร์ในซีรีส์เรื่องนี้
อุตสาหกรรมกับมิติทางวัฒนธรรม
นัทธนัย กล่าวต่อว่าในแง่ความคิดที่อยู่เบื้องหลังการสร้างซีรีส์แปลรักฉันด้วยใจเธอ คือความสามารถในการดึงดูดความสนใจของแฟนในโลกที่พูดภาษาจีน ซึ่งในซีรีส์ได้นำเสนอความเป็นจีนไว้อย่างหลากหลาย ผสมผสานวัฒนธรรมแบบปักษ์ใต้ วัฒนธรรมแบบเปอรานากัน ถือว่าเป็นสิ่งที่พิเศษมาก และดึงดูดใจแฟนชาวต่างชาติ ในแง่อุตสาหกรรมยังมีเพลงจีนเป็นเพลงประกอบ จากนั้นในปี 2568 บิวกิ้น และพีพี ยังได้กลับมามีผลงานคู่กันในภาพยนตร์เรื่องซองแดงแต่งผี ซึ่งเป็นงานดัดแปลงจากภาพยนตร์วายของจีนไต้หวัน
“ถ้าเราพิจารณาความต่อเนื่องตรงนี้เราก็จะเห็นว่าอุตสาหกรรมยังผูกพันกับมิติทางวัฒนธรรมค่อนข้างมาก และเป็นสิ่งที่เราใช้พิจารณาในการมองปรากฏการณ์ของอุตสาหกรรมวาย”


