สัตวแพทย์สรุปสาเหตุการตายของ “ตุลา” ลูกช้างป่าเพศผู้ โดยพบว่ามีอาการบาดเจ็บและอักเสบของกระดูกต้นขาหน้าทั้ง 2 ข้าง ทำให้เกิดสภาวะช็อคจากการบาดเจ็บรุนแรง
นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้รับรายงานจาก นายก้องเกียรติ เต็มตำนาน ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 2 (ศรีราชา) ถึงกรณีการเสียชีวิตของลูกช้างป่า “ตุลา”
เบื้องต้นนายสัตวแพทย์ ไพโรจน์ พรมวัฒน์ ระบุว่า ที่ผ่านมาลูกช้างป่าพลัดหลง “ตุลา” มีอาการป่วยเนื่องจากยืนหลับ ไม่ยอมล้มตัวลงนอนติดต่อกันหลายวัน จนมีอาการเจ็บและอักเสบบริเวณขาหน้าทั้ง 2 ข้าง รวมถึงขาหลังขวาที่มีการก้าวเดินผิดปกติ จนเริ่มมีอาการทรุดลง
จึงได้มีการระดมทีมสัตวแพทย์จากหลายหน่วยงาน ทั้งกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) คลินิกช้างและสัตว์ป่า คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน และชมรมสัตวแพทย์สวนสัตว์และสัตว์ป่าแห่งประเทศไทย ทำการรักษาและอนุบาล “ตุลา” อย่างใกล้ชิด
กระทั่งเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2566 เวลา 04.00 น. สัตวแพทย์ และเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่าที่ 2 (กระบกคู่) เข้าช่วยเหลือลูกช้างป่าในการพยุงตัวลุกยืน ซึ่งก่อนหน้านี้สัตวแพทย์ตรวจพบว่า “ตุลา” มีอาการป่วยด้วยภาวะโรคกระดูกบาง (metabolic bone disease) หลังจากนั้นสัตวแพทย์ได้มีการรักษาโรคกระดูกบางรวมถึงเฝ้าระวังและติดตามอาการของการใช้ขาของลูกช้างป่ามาอย่างต่อเนื่อง
โดยพบว่า “ตุลา” ไม่สามารถลุกยืนได้จากการนอนในเวลากลางคืน จึงได้เข้าช่วยเหลือโดยการใช้เครนยกตัวเข้าช่วยพยุงตัวให้ยืนขึ้น หลังจากนั้นสัตวแพทย์ได้ทำการตรวจร่างกายพบว่า ขาหน้าทั้ง 2 ข้างมีอาการอ่อนแรง บวม ข้อเท้าขาหน้าทั้ง 2 มีการงอ ไม่ขยับเดิน จึงได้ทำการให้ยาลดปวด ลดอักเสบ และพันขาลดการปวดการอักเสบ
ทั้งนี้ “ตุลา” ไม่สามารถใช้ขาช่วยพยุงตัวให้ยืนได้ จึงได้ทำการให้นอนพัก และให้เจ้าหน้าที่ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ตลอด 24 ชั่วโมง และเวลา 18.00 น. ลูกช้างป่า “ตุลา” เริ่มมีอาการหายใจช้าลง ลิ้นเริ่มมีสีซีด มีภาวะหัวใจหยุดเต้น สัตวแพทย์ และเจ้าหน้าที่จึงได้เข้าช่วยเหลือปฐมพยาบาลเร่งด่วน โดยการทำ CPR เพื่อกระตุ้นการหายใจ ลูกช้างป่าไม่มีการตอบสนองต่อการช่วยชีวิต และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
สำหรับสาเหตุการเสียชีวิตเบื้องต้น เกิดการภาวะบาดเจ็บรุนแรงของกระดูกต้นขาหน้าทั้ง 2 ขา หัก (Humerus fracture) ทำให้เกิดสภาวะช็อคจากการบาดเจ็บรุนแรงตามมา (Pain shock)
วันที่ 14 สิงหาคม 2566 เวลา 06.00-09.30 น. นายเผด็จ ลายทอง ผู้อำนวยสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า ร่วมกับทีมสัตวแพทย์ทำการชันสูตรเพื่อหาสาเหตุและเก็บตัวอย่างส่งตรวจทางปฏิบัติการเพื่อยืนยันถึงสาเหตุการเสียชีวิต ปรากฏว่าสาเหตุหลักในการเสียชีวิต เกิดจากสภาวะกระดูกบางทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณขาหน้า (ด้านบน) ทั้ง 2 ข้าง พบการสลายของกระดูก ทำให้กระดูกแตกหักละเอียด ผิดรูป
ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการไม่ล้มตัวลงนอน และเล่นกับพี่เลี้ยงตามปกติ อวัยวะภายในร่างกายพบว่า ลำไส้มีความแดงผิดปกติ และสัตวแพทย์ได้ทำการเก็บตัวอย่างอวัยวะทั้งหมด รวมถึงกระดูก ส่งทางห้องปฏิบัติการ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ ศูนย์พัฒนาการทางสัตวแพทย์ภาคตะวันออก กรมปศุสัตว์
สำหรับ “ตุลา” เป็นลูกช้างป่าเพศผู้ ที่พลัดหลงเข้ามาในฐานปฏิบัติการ ฐานแยก กองร้อยทหารพรานนาวิกโยธิน ที่ 544 หมู่ 4 บ้านทุ่งกร่าง ต.ทับไทร อ.โป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2565 ซึ่งขณะนั้นมีอายุประมาณ 1-2 สัปดาห์ เจ้าหน้าที่ร่วมกันตั้งชื่อลูกช้างป่าตัวนี้ว่า “เจ้าตุลา” ตามเดือนที่พบเจอ
ขณะที่พบลูกช้างมีอาการอ่อนแอ สัตวแพทย์ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด และได้รับการสนับสนุนน้ำนมช้างจากแม่ช้าง 4 เชือกที่เพิ่งตกลูก จากสวนนงนุชพัทยามาให้ลูกช้างกิน ตลอดจนการดูแลอย่างใกล้ชิดจากทีมสัตวแพทย์ และทีมพี่เลี้ยง โดยปกติลูกช้างทั่วไปจะกินนมแม่เป็นอาหารหลักในช่วงขวบปีแรก และเมื่อเริ่มกินอาหารอื่น เช่น หญ้า ผลไม้ อ้อย เป็นต้น จึงจะลดการกินนมลงจนกระทั่งหย่านมที่อายุประมาณ 2.5-3 ปี
ทั้งนี้เพราะช้างเป็นสัตว์ที่ตัวใหญ่ น้ำหนักมาก จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนากระดูกให้มีความแข็งแรง เพื่อรองรับน้ำหนักตัวมหาศาล การให้ช้างได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างกระดูก โดยเฉพาะในวัยเด็กและวัยที่กำลังเจริญเติบโต จึงมีความสำคัญต่อสุขภาพช้างในระยะยาวอย่างยิ่ง
โดยก่อนหน้านี้ทีมสัตวแพทย์ได้ทำการตรวจสุขภาพ พบว่า “ตุลา” ป่วยเป็นโรคติดเชื้อเฮอร์ปีส์ไวรัสในช้าง (EEHV) ทีมสัตวแพทย์จึงได้ทำการรักษาโดยการให้ยาต้านไวรัสแบบกิน เพื่อรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก จนทำให้ “ตุลา” เริ่มมีสุขภาพแข็งแรง มีสุขภาพดี และเป็นช้างอารมณ์ดีขึ้น ขี้เล่น จนเป็นขวัญใจคนรักสัตว์
ต่อมาเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช พร้อมทีมสัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมดำเนินการเคลื่อนย้ายลูกช้างป่า “ตุลา” จากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรี มายังศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่าที่ 2 (กระบกคู่) จังหวัดฉะเชิงเทรา เนื่องจากศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่าที่ 2 (กระบกคู่) มีพื้นที่ที่เหมาะสม
ที่ผ่านมากรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้มีการจัดทีมสัตวแพทย์ เจ้าหน้าที่ และพี่เลี้ยง ดูแลอาการช้างป่า “ตุลา” อย่างใกล้ชิดมาตลอด นานถึง 10 เดือน และได้จากไปในที่สุด นับเป็นข่าวเศร้าของคนที่รักเจ้าช้างน้อยตัวนี้
น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว NuNa Silpa-archa โดยระบุว่าหนูเกิดมาให้ผู้คนมากมายได้รัก แม้คนที่อาจไม่เคยอ่อนโยน เชื่อว่าเมื่อได้เห็นความน่ารักของหนู ก็เกิดความรักเมตตา ใจอ่อนโยนลง
หนูไม่ได้จากไปไหน แค่ดวงจิตหนูเคลื่อนเปลี่ยนภพภูมิ ซึ่งป้าเชื่อมั่นว่า ที่ใหม่ที่หนูไปปฏิสนธิ ต้องเป็นที่ดีงาม เพราะชีวิตนี้หนูไม่ได้ทำบาปใดๆ มีแต่ทำให้มนุษย์มีความสุข และยามทิ้งร่างอันชำรุดนี้ไป หนูก็ไปอย่างสงบ
ป้าก็รักหนูเสมอ ตุลา ช้างน้อยของป้าและทุกคน (ต้องใช้ธรรมะดามใจหนักหน่อย)
รู้จักโรคเฮอร์ปีส์ไวรัสในช้าง หรือ EEHV
โรคเฮอร์ปีส์ไวรัสในช้าง หรือ EEHV (Elephant Endotheliotropic Herpesvirus) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสในสกุลย่อย Betaherpesviridae โดยในปี 1998 มีรายงานการตายของลูกช้างเอเชียที่สวิตเซอร์แลนด์ว่าตายจากอาการของโรคทางระบบเลือดเฉียบพลัน (Acute hemorrhagic disease) และพบการตายของลูกช้างที่มีอาการดังกล่าวที่สวนสัตว์ในยุโรปและอเมริกาเหนืออีกกว่า 20 เคส ในช่วงยุค 1990
ต่อมาได้ถูกค้นพบว่าสาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส Elephant Endotheliotropic Herpesvirus เป็นครั้งแรกที่สหรัฐอเมริกาในปี 1999 โดยไวรัสชนิดนี้พบได้เฉพาะในช้าง ทั้งช้างเอเชีย (Elephas maximus) และช้างแอฟริกา (Loxodonta africana) ปัจจุบันพบว่าไวรัสมี 8 ชนิดย่อย ได้แก่ 1, 1A, 1B, 2, 3, 4, 5 และ 6 โดยช้างเอเชียจะพบชนิด 1, 1A, 1B, 3, 4 และ 5
สำหรับในประเทศไทย มีรายงานการตายของลูกช้างด้วยอาการคล้ายโรค EEHV ในปี 2005 ก่อนจะตรวจพบเชื้อ EEHV1A จากตัวอย่างเนื้อเยื่อหัวใจที่ถูกเก็บแช่แข็งไว้ในอีก 5 ปีต่อมา และพบการติดเชื้อ EEHV4 ในลูกช้างอายุ 3 ปี เมื่อปี 2011 ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกที่พบในเอเชีย และครั้งที่สองของโลกที่พบเชื้อชนิดนี้
ความรุนแรงของโรคเฮอร์ปีส์ไวรัส
โรค EEHV เป็นโรคที่ส่งผลต่อระบบเลือดของช้าง โดยเชื้อไวรัสจะเข้าไปทำลายผนังหลอดเลือดเป็นหลัก สำหรับอาการจะขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อ ช้างจะมีอาการซึม อ่อนแรง มีไข้ มีการบวมน้ำที่ส่วนหัว งวง คอ ขา ท้อง เนื่องจากผนังหลอดเลือดถูกทำลายทำให้ของเหลวไหลออกนอกเส้นเลือด โดยเห็นชัดที่สุดบริเวณใบหน้าของช้าง ลิ้นบวม ม่วง พบจุดเลือดออกหรือแผลหลุมได้
เชื้อ EEHV4 จะส่งผลต่อระบบทางเดินอาหารด้วย ทำให้ช้างมีอาการท้องเสีย ถ่ายเป็นเลือด โรคนี้มีความรุนแรงมากในช้างอายุต่ำกว่า 15 ปี พบอัตราการตายสูงถึง 85 เปอร์เซ็นต์ ลูกช้างอาจตายได้ภายใน 24-48 ชั่วโมง หลังจากเริ่มแสดงอาการ เนื่องจากภาวะหัวใจและอวัยวะภายในล้มเหลว
สำหรับการแพร่กระจายโรค พบว่ามาจากการสัมผัสโดยตรงกับช้างที่ติดเชื้อเป็นหลัก โดยเชื้อแพร่ออกมากับสิ่งคัดหลั่งจากงวง น้ำลาย หรือของเหลวต่างๆ ในร่างกาย
แนวทางการรักษาและป้องกันโรค EEHV
เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส จึงยังไม่มีการรักษาที่จำเพาะ สัตวแพทย์จะรักษาตามอาการ ทั้งการให้ยาต้านไวรัส ยาลดปวดลดอักเสบ ให้สารน้ำและยาบำรุง ไปจนถึงการถ่ายเลือด และโรคนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน จึงเน้นไปที่การสังเกตอาการช้างเป็นหลัก
หากพบความผิดปกติของลูกช้าง เช่น ซึม ตัวร้อน หน้าเริ่มบวม ลิ้นเริ่มมีสีเข้มขึ้น หรือถ่ายเหลว ให้รีบแจ้งสัตวแพทย์ทันที หากได้รับการรักษาไว จะยิ่งลดโอกาสในการเสียชีวิตของลูกช้างได้ นอกจากนี้ในหลายพื้นที่มีการให้วิตามินซีเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกช้างอีกด้วย